คลังมั่นใจพิษเพดานหนี้
การเมือง วันพฤหัสบดีที่ 03 ตุลาคม 2556 ผู้เข้าชม : 7 คน
คลังเชื่อปัญหาขยายเพดานหนี้ของสหรัฐในวันที่ 17 ต.ค.นี้ กดดันธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) คงมาตรการ QE ต่อไป ด้านสภาพัฒน์เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก กำลังซื้อของต่างประเทศจะเริ่มกลับมาในไตรมาสที่ 4 ต่อเนื่องถึงปีหน้า
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เชื่อว่าปัญหาหน่วยงานราชการของสหรัฐบางแห่งต้องปิดบริการชั่วคราว ที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบร้ายแรง เพราะสถานการณ์ไม่ได้ลุกลามออกนอกสหรัฐ รวมทั้งเท่าที่สังเกตจากตลาดทุนในสหรัฐ ตลาดทุนทั่วโลก รวมทั้งตลาดในเอเชียก็ไม่ได้ตระหนกกับเหตุการณ์ดังกล่าว เนื่องจากในอดีตสหรัฐก็เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว เพียงแต่คงต้องจับตาที่สหรัฐจะหาทางออกเรื่องนี้ในอีก 1-2 สัปดาห์
ส่วนประเทศไทยคงต้องเฝ้าระวังเรื่องความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและความผันผวนทางการเงิน เพราะหากมีข้อสรุปได้เร็วก็จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ เลย พร้อมเชื่อว่าสภาคองเกรสและประธานาธิบดีสหรัฐ จะมีความเข้าใจต่อผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประกาศ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ต้องจับตาประเด็นการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐในวันที่ 17 ต.ค.นี้ หากสหรัฐขยายเพดานหนี้เพิ่มขึ้นก็จะทำให้ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง โดยจะส่งผลกระทบทำให้ตลาดเงินและตลาดหุ้นเกิดความผันผวนอย่างหนัก
อีกทั้งยังต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะมีการประชุมช่วงปลายเดือนต.ค. เพื่อพิจารณาว่าจะมีการลดขนาดมาตรการ QE หรือไม่ ตลาดมีการคาดการณ์ว่าการประชุมครั้งนี้น่าจะยังคงขนาด QE ต่อไป
โดยเชื่อว่าสถานการณ์ครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาช่วงสั้นๆ เท่านั้น โดยตลาดทุนและตลาดหุ้นทั่วโลกมีการคาดการณ์เหตุการณ์ดังกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมาได้ และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เพราะมีกระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียและไทย
ขณะที่นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะกระทบเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสล่าสุดเพียง 0.1% เท่านั้น และคาดว่าในไม่ช้าคงจะหาทางออกได้
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สภาพัฒน์ รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยรวมว่า เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก กำลังซื้อของต่างประเทศจะเริ่มกลับมาในไตรมาสที่ 4 ต่อเนื่องถึงปีหน้า ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของการส่งออกอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตาม 3 ประเด็นอย่างใกล้ชิดคือ 1.การลดการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของสหรัฐ 2.การหยุดดำเนินงานของรัฐบาลกลางสหรัฐ และ 3.สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศกลุ่มยุโรป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น