SCCปันผลพิเศษ3บาท
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2556 ผู้เข้าชม : 8 คน
"ปูนใหญ่" ฉลองเอสซีจีครบรอบ 100 ปี ปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 3 บาท แขวน XD วันที่ 11 พ.ย. และจ่าย 28 พ.ย.นี้ ยันรายได้ปีนี้ไม่หลุด4.35 แสนล้านบาท แจ้งงบ Q3 ดีเกินคาดโชว์กำไรสุทธิ 9,793 ล้านบาท โต 53%
นายกานต์ ตระกุลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2556 มีมติอนุมัติให้บริษัท จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2556 เนื่องในโอกาสเอสซีจีครบรอบ 100 ปี ในอัตราหุ้นละ 3 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,600 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 13 พ.ย. 56 ปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 14 พ.ย. 56 กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 11 พ.ย. 56 และกำหนดจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 28 พ.ย. 56
สำหรับรายได้รวมปีนี้บริษัทคาดว่าจะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 4.37 แสนล้านบาท แต่คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 4.35 แสนล้านบาท เนื่องจากค่าเงินในภูมิภาคค่อนข้างผันผวน ประกอบกับมีปัจจัยลบด้านน้ำท่วมมากดดันในช่วงไตรมาส 3/56 นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 4/56 จะมีการปิดเพื่อซ่อมบํารุงโรงงานปิโตรเคมี ที่อ.มาบตาพุด จ.ระยอง เป็นเวลาถึง 45 วัน
อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่ากําไรจะยังเติบโตได้ดี เนื่องจากบริษัทมีการลดต้นทุนในหลายรายการ ทําให้มีอัตรากําไรที่ดีขึ้น ทั้งนี้ประเมินว่าในปีหน้ารายได้จะเติบโตดีกว่าปีนี้ เนื่องจากจะมีโครงการก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นจํานวนมาก โดยในปีหน้าบริษัทจะมีกําลังการผลิตปูนซีเมนต์กว่า 28 ล้านตัน จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 24-25 ล้านตัน ขณะที่ธุรกิจกระดาษก็เริ่มดีขึ้น รวมถึงธุรกิจปิโตรเคมีก็มีแนวโน้มการฟื้นตัวชัดเจน
นายกานต์ เปิดเผยต่อว่า คาดปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในปีนี้จะเติบโตประมาณ 5-7% จากปีก่อน จากเดิมคาดว่าจะเติบโต 7% โดยในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ได้รับปัจจัยกดดันจากประเด็นน้ำท่วมทําให้ภาคการลงทุนก่อสร้างต่างๆ ชะลอตัวลง ทั้งนี้ คาดว่าในปีหน้าปริมาณความต้องการการใช้ปูนซีเมนต์เติบโตอย่างน้อย 4-5% จากปีนี้ โดยยังไม่รวมกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเชื่อวาหากโครงการดังกล่าวเริ่มดําเนินการอย่างชัดเจนแล้ว ก็จะทําให้ปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์มากกว่าเป้าหมายเป็นจํานวนมาก
ทั้งนี้ บริษัทยังคงตั้งงบลงทุน 5 ปี (2557-2561) ไว้ที่ 2.1-2.5 แสนล้านบาท โดยจะใช้ปีละประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเน้นโครงการลงทุน อาทิ โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซีย พม่า และกัมพูชา และโครงการ ปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม รวมไปถึง ควบรวมกิจการด้วย
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาควบรวมกิจการ 4-5 ราย โดยจะเน้นในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งมีศึกษาธุรกิจกระดาษในประเทศอินโดนีเซีย และธุรกิจวัสดุก่อสร้างในประเทศเวียดนามด้วย โดยยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องระยะเวลา และเงินลงทุน
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/56 บริษัทมีรายได้จากการขาย 113,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการเติบโตของทุกธุรกิจ และมีกำไรสุทธิ 9,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และมีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาท จากการปรับมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทสยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด และจากการขายเงินลงทุนในบริษัทโตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ให้กับ TOTO Group
ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 บริษัทมีรายได้จากการขาย 329,839 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการเติบโตของทุกธุรกิจ และมีกำไรสุทธิ 28,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทธุรกิจ เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 55,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นและจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไร 3,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 44% จากไตรมาสก่อน และบริษัทร่วมมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
ด้านเอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 14,871 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเข้าซื้อกิจการในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และปริมาณความต้องการภายในประเทศของกลุ่มธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น โดยมีกำไร 791 ล้านบาท ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 23% จากไตรมาสก่อน
ส่วนเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 45,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการรับรู้รายได้จากกิจการสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำ และอุปกรณ์ โดยมีกำไร 5,368 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 58% จากไตรมาสก่อน
อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ใน 9 เดือนแรกของปี 2556 มีรายได้จากการขาย 28,030 ล้านบาท คิดเป็น 9% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวมในอาเซียน มูลค่า 63,550 ล้านบาท หรือประมาณ 15% ของสินทรัพย์รวมของบริษัทที่มีมูลค่า 426,560 ล้านบาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น