วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ถึงเวลายึดหลัก คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 01 พฤศจิกายน 2556

ถึงเวลายึดหลัก

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 01 พฤศจิกายน 2556 
ผู้เข้าชม : 6 คน 

               ข่าวนิติราษฎร์แถลงคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับ “สุดซอย” ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลักคับคั่ง กระทั่งได้ออกทีวีบางช่อง เป็นพฤติกรรมน่าขำปนสมเพชของสื่อไทย ที่เอียงข้างและไร้หลัก ไม่เคยตระหนักว่านิติราษฎร์นำเสนอหลักกฎหมายที่ถูกต้องชอบธรรมมาตลอด ต่อเมื่อเป็นประโยชน์กับฝ่ายตนจึงสนใจ
                ไม่ใช่แค่นิติราษฎร์ นักวิชาการประชาธิปไตยแทบทุกคน ที่ต่อต้านรัฐประหาร ตุลาการภิวัตน์ และประณามการปราบม็อบเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ณ วันนี้ ก็คัดค้านนิรโทษกรรมเหมาเข่งทั้งสิ้น ไม่เหมือนแกนนำเสื้อแดงหลายคนที่ได้เป็น ส.ส. กลับกลืนน้ำลายตัวเอง สนับสนุนนิรโทษ “นายใหญ่” แลกกับไม่เอาผิดผู้ปราบปรามประชาชน ทั้งที่เคยปลุกระดมมวลชนจนชนะเลือกตั้งถล่มทลาย
               นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ส.ส.เพื่อไทยที่ไม่ได้มาจากเสื้อแดง จะอ้างอย่างไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ ส.ส.ที่มาจากชีวิตเลือดเนื้อของมวลชน
                ตลอด 7 ปีที่สังคมเอียงไปเอียงมา เฮโลสาระพา เอาชนะโดยไม่เลือกวิธีการ นักวิชาการที่ยึดมั่นในหลักอย่าง อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และนิติราษฎร์ ถูกผลัก ถูกให้ร้ายป้ายสี โดยพวกพันธมิตรฯ สื่อ ฝ่ายค้าน ที่ใครเห็นต่างจากพวกตัวคือพวกทักษิณ ใครไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ยึดหลักการประชาธิปไตย ก็กลายเป็นพวกทักษิณ
                รัฐบาลทักษิณเหลิงอำนาจ ใช้อำนาจไม่ชอบธรรม แต่ได้อำนาจจากการเลือกตั้ง มีคนรักมาก มีคนเกลียดมาก การยึดอำนาจด้วยปืน รถถัง ไม่แก้ไขปัญหาแต่กลับทำให้ความขัดแย้งลุกลาม
                รัฐประหาร 2549 ยังดึงอำนาจตุลาการมาจัดการปัญหาการเมือง ตั้งแต่ยุบพรรคไทยรักไทย ใช้กฎหมายย้อนหลังตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค จากนั้นก็ยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 สถาปนาอำนาจตุลาการภิวัตน์ไว้จัดการอำนาจจากการเลือกตั้ง กระทั่งยุบพรรคพลังประชาชน จนตามมาด้วยเหตุการณ์ปี 2552 และ 2553
                อ.วรเจตน์วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณมาแต่แรก แต่คัดค้าน “ม.7” คัดค้านรัฐประหาร คัดค้านรัฐธรรมนูญ 2550 จนถูกเกลียดชังเป็น “พวกทักษิณ” นักวิชาการคนไหนยึดมั่นประชาธิปไตยก็เป็นพวกทักษิณ เพราะกระแสสื่อ กระแสคนชั้นกลางชาวกรุง มองว่าใครเป็นคนดีมีศีลธรรม รักชาติ รักในหลวง ต้องสนับสนุนรัฐประหาร ต้องสนับสนุนการใช้อำนาจศาล หรือกระทั่งกระสุนจริง มาปราบปรามนักการเมืองชั่วและสมุน
               วันนี้แม้กระแสตีกลับ ผู้รักประชาธิปไตยมีเป้าหมายเดียวกับประชาธิปัตย์ คัดค้านนิรโทษเหมาเข่ง แต่ก็ไม่ใช่เห็นพ้อง ไม่ใช่ยอมรับการปลุกความเกลียดชังหวังล้มรัฐบาล
               เพราะถ้าคัดค้านนิรโทษอย่างมีหลัก ก็ต้องชัดเจนว่า ประการแรก ต้องไม่นิรโทษเจ้าหน้าที่ที่ทำเกินกว่าเหตุ และผู้ออกคำสั่ง (ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลเล่นงานแต่มาร์ค เทือก ไม่เอาผิดทหาร) และไม่นิรโทษแกนนำการชุมนุมหากจงใจสร้างความรุนแรง (ไม่นิรโทษชายชุดดำและผู้บงการ)
                ประการที่สอง ต้องรื้อคดีทักษิณใหม่ เพราะการดำเนินคดีทักษิณใช้อำนาจรัฐประหารตั้ง คตส.มาสอบสวนอย่างไม่เป็นธรรม การที่ผู้นำประเทศซึ่งมีคนรักมาก เกลียดมาก ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ด้วยมติตุลาการ 5 ต่อ 4 ซึ่งอ้างเหตุผลประหลาดพิลึก “ไม่ทุจริตแต่ติดคุก” ตราบใดที่ปล่อยค้างไว้ ก็ไม่สามารถนำความสงบกลับสู่สังคมได้ แต่ถ้าจะนิรโทษกันหน้าตาเฉย ก็ไม่สงบเช่นกัน กระบวนการยุติธรรมต้อง review ใหม่ให้สิ้นสงสัย
                นี่เป็นส่วนหนึ่งในข้อเสนอ “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร” ของนิติราษฎร์ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นไม่มีใครสนใจ ตอนนี้เมื่อเกิดความขัดแย้งสุดซอย เหมาเข่ง สังคมไทยก็ควรกลับไปทบทวนอีกครั้ง 
                                                         ใบตองแห้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น