วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เจาะลึก indicator ยอดฮิต ตอนที่ 5 "Stochastic Oscillator"

27 กรกฎาคม 2556


เจาะลึก indicator ยอดฮิต ตอนที่ 5 "Stochastic Oscillator"


       มาถึงตอนที่ 5 กันแล้วนะครับสำหรับซี่รี่ย์เจาะลึก indicator ยอดฮิต โดยในตอนนี้จะนำเสนอ indicator ที่มีชื่อว่า Stochastic Oscillator (STO.) ซึ่งเป็น indicator ที่นักลงทุนหลายต่อหลายท่านนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย วันนี้เราจะมาเจาะลึกให้ถึงแก่นของมันเลยว่าจริงๆ แล้วเจ้า STO. นั้นมันทำอะไรได้บ้าง แล้วใช้งานได้ดีแค่ไหน จะได้นำไปพัฒนากลยุทธ์ของท่านเองได้ครับ มาดูกันเล้ยยย ^___^




STOCHASTIC OSCILLATOR (STO.)

    Dr. George C. Lane เป็นผู้คิดค้นและเผยแพร่ในช่วงปี ค.. 1950 โดย Stochastic เป็น momentum indicator โดยแสดงให้เห็นถึงการเปรียบเทียบว่าราคาปิดในช่วงเวลาที่สนใจนั้นสูงหรือต่ำ Stochastic นั้นไม่ได้เป็น indicator ที่เคลื่อนไหวตามแนวโน้มราคา หรือ ปริมาณการซื้อขายแต่อย่างใด แต่ Stochasticนั้นเคลื่อนไหวตาม momentum ของราคา จากคำกล่าวที่ว่า การเปลี่ยนทิศทางของ momentum จะเกิดขึ้นก่อน การเปลี่ยนทิศทางของ ราคา” เช่นใน Bullish และ Bearish Divergence จะเห็นได้ว่า Stochasticนำไปใช้แสดงถึงการกลับตัวของราคาที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่ง Lane นั้นนำ Stochastic Oscillator นั้นไปใช้ในการคาดการณ์การเกิดขึ้นของแนวโน้มในอนาคต

โดยสูตรคำนวณและตัวอย่างการคำนวณมีดังนี้ (ท่านใดไม่สนใจสามารถข้ามไปดูการใช้งานได้เลยครับ)


ตัวอย่างการคำนวณ indicator STO.

ตัวอย่างการคำนวณใช้ข้อมูลในอดีต วันในการคำนวณซึ่งค่าที่ได้นั้นจะเป็นแบบ Fast STO. 9 วัน

สูตรของ Lane นั้น ถ้าคำนวณแบบธรรมดาทั่วไปจะได้ออกมาเป็น Fast Stochastic Oscillator ซึ่งจะมีความผันผวนมาก จึงได้มีการปรับให้ค่าที่ได้มีความเรียบมากขึ้นเป็น Slow Stochastic Osciallatorโดยการนำ Fast STO. มาเฉลี่ย วัน แต่ Stochastic Oscillator ในที่นี้เราจะนำ  Slow STO. มาเฉลี่ยอีก เพื่อให้ได้ค่าที่มีความเรียบมากยิ่งขึ้น ซึ่งค่าที่นำมาเฉลี่ยนั้นเราจะเรียกว่า %K Slowing (n) ถ้า n เป็น วัน จะเทียบเท่ากับ Fast STO. แต่ถ้า n เป็น วัน จะเทียบเท่า STO. ที่เรากล่าวถึง 

การใช้งาน และ การตีความ

การใช้งาน บ่งบอกถึง momentum ของราคาหุ้น, Overbought – Oversold, บ่งบอกสัญญาณซื้อ – ขาย  

Stochastic interpretation (การตีความ Stochastic Oscillator)


1. Predict Momentum Reversal (ทำนายการกลับตัวของ momentum)

o   Bearish Divergence [เส้นสีฟ้า คือ เส้น %K]


o   Bullish Divergence [เส้นสีฟ้า คือ เส้น %K]


2.Overbought – Oversold identification

  • Overbought หมายถึง สภาวะที่เกิดการซื้อมากเกินไป (มีอุปสงค์ อุปทาน) ตามหลักการนั้น เป็นสภาวะที่ราคามีโอกาสปรับตัวลดลงจากความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานดังกล่าว โดยสัญญาณของ Stochastic จะบ่งชี้ถึงภาวะ Overbought เมื่อ %K > 80 เป็นต้นไป และจะเข้าสู่ภาวะ Super overbought เมื่อ %K > 90



