วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ฟันธงดัชนีปีหน้า1,600จุด ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2556

ฟันธงดัชนีปีหน้า1,600จุด

ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2556 
ผู้เข้าชม : 6 คน 

นักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นไทยปี 57 รับปัจจัยเศรษฐกิจโลกฟื้น กำไร บจ.ยังสวย เผยหุ้นไทยซื้อขายไม่แพงเทรดอยู่แค่ 11.5-12.5 เท่า แนะกลุ่มส่งออก ท่องเที่ยว อาหาร และสื่อสาร เช่น TUF, CPALL, INTUCH ร่วมถึง ขนส่ง AOT ดัชนีพุ่ง 1,600 จุด
หนังสือพิมพ์ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ตลาด mai จัดสัมมนาส่งท้ายประจำไตรมาส 4/2556 และกลยุทธ์ลงทุนปี 2557 ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียนอินทรวิชัย ตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันเสาร์ที่ 23 พ.ย.
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์ในการลงทุนปี 57 นั้นหุ้นตัวที่น่าสนใจจะเกี่ยวกับหุ้นส่งออก ซึ่งจะฟื้นตัวเร็วกว่าเพื่อน โดยเฉพาะตัวที่อยากแนะนำ คือ TUF-บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน)
ตัวต่อไป คือ การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเช่นกันถึงแม้ว่าจะมีแรงเทขายออกมาทำกำไรก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แต่อยากให้ทยอยเก็บสะสมไปเรื่อยๆ เช่น AOT-บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 228 บาท และ AAV-บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมายที่ 6.8 บาท
หุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค CPALL-บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 48 บาท หุ้นโรงพยาบาล  BGH-บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 180 บาท และ ยังมีหุ้นโรงแรม ROBINS-บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท CPN-บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 53 บาท
ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มองว่าจะฟื้นตัวเช่นกัน โดยเฉพาะ SPALI-บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งยังมีบ้าน คอนโดที่พร้อมขายอีกมากในปี 2557 โดยให้ราคาเป้าหมาย 21 บาท และ AP-บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ในระยะกลางถือว่าดี โดยเทรดกันแค่ 5 เท่า และมีการจ่ายปันผลที่ 5.6%
หุ้นสื่อสาร INTUCH-บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมายที่ 116 บาท ADVANC-บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมายที่ 300 บาท DELTA-บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) KCE-บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน)
“มองดัชนีไว้ที่ 1,600 จุด โดยมองว่าในครึ่งปีแรกหุ้นกลุ่มส่งออกจะมาแรง ส่วนครึ่งปีหลังหุ้นบริโภค ท่องเที่ยว โรงแรมจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะรัฐบาลจะทำการกระตุ้นครั้งใหญ่เพื่อให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอย” นายปริญญ์ กล่าว
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บล.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2557 เศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป แต่ไม่ถึงกับดีมาก ซึ่งต้องจับตาดูเรื่องการขยายเพดานหนี้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร โดยเชื่อว่าเงินจะโยกมาที่เอเชีย ซึ่งจะเกิดการปรับลดหุ้นไทยลงมาบ้าง
ในส่วนประเทศไทยนั้น เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง โดยไตรมาส 1/56 จีดีพีอยู่ที่ 5.3% ส่วนไตรมาส 2/56 ลดลงมาอยู่
ที่ 2.9% ส่วนไตรมาส 3/56 มาอยู่ที่ 2.8% ซึ่งมีแนวโน้มว่าไตรมาส 4/56 จะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมาจากการบริโภค และการส่งออกที่ชะลอตัวลง แต่ในปี 2557 การส่งออกจะดีขึ้น
ส่วนการที่รัฐจะเร่งลงทุน 2 ล้านล้านนั้นถ้าเกิดขึ้นเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4-5% ในปี 2557 โดยมองว่าหุ้นไทยซื้อขายไม่แพงเทรดอยู่ที่ 11.5-12.5 เท่า ซึ่งประมาณการไว้ถึงไตรมาส 1/57 เท่านั้น เนื่องจากต้องมาดูหลังเดือนก.พ.อีกครั้งว่าตัวเลขสหรัฐฯ หรือ นโยบายจะเกิดการเปลี่ยนหรือไม่ โดยถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอาจต้องเปลี่ยนกลุ่มหุ้นที่จะลงทุนอีกครั้ง
