วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กรุงไทยตั้งสำรองเพิ่ม กดกำไรเหลือ8.9พันล. ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2556

กรุงไทยตั้งสำรองเพิ่ม
กดกำไรเหลือ8.9พันล.

ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 7 คน 

กรุงไทย (KTB) ไตรมาส 3/56 มีกำไรสุทธิ 8,912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.37% ยอมรับตั้งสำรองเพิ่มอีก 1,700 ล้าน ส่วนหนี้เสียลงมาเหลือ 1.62% ส่วน CIMBT มีกำไรสุทธิ 416.89 ล้านบาท สินเชื่อเติบโต 17%
           นายวรภัค ธันยาวงษ์  กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวว่า ผลประกอบธนาคารในไตรมาส 3/56 เปรียบเทียบกับไตรมาส 3/55 นั้น ธนาคารมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากธุรกิจหลักของธนาคาร โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเท่ากับ 16,368 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.23% มีรายได้ค่าธรรมเนียม และบริการสุทธิ 3,911 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.12% และกำไรจากการดำเนินงานก่อนกันสำรอง และภาษีเงินได้จำนวน 14,194 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 9.73%
            ซึ่งการเติบโตที่ดีของกำไรจากการดำเนินงานทำให้ธนาคารพิจารณากันสำรองเพิ่มอีก 1,700 ล้านบาทเพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินสำรองของธนาคาร และรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยในไตรมาส 3 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 8,912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.37%
            สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนธนาคารมีกำไรสุทธิรวม 23,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.56% จากช่วงเดียวกันของปี 2555 และ จากการที่ธนาคารพิจารณาการกันสำรองเพิ่มเติมจึงส่งผลให้มูลค่าสำรองเพิ่มเติมสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 4,200 ล้านบาทนอกเหนือจากสำรองหนี้สูญ และหนี้สงสัยจะสูญตามปกติจำนวน 500 ล้านบาทต่อเดือน
            อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อ 1,680,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2555 จำนวน 150,475 ล้านบาท คิดเป็น 9.83%  และมียอดเงินฝาก 1,778,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111,107 ล้านบาท คิดเป็น 6.67% ซึ่งธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) จำนวน 59,211 ล้านบาท โดย NPLs Ratio (net) ลดลงจาก 1.76% เหลือ 1.62%
           นอกจากนี้ ธนาคารยังคงรักษาคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารในระดับเดิมได้ และ ได้พิจารณากันสำรองเพิ่มเติม ส่งผลให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) เพิ่มขึ้นจาก 92.73% ณ สิ้นปี 2555 เป็น 108.29% ณ วันที่ 30 กันยายน 2556
           ในส่วนของเงินกองทุนรวมเท่ากับ 278,600 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 15.40% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยงตามหลักเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งธนาคารเชื่อมั่นว่าเงินกองทุนในระดับนี้จะทำให้ธนาคารมีความแข็งแกร่ง และสามารถขยายธุรกิจได้ตามแผน
          นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) กล่าวว่า
           ไตรมาส 3/56 มีกำไรสุทธิ 416.89 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.02 บาท ซึ่งเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 851.78 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.05 บาท
           สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารสำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 56 มีกำไรสุทธิจำนวน 960.6 ล้านบาท ลดลง 221.6 ล้านบาท หรือ 18.8% เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2555 สาเหตุหลักเกิดจากธนาคารได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) จำนวน 1,344.4 ล้านบาท
            แต่หากหักรายการพิเศษที่เกิดขึ้นในงวด 9 เดือนปี 2555 และ 2556 แล้วกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารจะเพิ่มขึ้น 29.1% โดยรายการพิเศษที่สำคัญในงวด 9 เดือนปี 55 คือ ส่วนแบ่งกำไรจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของบสท. ซึ่งกำไรจากการขายหุ้นในบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของธนาคาร  และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการแพ้คดีสำหรับรายการพิเศษในงวด 9 เดือนปี 2556 คือ กำไรจากการคืนทุนในบริษัทย่อย ซึ่งอยู่ระหว่างการชำระบัญชี
           เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.56 และ 2555 รายได้จากการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 56 จำนวน 6,383.4 ล้านบาท ลดลงจากปี 2555 จำนวน 56.8 ล้านบาท หรือ 0.9% แต่หากหักรายการพิเศษแล้วรายได้จากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้น 1,115.9 ล้านบาท หรือ 21.6%
           ซึ่งทำให้รายได้จากการดำเนินงานอื่นลดลง 1,280.2 ล้านบาท หรือ 61.1% ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้ค่าธรรมเนียม และบริการสุทธิเพิ่มขึ้น โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 949 ล้านบาท หรือ 25.2% เป็นผลสะท้อนจากการขยายตัวของสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียม และบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 274.4 ล้านบาท หรือ 47.7%
           ทางด้านอัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (NIM) อยู่ที่ 3.2% สำหรับงวด 9 เดือนปี 2556 ในขณะที่งวด 9 เดือนปี 2555 อยู่ที่ 3.21% โดยมาจากผลกระทบจากภาวะการแข่งขันด้านเงินฝากในตลาด ซึ่งเงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชีของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 1.62 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.2% เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 55 ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของสินเชื่อรายย่อย
           สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) มีจำนวน 4.4 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น (NPL ratio) เท่ากับ 2.5% เมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 55 ซึ่งอยู่ที่ 2.8% โดยอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับ 83.2% ลดลงจากสิ้นปี 2555 ซึ่งอยู่ที่ 85.1%
           และเงินสำรองของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 3.6 พันล้านบาทเป็นสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.4 พันล้านบาท ส่วนเงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคารมีจำนวน 2.83 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง 14.7%  โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 10.4%


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น