วิจัยใบโพธิ์คาด
การเงินการคลัง วันศุกร์ที่ 01 พฤศจิกายน 2556 ผู้เข้าชม : 0 คน
นางสุทธาภา อมรวิวัฒน์ Chief Economist และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ และธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) กล่าวว่า EIC ปรับประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2556 ลงมาเหลือ 3.4% จากเดิม 4% โดยปัจจัยหลักเนื่องมาจากการลงทุนในโครงการของภาครัฐที่ล่าช้า และการส่งออกที่อ่อนตัวลงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ ประเมินว่าส่งออกจะเติบโต 1.5% เท่านั้น จากในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาที่มีการขยายตัวเพียง 0.1% แต่หากในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีมีมูลค่าการส่งออกในระดับ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ก็จะน่าจะขยายตัวได้ในระดับ 1.5% ตามที่ประเมินไว้
ในปี 2557 ประมาณการเศรษฐกิจเติบโตไว้ที่ 4.5% ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากประเทศคู่ค้าของไทยที่เริ่มจะฟื้นตัวขึ้นไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น โดยคาดว่าการส่งออกจะขยายตัว 8% รวมถึงการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐที่น่าจะเริ่มขึ้นได้
โดยคาดการณ์เม็ดเงินลงทุนไว้ที่ 150,000 ล้านบาท โดยกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลดีก็จะเป็นกลุ่มก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง และขนส่ง แต่หากเป็นกรณีเลวร้ายที่เงินลงทุนไม่สามารถเบิกจ่ายได้ก็จะมีเม็ดเงินลงทุน ที่กระทรวงการคลังสำรองไว้เพื่อเบิกจ่ายได้ทันที 60,000 ล้านบาท และจะส่งผลต่อจีดีพีให้เติบโตเหลือ 4.1%
ปัจจัยเสี่ยงหลักในปีหน้า EIC มองว่ามาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะในส่วนของความไม่แน่นอนของการลดวงเงินการซื้อพันธบัตร (QE) ของสหรัฐที่เป็นปัจจัยเสี่ยงตั้งแต่กลางปีนี้ไปจนถึงปีหน้า ซึ่งจะทำให้เงินทุนไหลเข้าและออกในประเทศที่กำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทยมีความผันผวน และค่าเงินบาทแกว่งทำให้ผู้ที่ทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศต้องระวัง
“เหตุการณ์เหล่านี้จะยังคงอยู่จนกว่าจะมีความชัดเจนถึงระยะเวลาในการเริ่มลดวงเงิน ดังนั้น จึงประเมินค่าเงินบาทในปี 2557 ไว้ที่ 31-32 บาทต่อสหรัฐ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5%”
นอกจากนี้ ยังมีผลทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมเงินบาทในพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นถึง 100% ซึ่งตรงนี้จะส่งผลถึงต้นทุนในการระดมเงินทุนขององค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ หรือธนาคารพาณิชย์บางแห่งที่มีการระดมเงินทุนจากต่างประเทศ หรือถึงเวลาที่จะต้องออกบอนด์ใหม่เพื่อทดแทนบอนด์เก่าที่ครบกำหนด
ปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศเป็นกรณีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่อาจจะมีความล่าช้าออกไปอีกกับปัจจัยทางการเมืองที่เริ่มมีความร้อนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องจับตามอง โดยเท่าที่ผ่านมาจะเห็นผลกระทบในระยะสั้น แต่เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะหากมีปัญหาต่อเนื่องยาวนานจะกระทบด้านความเชื่อมั่นในการลงทุนด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น