วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

‘ตลาดหุ้นไทย’โล่งอก ศาลรัฐธรรมนูญยูเทิร์น ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2556

‘ตลาดหุ้นไทย’โล่งอก
ศาลรัฐธรรมนูญยูเทิร์น

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 13 คน 

ตลาดหุ้นไทยหายขุ่นมัว หลังศาลรธน.ไม่รับคำร้องประเด็นที่มาของส.ว.ขัดต่อกฎหมาย ขณะที่ปัจจัยภายนอกหนุนประธานเฟดคนใหม่สานต่อคิวอี ด้านโบรกฯมองเริ่มเห็นสัญญาณต่างชาติเข้า  แนะเล่น  MINT ,CENTEL และหุ้นกลุ่ม AOT, BTS รับ High season
          วานนี้ตลาดหุ้นไทยปิดระดับ 1,434.66 จุด เพิ่มขึ้น 0.60 จุด มูลค่าเทรด 34,034.28 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯมองว่าตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวผันผวน หลังจากที่มีการปรับตัวขึ้นแรงก่อนหน้านี้  ส่งผลให้มีแรงขายทำกำไรออกมา ขณะเดียวกันเริ่มมีสัญญาณว่าต่างชาติจะกลับเข้ามา ดังนั้นวันนี้ยังมีโอกาสลุ้นรีบาวด์ขึ้นได้ จากปัจจัยการเมืองภายในประเทศที่เริ่มคลี่คลาย ภายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องกรณีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาของส.ว.ขัดต่อกฎหมายหรือไม่
        นอกจากนี้ยังมองว่า กรณีที่ประธานาธิบดีโอบามา จะเสนอชื่อ นางเจเน็ต เยลเล็น รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้เข้ารับตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่วันนี้   ซึ่งนางเจเน็ต เยลเล็น เป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนในการทำคิวอี จะเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นทั่วโลก
        สำหรับหุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการเมืองภายในประเทศคลี่คลาย ได้แก่ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรมที่ได้ประโยชน์จากอัตราเข้าพักที่ขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่  MINT, CENTEL และหุ้นกลุ่มขนส่งที่กำลังเข้าสู่ช่วง High season ได้แก่ AOT, BTS
         วานนี้ (9 ต.ค. 56) ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งไม่รับคำร้องของประธานรัฐสภาที่ส่งความเห็นของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กับคณะ รวม 142 คน และคำร้องของประธานวุฒิสภา ที่ส่งความเห็นของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหากับคณะ รวม 68 คน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 วรรคหนึ่ง ว่า ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาของ ส.ว.ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
        ทั้งนี้ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 ได้บัญญัติเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้เป็นการเฉพาะในมาตรา 291 ว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้กระทำได้ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการตาม (1) ถึง (7) ว่า ให้ทำเป็นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติม และเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ไม่ใช่ทำเป็นร่าง พ.ร.บ. และในมาตรา 291 (7) ได้บัญญัติให้นำบทบัญญัติในมาตรา 150 และ มาตรา 151 มาบังคับใช้โดยอนุโลม
          ซึ่งไม่ได้บัญญัติให้นำมาตรา 154 ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการควบคุมการตราพ.ร.บ. มิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาใช้บังคับ ดังนั้น จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 วรรคหนึ่ง (1) ที่ศาลจะรับไว้วินิจฉัยได้
จรัมพรยันหุ้นไทยไม่กระทบ
         ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปัญหาในเรื่องงบประมาณ และเพดานหนี้ของสหรัฐอเมริกา เชื่อว่าทางสหรัฐจะดำเนินการที่รอบคอบ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่ปัญหาเพดานหนี้ เชื่อว่าหากสหรัฐมีความจำเป็นในการเพิ่มเพดานหนี้ ก็จะสามารถช่วยยืดระยะเวลาออกไป ซึ่งคิดว่าเป็นวิธีในการแก้ปัญหาวิธีหนึ่ง โดยจะไม่ส่งผลลบต่อภาพรวมของตลาดหุ้น แต่จะเป็นการผลักดันภาระไปข้างหน้า ว่า ครั้งต่อไปอาจต้องเพิ่มเพดานหนี้อีกหรือไม่
