วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

George Soros เชื่อวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้คล้ายวิกฤตการณ์Subprime มีผลร้ายต่อemerging market

ดัชนีหุ้นต่ำสุดรอบ2ปี แนะ‘การบิน-รับเหมา’

2016-01-08 
ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดลบ 35.21 จุด มาที่ 1,224.83 จุด ต่ำสุดในอรอบกว่า 2 ปี ผู้จัดการ ตลท.ย้ำมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ด้านโบรกฯ แนะถือเงินสด หรือเลือกเก็บหุ้นสายการบิน และท่องเที่ยว เช่น AAV และ MINT รวมถึงกลุ่มรับเหมา STEC-CK-STEC และ UNIQ รับการลงทุนในประเทศ ส่วน ADVANC-INTUCH ให้เก็งกำไรช่วงสั้น
วานนี้(7 ม.ค.) การซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ดัชนีปิดลบ 35.21 จุด มาที่ 1,224.83 จุด และเป็นระดับต่ำสุดของวัน มูลค่าการซื้อขาย 45,952.68 ล้านบาท
ทั้งนี้ ดัชนีที่ปิดระดับดังกล่าว ลงมาต่ำสุดในรอบ 2 ปี หรือเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2557 ดัชนีปิดต่ำสุดที่ 1,205.44 จุด ซึ่งเป็นช่วงการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ก่อนที่จะมีการรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม
นักวิเคราะห์ มองว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ในหุ้นขนาดใหญ่ถูกแรงขายเพราะความกังวลในเรื่องการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่น่าจะมากขึ้น รวมถึงข้อกังวลในหุ้นกลุ่มสื่อสาร ถึงการลงทุนในคลื่นความถี่ 4G และยังมาจากปัจจัยตลาดหุ้นในเอเชียที่ปรับลง หลังวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศจีน
ขณะที่ทางการจีนได้ประกาศใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ หรือหยุดพักการซื้อขายหุ้นเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 วัน
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงกว่า 30 จุดเป็นผลจากปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่ระงับการซื้อขายในวันนี้หลังใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์เนื่องจากดัชนีร่วงกว่า 7% ทำให้นักลงทุนมองเป็นผลลบต่อตลาดหุ้น และส่งผลต่อตลาดทั่วโลก
ปัจจุบันตลาดได้รับปัจจัยต่างประเทศเข้ามามากขณะที่ปัจจัยในประเทศยังดีอยู่ โดยเชื่อว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนน่าจะปรับดีขึ้นตามนโยบายการลงทุนภาครัฐเข้ามาช่วย
หากนักลงทุนมีความพร้อมในการลงทุนระยะยาวยังสามารถทยอยเก็บหุ้นได้ แต่ในระยะสั้น แนะนำให้ระมัดระวังลงทุนและรอจังหวะการลงทุน อย่างไรก็ตามในส่วนมาตรการทางตลาดฯคงไม่มีอะไรเพิ่มเติมออกมารวมทั้งในส่วนกองทุนพยุงหุ้น ก็ยังไม่มีความคิดในส่วนนี้ออกมา แต่มาตรการที่จะทำได้คือความร่วมมือกับทางกองทุน โบรกเกอร์ ในการเปิดสัมมนาให้ข้อมูลนักลงทุน
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอสเอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เงินหยวนยังคงเป็นประเด็นสำคัญในการกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (7 ม.ค.) ซึ่งจีนใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ อีกทั้งราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงแรงมาก และยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนว่าจะปรับขึ้นเมื่อใด
ในภาวะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง แนะนำให้เลือกหุ้นอย่างรอบคอบ และระมัดระวังมากขึ้น เน้นเลือกหุ้นรายตัวที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ถ้าเก็งกำไรระยะสั้นแนะนำหุ้นกลุ่มสื่อสารรายตัว ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือADVANC และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH
ส่วนหุ้นที่เน้นถือยาว ได้แก่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือTRUE, บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ, บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือCK และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยที่กดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในขณะนี้ คือ เศรษฐกิจของจีน ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปีวานนี้ (7 ม.ค.) โดยอ่อนค่าลง 0.332% มาอยู่ที่ 6.5646 หยวน/ดอลลาร์ ต่ำสุดนับแต่วันที่ 18 มี.ค. 2554
ขณะที่ตลาดหุ้นจีนปิดทำการจากการใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ หลังดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับลดลง 7.2% ในการซื้อขายช่วงเช้า ส่วนปัจจัยรองลงมาคือราคาน้ำมันที่ลดลง และมีแนวโน้มว่าจะลดลงอีก
