วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความเชื่อมั่น คอลัมน์ วันพุธที่ 06 พฤศจิกายน 2556

ความเชื่อมั่น

คอลัมน์ วันพุธที่ 06 พฤศจิกายน 2556 
ผู้เข้าชม : 7 คน 

             คำแถลงของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมกับคณะรัฐมนตรี เมื่อเที่ยงวานนี้ มีความหมายทางการเมืองที่เข้าข่าย “ปลดล็อก” ทางการเมืองอีกครั้ง  เท่ากับเป็นการหาทางลงแบบนุ่มนวล หรือ ซอฟต์ แลนดิ้ง ที่มีผลเชิงบวกต่อประชาธิปไตย
             อย่างน้อยก็ทำให้ ความรุนแรงที่ทำท่าจะบานปลาย เพราะการสร้างสถานการณ์ บรรเทาลง แม้ว่า ถ้อยใหญ่ใจความของเนื้อหา อาจจะไม่เป็นที่ถูกใจบรรดา “ฮาร์ดคอร์” ที่ต้องการเห็นการใช้คำพูด “สะใจ” แต่จะให้คนอย่างนายกรัฐมนตรีพูดคำที่เสมือนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ย่อมเป็นไปไม่ได้ทั้งโดยตรรกะและอรรถะ
             สาระสำคัญในเนื้อหาของนายกรัฐมนตรีที่อ่านระหว่างบรรทัดได้ก็คือ การแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องกระทำด้วยวิถีประชาธิปไตย หากรัฐบาลจะถอย ก็ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขการตัดสินชะตากรรมของร่างพ.ร.บ.ฉบับสุดซอยดังกล่าว
             พูดง่ายๆ ก็คือ หากวุฒิสภาคว่ำร่างพ.ร.บ.นี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ทำให้ทางลงของปัญหาประชาธิปไตยพบทางออก โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงหรือทำรัฐประหารอันเป็นวงจรอุบาทว์ที่อยู่กับการเมืองไทยมานานกว่า 80 ปี
             ทางลงอย่างนี้ ช่วยให้ภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของ นายกรัฐมนตรีดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น  เพราะด้านหนึ่ง รัฐบาลก็ไม่ต้องเสียฟอร์มถอยร่นไม่เป็นกระบวน แต่ในขณะเดียวกัน ฝ่ายต่อต้านก็ไม่ได้เสียหายอะไร ถือเป็นความสำเร็จอีกครั้งหนึ่งด้วยวิธีการที่ “อารยะ”
             สถานการณ์ที่พลิกผันตั้งแต่เที่ยงวานนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างติดลบของนายกรัฐมนตรีในสองสัปดาห์มานี้ดีขึ้นอย่างหลังมือเป็นหน้ามือในทันที  ในทางการตลาดการเมืองแล้วถือว่าเป็นการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสที่ชาญฉลาดตามสูตรของแมคเคียเวลลีเลยทีเดียว
             ช่างตรงกันข้ามกับเมื่อวันก่อนหน้านี้วันเดียวที่ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังพาตัวเองเข้าสู่กับดักของญาติพี่น้องตนเอง ด้วยการกระโจนเข้าปกป้องร่างพ.ร.บ.นิรโทษฉบับสุดซอยอย่างแน่วแน่  ด้วยการเปิดทำเนียบให้ญาติเหยื่อที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ทางการเมืองปี 2553 เข้าพบ เพื่อลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายประท้วงร่างพ.ร.บ.สุดซอย พร้อมกับแสดงฉากละครน้ำตาคลอเบ้าอย่างสมบทบาทชนิดที่สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่สาบานตนต่อพระแก้วมรกต กินไม่ลงทีเดียว
             การแถลงข่าวเพื่อเปิดทางถอยดังกล่าว ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นกลับมาคึกคักกันอีกรอบใหม่อย่างจริงจังเพราะถือเป็นข่าวดีที่รอคอย เพราะความเชื่อมั่นว่า จากนี้ไป การเมืองไทยได้ยกระดับขึ้นสู่ขั้นตอนใหม่ นั่นคือ การหาทางออกจากความขัดแย้งด้วยวิถีทางประชาธิปไตย และเป็นไปตามครรลองของระบบ ไม่ใช่ด้วยวิถีของความรุนแรง หรือการรัฐประหารด้วยกองทัพที่คุ้นเคยกันมายาวนาน