         นอกจากนี้ นายจรัมพร ได้กล่าวถึงการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ โดยเฉพาะดาวโจนส์ที่ลดลง 159.71 จุด หรือติดลบ 1.07% ว่า มองว่าตลาดปรับตัวขึ้นลงอยู่ทุกวันตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยดัชนีที่ปิดตัวติดลบ 1% ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่พบเป็นประจำทุกวัน แต่ทั้งนี้ ต้องติดตามในวันที่ 17 ตุลาคมในเรื่องของเพดานนี้ ซึ่งจากนี้ไป ตลาดอาจจะผันผวน ขึ้นอยู่กับใครจะให้น้ำหนักที่ปัจจัยใด
        ด้านสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ระบุว่า ไม่มีความเชื่อมโยงกันโดยตรงระหว่างเพดานหนี้และการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ โดยรัฐบาลสหรัฐจะยังคงจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นสำหรับหนี้สินของประเทศ แม้ว่าเกิดกรณีที่ไม่มีการปรับเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งจะทำให้ไม่มีผลกระทบต่ออันดับเครดิต
สัญญาณต่างชาติเข้า
         นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ ยังมีความผันผวน ซึ่งต้องรอดูสถานการณ์ว่ารัฐบาลสหรัฐจะสามารถเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะได้หรือไม่ โดยเกิดกระแสเงินทุนต่างชาติไหลออก โดยตลาดหุ้นไทยนั้นเป็นตลาดที่ต่างชาติขายหุ้นทิ้งออกไปมากที่สุดในภูมิภาคมากถึง 80,804 ล้านบาท
         อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มว่าต่างชาติได้เริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง ดูได้จากค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่าในช่วงนี้ ซึ่งในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยมากถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ
         ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยสิ้นเดือนกันยายน 2556 ดัชนีปิดที่ 1,383.16 จุดปรับลดลง 0.63 % จากสิ้นปี 2555 แต่เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อน ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุดในภูมิภาคโดยเพิ่มขึ้น 6.87% โดยสิ้นเดือนกันยายน 2556 ดัชนีหลักทรัพย์รายอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนก่อนเกือบทุกอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มพลังงาน และเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน กลุ่มเทคโนโลยีฯปรับเพิ่มสูงสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ
          นอกจากนี้มูลค่าตลาด (Market capitalization) ของ SET และ MAI ณ สิ้นเดือนไตรมาส 3/56 ปรับตามทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯโดยของ SET อยู่ที่ 12,079.56 ล้านบาท และของ  mai อยู่ที่ 174,120 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นไตรมาสก่อนที่ 3.59% และ 1.56% ตามลำดับ แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 7.02% และ 12% ตามลำดับ
         บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เชื่อว่าหาก SET INDEX ปรับฐานลงอาจกลายเป็นการเปิดจังหวะให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้
         “ด้านกระแสเงินทุนต่างชาติกลับชะลอการลงทุนทั้งในด้าน ซื้อและขายสุทธิ ทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ หลังลดน้ำหนักการลงทุนไปอย่างหนาแน่นช่วงเดือนก.ค.–ส.ค. ทำให้นักลงทุนกลุ่มน่าจะเป็นเพียง Wait&See และอาจหาจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นหลักปรับฐานลง”
          นักวิเคราะห์มองว่าปัจจัยเรื่องเพดานหนี้สหรัฐน่าจะจบลงด้วยดี และทำให้หุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อได้ หากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบแนวรับจะอยู่ที่ 1,430 จุด และแนวต้าน 1,440 จุด และ 1,445 จุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น