วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

เลิกกฎอัยการศึก หุ้นคึกคัก CPALL CENTEL EWR

ตลาดหุ้นไทยขานรับ
ยกเลิก“กฎอัยการศึก”
*CLSAยันฝรั่งลงทุนเพิ่มแนะหุ้นท่องเที่ยว-โรงแรม

2015-03-30 12:05:00
ผู้เข้าชม : 11

ผู้บริหารโบรกฯขานรับยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนและตลาดทุนระบุสถิติ ปีย้อนหลังดัชนีหุ้นฟื้นหลังสงกรานต์สัปดาห์นี้จับตาคิวอียุโรป หมื่นล้านยูโรดันตลาดคึกหากยืนเหนือ 1,505 จุดส่งสัญญาณไปต่อด้านบล.ซีแอลเอสเอยันกองทุนต่างชาติลงทุนเพิ่มแน่นอนแนะ CENTEL, MINT และ CPALL

ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์เห็นพ้องกันว่าหากรัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึกจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นและส่งผลต่อการท่องเที่ยวของประเทศที่เป็นภาคอุตสาหกรรมเดียวของประเทศที่ยังคงเติบโตขณะที่มองว่าหลังสงกรานต์ตลาดหุ้นจะเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนกองทุนต่างชาติจะเริ่มกลับมาเข้าลงทุนหลังยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรว่ารัฐบาลเตรียมยกเลิกกฎอัยการศึก  ขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมการในเรื่องดังกล่าวไว้แล้วซึ่งตามขั้นตอนจะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการยกเลิกกฎอัยการศึกก่อนหลังจากนั้นอาจมีการบังคับใช้มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแทน
ก่อนหน้านี้พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หารือกับนักธุรกิจและภาคเอกชนรายใหญ่นักธุรกิจและเอกชนเพื่อหาแนวทางฟื้นเศรษฐกิจซึ่งคาดว่าจะยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกเร็วๆ นี้
ดร.ก้องเกียรติโอภาสวงการประธานกรรมการบริหารบล.เอเซียพลัสหรือ ASP กล่าวว่าหากรัฐบาลยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกจริงจะส่งผลดีด้านจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นไทยได้อย่างรวดเร็วและส่งผลดีต่อหุ้นบางกลุ่มเช่นหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม
อย่างไรก็ตามภาคเศรษฐกิจกำลังรอการลงทุนจากภาครัฐโดยเฉพาะเบิกจ่ายงบลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างเช่นรถไฟฟ้าและรถไฟทางคู่ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวและส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
“ตอนนี้มีหุ้นราคาถูกกว่า 100 ตัวแต่คนไม่ชอบเล่นชอบเล่นแบบเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่าโดยเฉพาะหุ้นที่มีพี/อีสูงแต่วอลุ่มหนาๆซึ่งหากนักลงทุนคิดจะลงทุนตอนนี้คงต้องเลือกเก็บหุ้นที่มีพี/อีต่ำซึ่งมีกระจายอยู่ทุกกลุ่ม”
ด้านนายเผดิมภพสงเคราะห์กรรมการผู้จัดการสายงานจัดการเงินทุนบุคคลบล.กสิกรไทยกล่าวว่าการยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกย่อมส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยอย่างแน่นอนโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวโรงแรมและสายการบินได้แก่ERW AAV
นอกจากนี้ยังจะมีการทำคิวอีของยุโรปภายในสิ้นเดือนนี้อีกประมาณ6 หมื่นล้านยูโรจากที่ธนาคารกลางยุโรปอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบเพิ่มเติมจะช่วยให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยรวมทั้งการทำวินโดว์เดรสซิ่ง1-2 วันนี้
นายสุเชษฐ์สุขแท้ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยถือว่าเข้าแดนขายมากเกินไปแล้วซึ่งตามสถิติย้อนหลังไป 3-4 ปีหุ้นมักจะฟื้นตัวหลังเทศกาลสงกรานต์  ที่ผ่านมาเป็นเพียงการปรับฐานเท่านั้นไม่ได้มีผลกระทบอะไรที่รุนแรงมากจากปัจจัยภายนอกและภายในแนวรับอยู่บริเวณ 1,476-1,475 จุดและแนวต้านอยู่บริเวณ 1,505 จุดหากยืนได้มีสัญญาณฟื้นตัวไปแนวต้านถัดไปที่ 1,520 จุดและ 1,530 จุดและ 1,550 จุด
ส่วนการเลิกกฎอัยการศึกส่งผลด้านจิตวิทยาสำหรับความกังวลเรื่องปัญหาภายนอกประเทศคงยังไม่มีอะไรรุนแรงขณะนี้โดยเฉพาะปัญหาเยเมนที่คาดว่าจะคลี่คลายได้ภายในเร็วๆนี้ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่ใช่เร็วๆนี้
สำหรับหุ้นที่แนะนำลงทุนได้แก่หุ้น KBANK แนวรับที่ราคา 215 บาท AOT แนวรับที่ 270 บาท BBL แนวรับ 170 บาท
นายอภิชาติผู้บรรเจิดกุลผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.ทิสโก้กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญมาจากภายในประเทศเป็นสำคัญโดยเฉพาะกรณีที่รัฐบาลจะยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการ

กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรมคึก
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการบล.ซีแอลเอสเอ กล่าวว่า การยกเลิกกฎอัยการศึกจะเป็น sentiment ที่ดีต่อตลาดหุ้นโดยจะมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกองทุนต่างๆที่ยังคงติดขัดในเรื่องของการห้ามลงทุนในประเทศที่บังคับใช้กฎหมายนี้อยู่
“สัดส่วนนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมากจากเดิมเฉลี่ย 34-35% แต่ตอนนี้ลงมาเหลือเพียง 30%”
ส่วนหุ้นในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการยกเลิกกฎอัยการศึกจะเป็นกลุ่มท่องเที่ยวโรงแรมอาหารเช่น CENTEL, CPALL และMINT นายปริญญ์มองด้วยว่าดัชนีที่ปรับลงมาในขณะนี้ถือว่ามากกินไป
นายสาห์รัชชัฎสุวรรณผู้อำนวยการสายการตลาดธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้จำกัดกล่าวว่าได้เสนอขายกองทุนเปิดทิสโก้ไทยอิควิตี้ทริกเกอร์ 8% #20 ตั้งเป้าหมายเลิกโครงการที่ 8% ภายใน 8 เดือนหรือณเวลาใดเวลาหนึ่งหลังจากเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนซื้อขายสับเปลี่ยนได้ทุกวันทำการเสนอขายครั้งแรกนนี้ถึง 31 มี.ค.นี้
“เรามองว่าตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงแรงนั้นมาจากความผันผวนตามตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียขณะที่ปัจจัยพื้นฐานในประเทศยังค่อนข้างดีอยู่การที่ดัชนี SET ปรับฐานลงมาต่ำกว่า 1,500 จุดถือเป็นจังหวะในการเข้าลงทุนเป็นอย่างยิ่งเราเชื่อว่าด้วยการเมืองที่มีเสถียรภาพและความแข็งแกร่งของภาคเอกชนไทยหุ้นไทยจะดีดตัวกลับมาในไม่ช้า”นายสาห์รัชกล่าว
นางสาวธิดาศิริศรีสมิตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทยจำกัด(บลจ. กสิกรไทย) กล่าวว่ายังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีโดยยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2558 ที่ระดับ 1,700 จุดด้วยอัตราส่วน P/E ที่ระดับ 16.5 เท่าและมองแนวโน้มอัตราการเติบโตของผลกำไรปกติของบริษัทจดทะเบียนที่ 12% เพราะเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่จะได้รับปัจจัยบวกหลายด้านทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวอาทิหุ้นในกลุ่มสื่อสารที่จะได้รับประโยชน์จากความชัดเจนของการประมูล4G  หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวยังคงเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องรวมถึงหุ้นในกลุ่มก่อสร้างที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ
จากปัจจัยที่กล่าวมาบลจ.กสิกรไทยอาศัยจังหวะที่น่าสนใจนี้เตรียมเปิดเสนอขายกองทุนทริกเกอร์หุ้นไทยซึ่งคาดว่าจะเปิดขายได้ในช่วงสัปดาห์หน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในไตรมาส 1/58 ยังเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวประกอบกับกรณีที่นายกรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ระหว่างการพิจารณาจะใช้กฎหมายฉบับใดมาแทนกฎอัยการศึกระหว่างการใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯหรือพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและมาตรา44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวน่าจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มโรงแรมอย่างบริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาจำกัด(มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด (มหาชน) หรือ MINT และ บริษัท ดิเอราวัณกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือERW 
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตจำกัด(มหาชน) ประเมินว่าหากมีการยกเลิกกฎอัยการศึกหุ้นในกลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยวน่าจะได้รับผลดีแนะนำซื้อCENTEL ราคาพื้นฐาน42 บาท  และMINT ราคาพื้นฐาน41 บาทซึ่งมีโรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมถึงมีธุรกิจอาหารที่จะเข้ามาช่วยเสริมในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวด้วย
