วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ลุ้นผ่านแผนฯหนี้สหรัฐ คาดดัชนีพุ่งแตะ1,550จุด ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2556

ลุ้นผ่านแผนฯหนี้สหรัฐ
คาดดัชนีพุ่งแตะ1,550จุด

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 15 คน 

โบรกฯ-ผู้จัดการกองทุน มั่นใจ ปัญหาสหรัฐมีแนวโน้มเป็นบวก แต่อาจเป็นแบบมีเงื่อนไข ส่งผลให้ดัชนีตอบรับระดับ 1,500-1,550 จุด หากสถานการณ์พลิก ดัชนีปรับฐานแนวรับ 1,400-1,420 จุด เน้นกลุ่มปลอดภัย ท่องเที่ยว อาหาร โรงพยาบาล และสื่อสาร
           นายรณกฤต สารินวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการประชุมเรื่องเพดานหนี้สหรัฐในเรื่องงบประมาณ ในวันที่ 17 ต.ค. นี้ มองว่า ปัญหาต่างๆ น่าจะผ่านไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะเรื่องของเพดานหนี้สาธารณะคาดว่าน่าจะผ่านแบบมีเงื่อนไข คือ ปล่อยแผนผ่านแบบระยะสั้นแล้วค่อยมีการเจรจากันใหม่อีกครั้ง
          ดังนั้น การผ่านแบบนี้จะส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยแตะที่ระดับ 1,500 จุด แต่หากผ่านแบบไร้เงื่อนไข เชื่อว่า ดัชนีปรับเกิน 1,500 จุดได้ไม่ยาก แต่ในมุมกลับกันหากในกรณีสถานการณ์เลวร้ายไม่ผ่านแบบ 100% สถานการณ์หุ้นทั่วโลกจะมีความผันผวนมากและมีการปรับฐานของดัชนีครั้งใหญ่
          อย่างไรก็ตาม หากข้อสรุปทำได้ไม่ทันวันที่ 17 ต.ค. หุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลงเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 1,400-1,420 จุด นอกจากนี้ ยังส่งผลถึงอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรโลกมีความผันผวนตามไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของสถานการณ์นี้ น่าจะออกมาในทิศทางบวกแบบมีเงื่อนไขมากกว่า
          สำหรับนักลงทุน แนะนำว่า หากสถานการณ์ออกมาในเชิงบวกแบบมีเงื่อนไข ดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นแตะที่ระดับ 1,500 จุด นักลงทุนควรหาจังหวะทยอยขายทำกำไร หากผลการประชุมสรุปว่านโยบายไม่ผ่าน นักลงทุนตัดใจขายหุ้นออกไม่ต่ำกว่า 50% ของพอร์ตที่มีอยู่
          นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด กล่าวว่า ภาวะหุ้นไทยช่วงนี้ คาดว่า ยังคงมีความผันผวนตามปัจจัยลบภายนอกประเทศ ส่วนปัญหาเรื่องการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 17 ต.ค.นี้ เชื่อว่าจะได้ข้อสรุปไปในทิศทางที่ดี
          และหุ้นไทยจะตอบสนองข่าวดีดังกล่าวทำให้ดัชนีปรับขึ้นแตะที่ระดับ 1,550 จุด อย่างไรก็ตาม หากผลการประชุมดังกล่าวไม่ได้ข้อสรุป หรือ ออกมาในทิศทางลบ เชื่อว่า หุ้นไทยจะมีการปรับฐานลงประมาณ 5-10%
          ดังนั้น ในส่วนของนักลงทุนถือยาว ช่วงนี้เป็นจังหวะเหมาะในการเข้าลงทุน ส่วนนักลงทุนเล่นสั้นถือว่ามีความเสี่ยงพอสมควร สำหรับหลักทรัพย์ที่เหมาะแก่การลงทุนหากมีจังหวะดี เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร กลุ่มปิโตรเคมี-พลังงาน กลุ่มรับเหมาก่อสร้างฯลฯ เป็นต้น
          นายจงรัก รัตนเพียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ผลการประชุมของสหรัฐอเมริกาเรื่องการขยายเพดานหนี้ในวันที่ 17 ต.ค.นี้ มองว่า น่าจะมีข้อสรุปออกมาในทิศทางที่ดี สถานการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องของทางการเมืองเป็นหลัก ผลสุดท้ายทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่จะได้ข้อสรุปในทิศทางที่ดี
          เพราะหากไม่ได้ข้อสรุปหรือนโยบายไม่ผ่าน ความผันผวนต่อตลาดหุ้นและตลาดเงินทั่วโลกจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากทีเดียว แต่หากนโยบายและปัญหาต่างๆ ผ่านไปได้ เชื่อว่า หุ้นไทยไม่น่าจะตอบสนองมาก เพราะช่วงวันใกล้เหตุการณ์สำคัญๆ ต่างๆ หุ้นไทยมักจะปรับตัวขึ้นรับเหตุการณ์ก่อนได้รับข้อสรุปทุกครั้ง แม้แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ หุ้นไทยได้มีการปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างมาก
          อย่างไรก็ตาม หากผลปัญหาไม่ได้ข้อสรุปตามการคาดหวัง อาจจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยให้เกิดการปรับฐานแรง ทั้งนี้ มองว่า นักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพ อาทิ หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มอาหาร กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มสื่อสาร โดยนักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นที่เหมาะกับพอร์ตของตนเองในช่วงจังหวะที่ดีเท่านั้น เนื่องจาก เชื่อว่า อนาคตหุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโตตามปัจจัยบวกในช่วงปีหน้าได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น