“เงินไหลเข้ามาคงไม่มาก แต่จะไหลออกก็ไม่มากเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับภูมิภาคเดียวกัน พื้นฐาน บจ. มีความแข็งแกร่ง งบก็ออกมาดีเช่นกัน โดยมองดัชนีไว้ที่ 1,350-1,450 จุด ซึ่งเป็นอะไรที่น่าซื้อหุ้นเก็บเข้าพอร์ต”นายเผดิมภพ กล่าว
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในปี 2557 นั้น ประกอบด้วย หุ้นส่งออก เช่น TUF บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 62.50 บาท ส่วนหุ้นอาหาร หรือ หุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค เช่น CPF บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 25.25 บาท และ GFPT-บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน)
ส่วนหุ้นกลุ่มปิโตเคมี เช่น PTTGC-บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 91 บาท ส่วนหุ้นขนส่ง เช่น TTA-บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 26.90 บาท
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ (กลยุทธ์การลงทุน) ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีในปี 2557 คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นสู่กรอบขาขึ้นอีกครั้งจากแรงหนุนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในฝั่งตะวันตกบวกต่อการค้าระหว่างประเทศ บวกกับ Developed Country ยังมีความจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อรักษาเสถียรภาพการฟื้นตัว แม้ว่าความเสี่ยงต่อการไถ่ถอน QE ของ สหรัฐฯจะยังคงมีอยู่ แต่ประธานเฟดคนใหม่ นางเจเน็ต เยลเลน ได้แถลงชัดว่าการไถ่ถอนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพทำให้เชื่อมั่นว่าการทยอยไถ่ถอน QE จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯมีเสถียรภาพ (คาดเกิดขึ้นช่วง 1Q14) 
นอกจากนี้ ทิศทางเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำในปี 2556 อยู่ที่ 3.5% สู่ 4.2% ในปี 2557 นำโดยภาคส่งออกฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก ขณะที่การบริโภคภาคครัวเรือนเริ่มฟื้นตัวจากนโยบายลดภาษีบุคคล และการลงทุนภาครัฐยังเดินหน้าก่อน AEC 2015 แม้ว่าจะเกิดในรูปแบบของงบประมาณประจำปี หรือ พ.ร.บ 2 ล้านล้านบาทก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวหนุนกำไรตลาดปี 2014 เติบโต 16.6% คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,356-1,639 จุด อิง PER14F 12-14.5 เท่า
เราคาดว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปี 2557 ในการซื้อสะสมหุ้นเพื่อลงทุน น่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2556-ไตรมาส 1/57 เนื่องจากมีหลายปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า โดยเฉพาะการไถ่ถอน QE ที่ Nomura ให้น้ำหนักสูงสุด 55% ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1/57 ซึ่งจะกดดันตลาดหุ้นไทยผันผวนสูงช่วงนั้น
การแก้ไขปัญหาดานหนี้ของสหรัฐฯ ที่เลือกมาจากเดือนต.ค. 2013 น่าจะมีข้อตกลงได้ก่อนวันสุดท้าย วันที่ 7 ก.พ. 2557 เนื่องจากเดือนพ.ย. 2557 จะเป็นช่วงการเลือกตั้ง Midterm ของสหรัฐฯ การเจรจายืดเยื้อไม่ทันกำหนด นอกจากจะทำให้สหรัฐฯเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้และส่งผลเสียต่อฐานเสียงของทั้งสองพรรคได้เช่นกัน 
ขณะที่การเมืองในประเทศคาดว่าความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอยู่ในช่วงปลายปีถึงไตรมาส 1/57 เช่นกัน หากพ้นกำหนดนี้คาดว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองคงไม่เกิดขึ้นอีกอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งถือเป็น Risk Factors หลังที่ต้องติดตาม
ขณะที่เม็ดเงิน LTF ในปี 2553 ที่ครบกำหนดขายปี 2557 จำนวน 3.71 หมื่นล้านบาท ที่ต้นทุนเฉลี่ยดัชนี 956.02จุด ผลตอบแทนราว 40% ในปัจจุบัน จะทำให้มีเงิน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอนมูลค่าเกือบ 5.3 หมื่นล้านบาท ก็พร้อมเป็นแรงกดดันต่อตลาดในช่วงต้นปี หาก Fund Flow ไม่ไหลกลับเข้ามารองรับความเสี่ยงนี้
ดังนั้นจังหวะในการซื้อหุ้นลงทุนสำหรับปี 2557 น่าจะเป็นช่วงไม่เกินเดือนก.พ. 2557 ดังกล่าว โดยให้ใช้ระดับ PER14 12X 1,356 จุด ซึ่งเป็นระดับที่มีส่วนลดเชิงพื้นฐานของตลาด (LT Avg PER 13X) เป็นจุดสะสมหุ้นเชิงพื้นฐานที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากคาดว่าพ้นช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มฟื้นตัวตามความคาดหวังว่า เศรษฐกิจจะโตในอัตราเร่งในช่วง 2H14 และการเปิด AEC 2558 + Fund Flow คงค้างที่มีเหลือน้อยจะหนุนเม็ดเงินไหลเข้าสู่ไทยมากขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น