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน แนะนำให้รอดูก่อนในจังหวะที่ดัชนีหุ้น 1,222 จุด อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจซื้อ-ขาย เพราะอาจมีการรีบาวด์ในช่วงสั้นๆ ซึ่งหุ้นที่ปลอดภัยในภาวะแบบนี้ แนะนำหุ้น บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งจำกัด (มหาชน) หรือRATCH และบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)หรือEGCO
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก แต่อย่างไรก็ตามดัชนีสามารถรีบาวด์ขึ้นมาได้โดยหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก แต่ทั้งนี้ตลาดฯ ยังคงโดนกดดันจากหุ้นขนาดใหญ่ เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันปรับตัวลงอย่างรุนแรงเมื่อคืนวันที่ 6 ม.ค. หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังการพรีวิวผลประกอบการไตรมาสที่ 4/58 ออกมาไม่ค่อยดีนัก ส่งผลให้นักวิเคราะห์เริ่มมีการปรับลดประมาณการ
ทั้งนี้ ปัจจัยต่างประเทศจากเศรษฐกิจจีน หลังตลาดหุ้นจีนในวันนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ร่วงลงไปถึง 7.3% ในการซื้อขายก่อนหน้าที่จะมีการใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์อีกครั้ง ถือเป็นครั้งที่ 2 ในรอบสัปดาห์ที่มีการระงับการซื้อขาย ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นที่ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับสภาพคล่อง และพร้อมที่จะขาย เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะตัวเลข PMI ที่ออกมาในระดับต่ำว่า 50 เป็นตัวสะท้อนต่อการบริโภคของจีน นอกจากนี้ยังมีประเด็นการลดค่าหยวนของแบงก์ชาติจีนที่ส่งผลให้ค่าเงินหยวนเช้าวันนี้อ่อนค่าในระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี
"กองทุนทั่วโลก และนักลงทุนสถาบันจีนมีการลดพอร์ต เพราะจีนมีปัจจัยเสี่ยงที่สูง" นายณัฐชาต กล่าว
ด้านกลยุทธ์การลงทุน ช่วงระดับ 1,240 จุด เป็นช่วงที่ Valuation เริ่มมีความน่าสนใจ จึงแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้น เน้นหุ้นที่มีปันผลสูง พร้อมประเมินแนวรับที่ 1,230 จุดและแนวต้านที่ 1,250 จุด
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จีนประชุมฉุกเฉินวันนี้ เพื่อติดตามภาวะการลงทุนที่ผันผวนในตลาดหุ้น แต่ยังไม่ตัดสินใจดำเนินมาตรการใดๆ เพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดเปิดเผยว่า ก.ล.ต.จีนเรียกประชุมฉุกเฉินเป็นการภายในเพื่อประเมินภาวะตลาด และประเมินผลจากการใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ในวันนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่สองนับแต่เปิดตลาดในสัปดาห์แรกของปี 2016
“ก.ล.ต.จีนคงประชุมกันเพื่อประเมินถึงประสิทธิภาพของการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพตลาด และอาจขยายกรอบของการใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์การคาดการณ์ความผันผวนของตลาดหุ้นจีน”นายเบอร์นาร์ด อิว นักกลยุทธ์ที่ไอจีเอเชียในสิงคโปร์กล่าว
ขณะที่ดอยช์แบงก์เอจีคาดว่า ก.ล.ต.จีนอาจขยายเกณฑ์การใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์จากเกณฑ์ที่กำหนดว่าเมื่อดัชนีฯปรับลดลง 7% ตลาดหุ้นจะหยุดการซื้อขายและปิดทำการเต็มวัน เป็น 20% ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
นอกจากนี้ “จอร์จ โซรอส”มหาเศรษฐีและนักเก็งกำไรชื่อดังเตือนว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤต และนักลงทุนจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนอย่างมาก เนื่องจากจีนกำลังอยู่ในช่วงปฏิรูปเศรษฐกิจ และการลดค่าเงินหยวนของจีนจะก่อให้เกิดปัญหาต่อเศรษฐกิจต่อภูมิภาคอื่นๆ ของโลก
โดยในแสดงปาฐกถาที่ศรีลังกาวันนี้ (7 ม.ค.) นายโซรอส กล่าวว่า จีนกำลังพยายามหาโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่จะเป็นโมเดลของการขยายตัวอย่างยั่งยืน ขณะที่การลดค่าเงินหยวนของจีนจะก่อให้เกิดปัญหาต่อภูมิภาคอื่นๆ ของโลก
นอกจากนี้ นายโซรอสเตือนว่า อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรที่เป็นบวกจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดเงินตลาดทุนตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเป็นภาวะที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2008 ก่อนเกิดวิกฤตการเงินโลก
“จีนกำลังเผชิญปัญหากับการปรับตัวครั้งใหญ่ หรืออาจพูดได้ว่า จีนจวนเจียนจะเกิดวิกฤต เมื่อพิจารณาถึงภาวะการลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนของจีน ซึ่งนับเป็นความท้าทายใหญ่หลวงที่ย้ำเตือนให้ผมระลึกถึงวิกฤตปี 2008”นายโซรอส กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น