  • Oversold หมายถึง สภาวะที่เกิดการขายมากเกินไป (มีอุปสงค์ อุปทาน) ตามหลักการนั้น เป็นสภาวะที่ราคามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานดังกล่าว โดยสัญญาณของ Stochastic จะบ่งชี้ถึงภาวะ Oversold เมื่อ %K < 20 เป็นต้นไป และจะเข้าสู่ภาวะSuper oversold เมื่อ %K < 10



3. Entry & Exit identification (บ่งบอกถึงจุดซื้อ – จุดขาย)

  • การบ่งบอกจุดซื้อจุดขายจะต้องนำ %D มาใช้ในการบอกจุดด้วย ซึ่งอย่างที่บอกไปแล้วว่า %Dนั้นได้มาจากการเฉลี่ย %K 3 วัน (เฉลี่ยแบบ Simple Moving Average) เราจึงเห็นว่า STO. มี 2เส้น คือ %K และ %D โดยสัญญาณซื้อ – ขาย แบ่งได้ แบบ

3.1    ซื้อ : เมื่อ %K ตกลงเข้าในเขต Oversold และดีดกลับขึ้นมา > 20 ได้
ขาย เมื่อ %K เข้าในเขต Overbought และ ตกกลับลงมา < 80  

          3.2    ซื้อ เมื่อ %K ตัดขึ้นเหนือ %D
                   ขาย เมื่อ %K ตัดลงต่ำกว่า %D

          3.3    ดูการเกิด Bullish & Bearish Divergence ในการหาจังหวะซื้อขาย เพราะ อย่างที่กล่าวไว้ว่าการเปลี่ยนทิศทางของ momentum จะเกิดขึ้นก่อน การเปลี่ยนทิศทางของ ราคา” สามารถนำมาหาจังหวะเข้าซื้อและขายออกได้ซึ่งต้องฝึกใช้ให้เกิดความชำนาญพอสมควร


Tips & Trick

  1. เนื่องจาก Stochastic Oscillator เป็น indicator ประเภท  momentum oscillator ดังนั้นสัญญาณซื้อ-ขายที่แม่นยำ จึงใช้ได้ดีกับตลาดที่ไม่เกิดแนวโน้ม (Sideway) เพราะตลาดจะแกว่งตัวขึ้นลงไปมา
  2.  ดังนั้นในตลาดขาขึ้น (Uptrend) Stochastic จึงให้สัญญาณซื้อได้ดีกว่าสัญญาณขาย เพราะหากขายไปหุ้นมักจะขึ้นต่อ เนื่องจากมันแค่ย่อตัวลงมาเท่านั้น momentum ไม่ได้เปลี่ยนทิศทางแต่อย่างใดและตลาดมีลักษณะแกว่งตัวเป็นขาขึ้น
  3. ในตลาดขาลง (Downtrend) Stochastic จะให้สัญญาณขายที่แม่นยำกว่าสัญญาณซื้อ เพราะ หากซื้อจะทำให้ขาดทุนได้ เนื่องจาก ตลาดแกว่งตัวลง momentum ยังอยู่ในทิศทางขาลง
  4. สัญญาณ Bullish & Bearish Divergence นั้นจะเพิ่มความแม่นยำให้กับผู้ใช้เครื่องมือได้ แต่ต้องดูแนวโน้มประกอบในการตัดสินใจ หากเป็นขาลงที่แข็งแกร่ง การเกิด Bullish Divergence นั้น จะต้องรีบเข้าและรีบออกจากตลาด (โดยเฉลี่ย 3-5 วัน) เพราะ แนวต้านของแนวโน้มนั้นจะมีความแข็งแรง ราคาเพียงแค่เกิดการพักฐานในขาลงเท่านั้น


                 เป็นยังไงกันบ้างครับ จุใจนักลงทุนกันบ้างไหมครับ กับความสามารถของเจ้า STO. indicator  ถือว่าค่อนข้างมีความสามารถมากเลยทีเดียว (รองจาก RSI.) ถ้าเทียบกับ indicator ตัวอื่นๆในซี่รี่ย์เจาะลึก indicator ยอดฮิตใน Blog Investmentory นี้ หวังว่านักลงทุนทุกท่านจะเข้าใจและสามารถนำมันไปใช้ในการสร้างผลตอบแทนกันได้นะครับ สำหรับในตอนหน้าจะเป็น indicator ยอดฮิตตัวไหนขออุบไว้ก่อน นักลงทุนจะได้ลุ้นกันหน่อย (คงจะชินกันแล้วเพราะลุ้นหุ้นกันอยู่เป็นประจำ ^^) โอเคครับสำหรับบทความ เจาะลึก indicator ยอดฮิต ตอนที่ 5 ก็จบลงเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนนะคร๊าบบบ ^_____^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น