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีจำกัด(มหาชน) ประเมินว่าถ้ามีการยกเลิกกฎอัยการศึกก็จะเป็นบวกต่อประเทศและเป็นประโยชน์กับธุรกิจโรงแรมเนื่องจากจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางกลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นซึ่งERW นั้นจัดว่ามีลูกค้าที่หลากหลายทั้งชาวจีนอเมริการัสเซียรวมถึงชาติตะวันตกและยุโรปก็จะมีความมั่นใจในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/58 ยังมีแนวโน้มที่ดีเนื่องจากยังเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่ต่อเนื่องมาจากไตรมาส 4 ถึงแม้ว่านักท่องเที่ยวจากยุโรปและรัสเซียจะลดลงประมาณ 30-40% แต่นักท่องเที่ยวจากจีนมีเติบโตสูงถึง 50%  จึงน่าจะสามารถชดเชยกันได้
ดังนั้นจึงแนะนำ“ซื้อ” ERW ราคาพื้นฐาน6 บาทเนื่องจากมีการลงทุนพัฒนาโรงแรมในประเทศไทยอย่างเดียวจึงได้รับประโยชน์เต็มที่จากการฟื้นตัวรวดเร็วของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมถึงผลการดำเนินงานขาขึ้นต่อเนื่องในฤดูกาลท่องเที่ยวไตรมาส 1/58 ประกอบกับแผนจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ในช่วงครึ่งปีหลังจะสร้างโอกาสรับรู้กำไรจากการขายสินทรัพย์โดยประมาณการรายได้ปี 2558 ไว้ประมาณ5,966 ล้านบาทเติบโต 36% เมื่อเทียบกับปีก่อนและมีกำไรสุทธิ 251 ล้านบาทจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 112 ล้านบาท
บริษัท หลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่าภาวะธุรกิจท่องเที่ยวที่สดใสย่อมส่งผลบวกต่อกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโรงแรมภายใต้การดูแล 3 บริษัท (MINT, CENTEL, ERW) ให้มีการดำเนินงานโดดเด่นและต่อเนื่องในไตรมาส 1/58 ซึ่งเป็นช่วงคาบต่อของฤดูกาลท่องเที่ยว (Peak Season) จากไตรมาส4
โดย MINT ในไตรมาส1/58 คาดว่าจะยังสดใสต่อเนื่องจากไตรมาส  4/57 โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมได้อานิสงส์จากช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหนุนให้อัตราการเข้าพักของกลุ่มโรงแรมเพิ่มมากขึ้นทำให้คาดกำไรในไตรมาส 1/58 น่าจะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนจึงแนะนำ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 43 บาท
ส่วน CENTEL ในไตรมาส 1/58 คาดกำไรสูงโดดเด่นจากงวดปีก่อนที่ทำได้ 502 ล้านบาทขณะที่ทั้งปี 2558 ประเมินกำไรปกติไว้ 1,480 ล้านบาทเติบโต 28.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนสนับสนุนด้วยธุรกิจโรงแรมคาดมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มเป็น 80% จาก 75% ในปีทีผ่านมาและรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโต8% เมื่อเทียบกับปีก่อนส่วนธุรกิจอาหารประเมินการเติบโตของยอดขายร้านอาหารเดิม 2-3% (เทียบกับ 1.4% ในปีก่อน) และขยายสาขาร้านอาหารใหม่เพิ่ม 4% หรือ 30 สาขาจะหนุนให้ธุรกิจอาหารเติบโตรวม 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนจึงแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 42 บาท
และ ERW ในไตรมาส 1/58 น่าจะสดใสต่อเนื่องจากไตรมาส 4/57 เนื่องจากได้อานิสงส์ของช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (Peak Season) ซึ่งเบื้องต้นได้ประเมินรายได้โรงแรมในไตรมาส 1/58 ไว้อย่างน้อย 1,420 ล้านบาทเติบโตสูง 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนโดยระดับรายได้ดังกล่าวน่าจะผลักดันให้ไตรมาส 1/58 มีกำไรปกติไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทเทียบกับ 49 ล้านบาทในไตรมาส 4/57 และ 2 ล้านบาทในไตรมาส 1/57 จึงแนะนำ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 6 บาท

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น