             ความเชื่อมั่นเช่นนี้ ทำให้ความกังวลลดลง หลังจากเกิดวิกฤตของความเชื่อมั่น (crisis of confidence) ที่เคยเกิดขึ้นมาในช่วง 2 สัปดาห์ว่า ความไร้หลักการของเสียงข้างมากในรัฐสภาในการผ่านร่างกฎหมายที่ผิดหลักนิติธรรมอย่างร่างพ.ร.บ.สุดซอย จะนำไปสู่การเมืองบนท้องถนน และทางตันที่ส่งผลให้เกิดความรุนแรง
             มองในมุมกลับ วิกฤตของร่างพ.ร.บ.สุดซอยครั้งนี้ สร้างคำถามสำเร็จรูปซ้ำซากมายาวนานเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองของนักการเมืองอาชีพที่ใช้ช่องทางการเลือกตั้งเพื่อเข้ามีส่วนร่วมในอำนาจทางการเมืองผ่านกลไก ซึ่งมีจุดบกพร่องมากมาย แล้วทำการบิดเบือนเป้าหมายของประชาธิปไตย เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวหรือ แสวงหาทางใช้อำนาจอย่างไม่แยแสต่อเจตจำนงของมวลชนที่เข้าคูหาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
            กรณีของร่างพ.ร.บ.สุดซอย ช่วยตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าประชาธิปไตยนั้น มีจุดเปราะบางในการเปิดช่องให้คนบางกลุ่มทำการฉ้อฉล ซึ่งทำให้เสียภาพลักษณ์ของระบอบการเมืองประชาธิปไตยแบบตัวแทน โดยมุ่งหวังหักล้างทางอำนาจกันเพื่อแสวงหาค่าเช่าส่วนเกินทางเศรษฐกิจจากงบประมาณ หรือผลประโยชน์จากการบริหารจัดการรัฐเสมือนหนึ่งกับ “สัตว์ประหลาดพันธุ์ใหม่”  โดยไม่ใส่ใจกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ปัญหาความอยุติธรรม ทางออกของคุณภาพการศึกษา และการพัฒนาแบบยั่งยืนเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตคนในสังคม
            ความไม่ชอบมาพากลที่ชวนสงสัย ทำให้แรงต่อต้านรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยในฐานะตัวแทนของทักษิณ ชินวัตร  แปรสภาพขยายตัวจาก “ฟืนเปียก” เป็น “ฟืนแห้ง” ที่พร้อมเปิดทางให้กับการสร้างสถานการณ์ที่บานปลายไปสู่ความรุนแรงได้ง่ายมาก เพราะมีคนบางกลุ่มพร้อมจะสมคบคิดสร้างสถานการณ์  เพราะเกิดวิกฤตของความเชื่อมั่นต่อระบบการเมือง และนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง
            ความไม่เชื่อมั่นในนักการเมืองและระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องใหม่  หากมีตั้งแต่ยุคของกรีกโบราณ ถึงขั้นที่พลาโต้ ระบุว่า ประชาธิปไตยคือระบบการเมืองเลวที่สุด และคาร์ล ชมิตต์ นักคิดขวาจัดนิยมนาซีถึงขั้นระบุว่า แนวคิดเสรีนิยมทุกชนิด (รวมทั้งเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยและบริโภคนิยม) คือศัตรูของรัฐ เพราะทำให้ความภักดีต่อรัฐและอธิปัตย์ลดลง และทำให้การจำแนกมิตรกับศัตรู ทำได้ยาก
            เราได้เห็นว่า วิกฤตของความเชื่อมั่น ทำให้นักลงทุนทิ้งตลาดหุ้น ทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้าเข้ามาในประเทศ ทำให้ตลาดซบเซาลง และทำให้การลงทุนชะงักงัน ไม่มีใครกล้าคิดไปไกลถึงอนาคตอันสวยงาม แต่คิดแค่เอาตัวรอดเฉพาะหน้า ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดเจนในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงต้นสัปดาห์นี้
             คำแถลงของนายกรัฐมนตรีเที่ยงวานนี้ คือ วินาทีชี้ขาดต่อประชาธิปไตยไทยอย่างมีนัยสำคัญที่ต้องบันทึกเอาไว้  ไม่ว่าจะพึงพอใจหรือไม่
             อย่างน้อย พวกที่คิดก่อกระแสรุนแรงโดยใช้โล่มนุษย์ ก็จะได้หมดเวทีทำมาหากินกันต่อไป แล้วดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ซบเซาอย่างผิดสังเกตมาหลายวัน ทั้งที่ตลาดหุ้นอื่นๆ รอบข้างพุ่งเป็นภาวะกระทิงกันทั่วหน้า จะได้กลับมาคึกคักกันตามสภาพที่แท้จริงของผลประกอบการกันเสียที ไม่ต้องพะวงกับปัจจัยไร้สาระอื่นๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น