CKPเป้า15บาท
รับกำไร170ล้าน
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2556 ผู้เข้าชม : 6 คน
CKP พร้อมเทิร์นอะราวด์ไตรมาส 3/56 กำไรสุทธิเฉียด 170 ล้านบาท ขานรับบันทึกรายได้โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ผลิตไฟฟ้าทะลัก 845 ล้านหน่วย เชื่อกำไรสุทธิทั้งปี 56 ทะลุ 370 ล้านบาท กำหนดราคาเป้าหมายขั้นต่ำ 15 บาท
รายงานจากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เคเคเทรด จำกัด ประเมินว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/56 บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 168 ล้านบาท ปรับขึ้นจากงวดไตรมาส 2/56 ที่มีผลขาดทุน 77 ล้านบาท และปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ได้กำไรสุทธิ 58 ล้านบาท
โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากปริมาณน้ำที่เพิ่มในช่วงฤดูมรสุม ทำให้บริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าโครงการ NN2 สูงกว่าเป้าหมาย จึงทำให้มีรายได้จากการขายไฟฟ้าส่วนเกินในรูปขายพลังงานไฟฟ้าสำรองและพลังงานไฟฟ้าส่วนเกิน และชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากรายได้กลุ่มโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่ลดลงตามฤดูกาล
ส่วนผลประกอบการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมโครงการ BIC1 ต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในช่วงเริ่มดำเนินการยังอยู่ระดับสูง อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานไตรมาส 3/56 ถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ เป็นผลมาจากกำลังการผลิตที่สูงขึ้นของ NN2 และโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์
ขณะที่ภาพรวมกำไรสุทธิปี 2556 ได้คาดอยู่ที่ระดับ 371 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 55 ล้านบาท และงวดปี 2557 จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 694 ล้านบาท โดยบริษัทคงเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 974 เมกะวัตต์ภายในปี 2562 ทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตของกำลังการผลิตเฉลี่ยปีละ 16% โครงการสำคัญยังคงอยู่ที่โรงไฟฟ้าไซยะบุรี (XPCL) ที่จะเริ่มดำเนินการผลิตในปี 2562 โดยปัจจุบันได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 10%
โดยแนะนำ“ซื้อ” ให้มูลค่าเหมาะสม 15 บาท สำหรับ CKP มีความน่าสนใจจากการเติบโตของผลประกอบการที่โดดเด่น และยังมีโรงไฟฟ้าใหม่ที่ทยอยเริ่มดำเนินการผลิต ได้แก่ เชียงราย โซล่าร์ และโรงไฟฟ้า Cogeneration โครงการ BIC1 คาดว่าภายในช่วงปี 2556–2558 ทาง CKP จะมีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 19% สูงกว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าในประเทศที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 2.3%
ขณะที่บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า กำไรสุทธิไตรมาส 3/56 ของ CKP จะเท่ากับ 178 ล้านบาทและหากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน จะมีกำไรจากการดำเนินงาน 218 ล้านบาท โดยผลประกอบการที่ขยายตัวเป็นผลจากระดับการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 (ถือหุ้นทางอ้อมผ่าน SEAN สัดส่วน 42%) เพิ่มขึ้นตามปริมาณน้ำที่สูงขึ้นในฤดูฝน โดยมีระดับการผลิตไฟฟ้ารวมเท่ากับ 845 ล้านหน่วย
ส่วนปริมาณผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มบางเขนชัย (BKC) จะมีระดับการผลิตไฟฟ้าลดลงเหลือ 3.2 ล้านหน่วย เนื่องจากปริมาณแสงอาทิตย์ที่ลดลง นอกจากนี้ การเริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมบางปะอิน โครงการที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.56 ไม่แสดงผลประกอบการที่แท้จริง เนื่องจากระดับการผลิตไม่เต็มที่และค่าเชื้อเพลิงที่สูงกว่าปกติช่วงเริ่มต้นดำเนินธุรกิจ
โดยฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 56 ลง 26% มาอยู่ที่ระดับ 383 ล้านบาท สะท้อนผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนกว่า 246 ล้านบาทช่วงไตรมาส 2/56 และมีแนวโน้มขาดทุนต่อเนื่องไตรมาส 3/56 ประกอบกับการเริ่มดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้า BIC1 ถือว่าต่ำกว่าคาด ทั้งจากจำนวนลูกค้าอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าไม่เต็มที่และต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่สูงกว่าปกติ
อย่างไรก็ตามภาพรวมกำไรสุทธิปี 2556 หลังปรับประมาณการเติบโตกว่า 7 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2555 เนื่องจากการเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้า NN2 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.56 ที่ผ่านมา ประกอบกับการรับรู้ผลประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เต็มทั้งปีจากโรงไฟฟ้า อาทิ โรงไฟฟ้าบางเขนชัย โรงไฟฟ้านครราชสีมา โซล่าร์ และโรงไฟฟ้าเชียงราย โซล่าร์ กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” ให้มูลค่าพื้นฐานเท่ากับ 16 บาท
ทั้งนี้ปัจจุบัน CKP มีธุรกิจผลิตไฟฟ้าอยู่ 3 ประเภท โดยมีกำลังการผลิตจากโครงการรวมทั้งหมด 874.5 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนถือหุ้นทั้งสิ้น 424.9 เมกะวัตต์ ได้แก่ 1.)โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 258.3 MW เดินเครื่องแบบเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ต้นช่วงต้นปีที่ผ่านมา 2.)โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อาทิ บางเขนชัย กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 8 MW, นครราชสีมา โซล่าร์ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 1.8 MW, เชียงราย โซล่าร์ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 2.4 MW 3.)โรงไฟฟ้าพลังความร้อน บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น โครงการ 1 กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 76.4 MW ส่วนโครงการ 2 มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 78 MW กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ช่วงเดือนมิ.ย. 2560
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น