ดัชนีสิ้นปีเกิน1,500จุด
แนะเก็บแบงก์-สื่อสาร
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2556 ผู้เข้าชม : 10 คน
หุ้นไทย 3 เดือนสุดท้ายได้เม็ดเงินลงทุนจาก LTF-RMF ประคองดัชนีสิ้นปีไม่หลุด 1,500 จุด เชื่อ เม็ดเงินลงทุนดังกล่าวไหลเข้าตลาดเฉลี่ยสูงถึง 30,000 ล้านบาท ส่วนปัจจัยลบภายนอกประเทศเรื่องเพดานหนี้สหรัฐ มั่นใจ ผ่านฉลุย แนะนักลงทุนเก็บหุ้นเด็ด KBANK-INTUCH-SCG-BLA-TTA-TICON-ERAWAN-SCB-KTB-PTT-PTTEP-BGH-CPN และ CK
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการนักลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด เปิดเผยในงานสัมมนาต้อนรับไตรมาส 4 หัวข้อ “กลยุทธ์ลงทุนไตรมาส 4” จัดโดยหนังสือพิมพ์ “ข่าวหุ้นธุรกิจ”, “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” (ตลท.) และตลาด “mai” ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า หุ้นเด่นช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ แนะลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพพื้นฐานดี ทั้งหุ้นในกลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน และท่องเที่ยว
ประกอบด้วย หุ้น KBANK ราคาเป้าหมาย 254 บาท หุ้น INTUCH ราคาเป้าหมาย 125 บาท หุ้น SCG ราคาเป้าหมาย 584 บาท หุ้น BLA ราคาเป้าหมาย 70 บาท หุ้น TTA ราคาเป้าหมาย 21.5 บาท หุ้น TICON ราคาเป้าหมาย 25.4 บาท และหุ้น ERAWAN ราคาเป้าหมาย 60.1 บาท โดยกรอบดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,340-1,500 จุด
สำหรับทิศทางการลงทุนของตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ เชื่อว่า โอกาสเม็ดเงินลงทุนนอกไหลเข้าประเทศมีความเป็นได้ค่อนข้างสูง หากพ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาทผ่านความเห็นชอบของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการพิจารณาเห็นชอบพ.ร.บ.ดังกล่าวครั้งล่าสุด จะเกิดขึ้นภายในกลางเดือนพ.ย. 56 นี้
ขณะเดียวกันช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ หุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นจากเม็ดเงินลงทุนเข้าลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) คาดว่า จะมีเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท
ประเด็นดังกล่าวถือเป็นปัจจัยบวกภายในประเทศที่สำคัญที่จะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนเข้ามายังตลาดทุนไทยได้ เพราะความผันผวนจากปัจจัยลบนอกประเทศยังคงมีอยู่ ส่งผลให้การพิจารณาการถอนวงเงินเข้าระบบผ่านมาตรการ QE เป็นการทยอยถอนมาตรการดังกล่าว ซึ่งอาจจะประกาศใช้แผนการดังกล่าวภายในปลายปีนี้หรือช่วงต้นปีหน้าแทน
นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด กล่าวว่า สำหรับหลักทรัพย์เด่นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยปัจจัยบวกภายในประเทศและการฟื้นตัวของพลังงาน ประกอบด้วย หุ้น SCB, หุ้น KTB, หุ้น PTT, หุ้น PTTEP และหุ้น TTA
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่า จะได้รับแรงสนับสนุนเม็ดเงินลงทุนภายในประเทศอย่างการเข้าลงทุนของกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนสำรองเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อนำสิทธิไปใช้ลดหย่อนทางภาษี คาดว่า เม็ดเงินลงทุนดังกล่าวจะไหลเข้ากองทุน LTF ประมาณ 15,000 ล้านบาท เข้าลงทุนในกองทุน RMF ประมาณ 10,000 ล้านบาท เฉลี่ยเม็ดเงินลงทุนเข้าลงทุนใน 2 กองทุนดังกล่าวภายในเดือนที่เหลือของปีนี้ประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ มีโอกาสปรับตัวขึ้น ด้วยปัจจัยบวกภายในประเทศดังกล่าวมาข้างต้น แม้ว่าในระยะสั้นจะมีความผันผวนจากปัจจัยลบภายนอกประเทศอย่างเรื่องเพดานหนี้ของประเทศสหรัฐ ซึ่งเชื่อว่าประเด็นดังกล่าวน่าจะได้ข้อสรุปก่อนกำหนดในวันที่ 17 ต.ค. 56 และผ่านไปได้ด้วยดี ส่วนดัชนีหุ้นไทยปีนี้ มองว่า อยู่ที่ระดับ 1,540 จุด
นายรณกฤต สารินวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลักทรัพย์เด่นช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ แบ่งการลงทุนออกเป็นหุ้นช่วงไฮซีซั่น หุ้น พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน หุ้นปันผล และหุ้นแวลู ประกอบด้วย หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล และหุ้นกลุ่มก่อสร้าง อย่างเช่นหุ้น BGH หุ้น CPN และหุ้น CK
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในหุ้นไทยช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จะได้ปัจจัยบวกสนับสนุนจากเม็ดเงินลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ซึ่งไตรมาสสุดท้ายของทุกปีเม็ดเงินดังกล่าวจะไหลเข้ามาจำนวนมาก ทั้งนี้ หากสถานการณ์เรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐผ่านไปได้ด้วยดีโดยไม่มีข้อติดขัดใดๆ ในวันที่ 17 ต.ค. 56 นี้ เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองในเชิงบวก โดยมองว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,550 จุด หากมีการปรับฐานบ้างคงไม่ต่ำกว่า 1,455 จุด อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนี้สหรัฐน่าจะผ่านไปได้ด้วยดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น