เจเน็ต เยลเลน
กองทุนรวม ประกัน วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2556 ผู้เข้าชม : 9 คน
หลังจากที่เป็นกังวลมาพักใหญ่เกี่ยวกับว่าใครจะเป็นประธานเฟดคนถัดไป ซึ่งจะมีนัยยะต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในโลก ที่ปัจจุบันอยู่ในโหมดการผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ทว่าในตอนนี้ก็คงชัดเจนแล้วว่า นางเจเน็ต เยลเลน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานเฟดน่าจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานคนถัดไป หลังจากที่ ปธน. โอบามาได้เสนอชื่อนางเพื่อเป็นประธานเฟดต่อวุฒิสภาเมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่ผ่านมา นั่นจะทำให้เธอจะมีโอกาสที่จะเป็นประธานที่เป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ เกือบ 100 ปีของเฟดด้วย
สำหรับประวัติของนางเยลเลนนั้นค่อนข้างสวยหรูทีเดียว เธอจบการศึกษาระดับปริญญาเอกจาก Yale University เคยสอนที่ Harvard, London School of Economics และ UC Berkeley และมีผลงานด้านวิชาการมากมาย เธอเคยเป็นประธาน Council of Economic Advisers ในสมัย ปธน.คลินตัน และเคยดำรงตำแหน่งประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกซึ่งเป็นเสมือนศูนย์กลางทางการเงินในฝั่งตะวันตกของสหรัฐ ในเรื่องส่วนบุคคล เธอได้แต่งงานกับ Prof.Geroge Akerlof ซึ่งเป็นผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2001 และหลายคนถือว่าเขาทั้งสองเป็นคู่สามีภรรยาที่มีบทบาทมากที่สุดในแวดวงเศรษฐศาสตร์
แต่ประวัติที่สำคัญที่สุดของเธอน่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งรองประธานเฟดและรองประธานคณะกรรมการ FOMC ใน ปัจจุบันนี้ เพราะนั่นหมายถึงเธอมีส่วนร่วมในการตัดสินใจการดำเนินนโยบายการเงินมาโดย ตลอด นอกจากเธอเองไม่เคยปรากฏชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นขัดแย้งกับมติที่ประชุม แล้ว การให้ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นผู้หนึ่งที่ พยายามผลักดันให้เฟดใช้มาตรการใหม่ๆ (Unconventional policies) เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อันเป็นที่มาของ QE, Operation Twist และ Forward Guidance
ดังนั้น นโยบายการเงินของสหรัฐ จึงน่าจะมีความต่อเนื่องจากสมัยเบอร์นันเก้ นั่นทำให้ความกังวลหายไปมาก โดยเฉพาะความกังวลว่านโยบายการเงิน หรือหมายถึงดอกเบี้ยนโยบาย จะปรับเข้าสู่โหมดคุมเข้มเร็วขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลบวกต่อทั้งเศรษฐกิจและการลงทุน
“แม้ว่านางเยลเล็นเข้ามาดำรงประธานเฟด เรามองว่านโยบายเกี่ยวกับ QE Tapering อาจจะไม่เปลี่ยนแปลงไปนัก คณะกรรมการ FOMC หลายท่านได้ออกมาให้ความเห็นชัดเจนว่าไม่ค่อนสบายใจนักกับพิมพ์เงินออกมาเดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ.ไปเรื่อยๆ แต่ QE Tapering ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่การประชุมครั้งก่อนนั้นกลับถูกชะลอไปก่อน” นายสมชัย อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM ระบุ
เนื่องจากปัญหาด้านการคลัง ซึ่งมีพัฒนาการแย่ลงกลายมาเป็นต้องมาปิดหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง แต่แนวโน้มการเจรจาเรื่องเพดานหนี้สาธารณะที่ดีขึ้นนี้ และเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการขยายเพดานหนี้ออกไปก่อน ซึ่งทำให้ความเสี่ยงด้านการคลังลดลงไป และอาจเป็นเหตุให้ QE Tapering เกิดขึ้นได้ในเร็วๆ นี้
ซึ่งทางฝ่ายวิจัยกรุงไทยยังมองว่า QE Tapering น่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ และสิ้นสุดการเข้าซื้อในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า ซึ่งประเด็นนี้น่าจะสร้างความผันผวนให้กับการลงทุน และเป็นประเด็นที่จะจำกัด Upside ที่มีนัยสำคัญของสินทรัพย์เสี่ยงในลำดับถัดไป
สำหรับกระบวนการหลังจากที่ ปธน.โอบามา จะเสนอชื่อผู้ไปยังวุฒิสภาแล้ว คณะกรรมมาธิการด้านการธนาคารของวุฒิสภาจะก็นัดนางเยลเลนมาแถลงและสัมภาษณ์ ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นให้ตลาดต้องติดตามว่าจะส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายกว่ากรอบที่เบอร์นันเก้เคยระบุไว้หรือไม่
หลังจากนั้น คณะกรรมาธิการฯ ก็จะลงมติให้ความเห็นชอบ ก่อนที่จะเสนอชื่อนั้นให้กับวุฒิสภาองค์รวมได้ลงมติให้ความเห็นชอบอีกครั้ง แต่เมื่อนางเยลเลนจะได้รับเสนอชื่อแล้วนั้น กระบวนการหลังการเสนอชื่อก็น่าจะเป็นเพียงแค่ “พิธีการ” เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น