BKIสบช่องดัชนีหัวทิ่ม กองทุนรวม ประกัน วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2556 ผู้เข้าชม : 3 คน
กรุงเทพประกันภัย หรือ BKI นับเงินรออีก 500 ล้านบาท ซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม หลังราคาหุ้นหลายตัวลงมาต่ำกว่าพื้นฐานมากเกินไป นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองส่งผลให้ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยมีมากขึ้น และโอกาสที่ดัชนีปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 1,300 จุด ก็มีอยู่มีสูง
ดังนั้น การปรับฐานดังกล่าวจึงเป็นระดับที่เหมาะแก่การเข้าไปลงทุนของนักลงทุน หุ้นไทยช่วงปลายปีนี้นอกจากจะมีปัจจัยลบอย่างการเดินขบวนประท้วงรัฐบาลแล้ว ปัจจัยบวกที่สนับสนุนหุ้นไทยก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะการเข้าซื้อของทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนสำรองเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ช่วยให้หุ้นไทยปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปี
ความผันผวนของหุ้นไทยต่อสถานการณ์ทางการเมืองภายในเดือนนี้ บริษัทมองว่าเป็นจังหวะเหมาะที่จะเข้าไปลงทุนในหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพใน SET50 ฯลฯ เช่น ลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องกับการบริการ อาหาร และการท่องเที่ยว เพราะเชื่อว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้รับประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง วงเงินลงทุนในรอบนี้มีประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายวงเงินดังกล่าวเฉพาะในช่วงที่ดัชนีต่ำกว่า 1,320 จุดเท่านั้น หากดัชนีอยู่ที่ระดับดังกล่าวไปจนถึงช่วงปี 2557 เพราะคาดว่าความผันผวนทางด้านการเมืองจะยาวไปถึงการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งใหม่ในช่วงปี 2557
การเพิ่มการลงทุนดังกล่าวในรอบนี้จะส่งผลให้พอร์ตลงทุนในหุ้นของบริษัทเพิ่มเป็น 3,700 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 3,200 ล้านบาท ส่วนปีหน้าเม็ดเงินลงทุนในพอร์ตหุ้นรวมไม่น่าเกิน 4,000 ล้านบาท ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองยังคงยืดเยื้อไปอีก 2-3 วัน เชื่อว่ามีผลต่อตลาดหุ้นไทย รวมไปถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากต่างประเทศด้วย ส่วนกรณีการยุบสภาช่วงนี้ เชื่อว่าคงยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะมีการเปิดการประชุมสภาฯรอบหน้าในปี 2557 "ตอนนี้บริษัทกำลังรอดูอยู่ ว่าได้เวลาเข้าลงทุนในหุ้นหรือยัง เพราะเรื่องการเมืองทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวลงมามาก และหากหลุดระดับ 1,300 จุด เชื่อว่าเป็นระดับที่เหมาะแก่การลงทุนมาก ส่วนกรุงเทพประกันภัยตั้งเป้าหมายลงทุนในหุ้นเพิ่มหากดัชนีปรับลงมาที่ 1,320 จุด
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้จะเน้นเข้าลงทุนในช่วงระดับดัชนีปรับตัวลงเป็นหลัก" นายชัย กล่าว นายชัย กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจของบริษัทช่วงปีหน้าเติบโต 15% ขณะที่ระบบเติบโตประมาณ 12% อย่างไรก็ตาม แม้อัตราการเติบโตดังกล่าวจะอยู่ในระดับสูงกว่าระบบ แต่จำนวนลูกค้ารายใหม่ที่จะเข้ามาลดน้อยลงกว่าช่วงปีที่ผ่านมาแน่นอน
เนื่องจากปัญหาทางการเมืองส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง โรงงานต่างๆ ได้รับผลกระทบ ดังนั้น กลยุทธ์บริษัทจำเป็นต้องปรับใหม่เน้นลูกค้ารายย่อยมากขึ้น ผลการดำเนินงานบริษัทช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 3,665.5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 14.5% มีกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 402.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 172.5% และผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปีนี้ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 11,481.9 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 22.6% มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 661.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 133.4% รายได้สุทธิจากการลงทุน 1,148.0 ล้านบาท ลดลง 53.4% หักเงินสมทบฯและต้นทุนทางการเงิน 57.4 ล้านบาท ทำให้มีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,751.7 ล้านบาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว มีกำไรสุทธิ 1,465.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 240.0% กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 19.28 บาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น