PTTEPปีนี้โชติช่วง!
โชว์กำไร6หมื่นล้าน
เป้าหมายขั้นต่ำ 187 บาท รับ Q3/56 กำไร 1.6 หมื่นล้าน
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2556 ผู้เข้าชม : 6 คน
จังหวะดักซื้อหุ้น PTTEP ขานรับข่าวดีประกาศงบไตรมาส 3/56 วันพรุ่งนี้ เชื่อโชว์กำไรสุทธิเกิน 16,000 ล้านบาท หลังปริมาณขาย 288,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ตัวเลขกำไรสุทธิปีนี้ทะลุ 60,000 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ราคาเป้าหมายขั้นต่ำ 187-195 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันพรุ่งนี้ (29 ต.ค.) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP มีกำหนดประกาศผลประกอบไตรมาส 3/56 และงวด 9 เดือนแรกปี 2556 โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินว่าจะมีกำไรสุทธิ 16,662 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 56% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/56 ที่มีกำไรสุทธิ 10,663 ล้านบาท สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 3/56 ดังกล่าว ส่วนใหญ่มาจากรายการพิเศษที่เป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ของเงินกู้สกุลต่างประเทศ 190 ล้านบาท และมีขาดทุนจาก FX ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้รอตัดบัญชี 418 ล้านบาท
ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 3/56 ลดลง 4.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ได้กำไรสุทธิ 17,526 ล้านบาท มาจากค่าใช้จ่ายทางภาษีที่เพิ่มขึ้น 34.7% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อน หลังจากไม่มีการตั้งสำรองด้อยค่าของสินทรัพย์ในแหล่งมอนทารา
อย่างไรก็ตามหากตัดรายการพิเศษออกไปกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนภาษี (Pretax income) จะเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบไตรมาส 2/56 และเพิ่มขึ้นอีก 2.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านปริมาณขายจะอยู่ที่ 288,000 บาร์เรล/วัน ลดลง 1.6% จากงวดก่อนหน้า และลดลง 1% จากช่วงปีก่อน
โดยปริมาณขายลดลงเป็นเพราะแหล่งบงกช แหล่งอาทิตย์และแหล่งไพลิน ส่งผลให้การผลิตก๊าซลดลงหลังเกิดเหตุโรงแยกก๊าชที่ 5 หยุดซ่อม ประกอบกับแหล่งเวียดนาม 16-1 ได้หยุดซ่อมบำรุงชั่วคราว ส่วนราคาขายอยู่ที่ระดับ 67.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 4.4% จากงวดไตรมาส 2 ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น
นักวิเคราะห์ กล่าวอีกว่า หากผลการดำเนินงาน PTTEP ในไตรมาส 3/56 สามารถทำกำไรสุทธิออกมาได้ตามที่คาดการณ์ไว้จะส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรก คิดเป็น 69% จากประมาณการรวมทั้งปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 67,787 ล้านบาท บนสมมติฐานปริมาณการขายปิโตรเลียม 310,000 บาร์เรล/วัน
ส่วนราคาขายเฉลี่ย 65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 105 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล นอกจากนี้ ยังคาดในงวดไตรมาส 4 จะมีกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นอีก 4-5% จากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 300,000 บาร์เรล/วัน ส่วนราคาขายจะทรงตัว และมีการรับรู้รายได้จากค่าเคลมประกันภัยอีก 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐของแหล่งมอนทารา
โดยกำหนดคำแนะนำ“ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 195 บาท สำหรับกำไรสุทธิปี 2557 จะเพิ่มขึ้นอีก 12% จากงวดปี 2556 มาอยู่ที่ระดับ 75,909 ล้านบาท หลังจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นของแหล่ง M9 ในพม่า ที่จะเริ่มผลิตช่วงไตรมาส 2/57 และแหล่งมอนทาราที่ใช้กำลังผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นจาก 15,000 บาร์เรล/วัน เป็น 25,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบน่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับ 100-105 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเท่ากับปัจจุบัน
ขณะที่บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 3 ของ PTTEP ได้คาดไว้ที่ 1.61 หมื่นล้านบาท บนสมมติฐานปริมาณขายปิโตรเลียมลดเหลือ 2.88 แสนบาร์เรลต่อวัน และมีราคาขายปิโตรเลียมปรับตัวสูงขึ้นเป็น 66.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
นอกจากนี้ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2556 ขึ้นอีก 6% มาอยู่ที่ระดับ6.36 หมื่นล้านบาท แม้ปรับสมมติฐานปริมาณขายปิโตรเลียมลง 5% เหลือ 2.93 แสนบาร์เรลต่อวัน และเบื้องต้นกำไรสุทธิงวดไตรมาส 4/56 จะสามารถเติบโตเป็น 1.7 หมื่นล้านบาท ด้วยแรงหนุนปริมาณการผลิตที่ฟื้นตัวจากความเป็นไปได้ที่โรงแยกก๊าซแห่งที่ 5 อาจกลับมาดำเนินงานได้บางส่วน รวมถึงการรับรู้รายได้เงินประกันจำนวน 650 ล้านบาท แนะนำ “ซื้อ” ปรับเพิ่มราคาพื้นฐาน 12% เป็น 187.50 บาท
ขณะที่นางสาวเพ็ญจันทร์ จริเกษม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มการเงินและการบัญชี PTTEP กล่าวช่วงที่ผ่านมาว่า ในงวดปี 2556 บริษัทได้คาดปริมาณผลิตเฉลี่ยรวมทั้งปีเกิน 3 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมทั้งมีปริมาณขายเฉลี่ยกว่า 2.9 แสนบาร์เรลต่อวัน จากนั้นช่วงงวดปี 2557 กำลังการผลิตรวมและปริมาณขายของบริษัทเพิ่มขึ้นอีก 10% เนื่องจากปีหน้า PTTEP จะสามารถบันทึกโครงการผลิตมอนทาราเข้ามาได้เต็มปี รวมถึงเริ่มเดินเครื่องผลิตโครงการซอติก้าเพิ่มเติม
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกที่ผ่านมา PTTEP มีกำไรสุทธิ 30,921 ล้านบาท ดังนั้นหากงวดไตรมาส 3/56 ทำกำไรสุทธิได้ถึง 16,000 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมงวด 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิกว่า 46,000 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 2555 บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 57,315 ล้านบาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น