CENTELลั่นปีนี้
รายได้พุ่งนิวไฮ
Q3กำไรโต80%
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 07 พฤศจิกายน 2556 ผู้เข้าชม : 5 คน
"CENTEL" การันตีผลงานปีนี้นิวไฮ ย้ำรายได้ 1.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อน ส่วนงบ Q3 ลุ้นกำไรสุทธิ 194 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.3% คาดแจ้งงบวันที่ 14-15 พ.ย.นี้ โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายหุ้นละ 44.50 บาท
ดร.รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL กล่าวว่า ปีนี้บริษัทยังมั่นใจจะมีผลประกอบการสูงสุด (นิวไฮ) โดยตั้งเป้ามีรายได้ประมาณ 17,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนที่ประมาณ 15,400 ล้านบาท ตามการเติบโตของธุรกิจอาหารและโรงแรม
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 3/56 น่าจะแจ้งงบได้ประมาณวันที่ 14-15 พ.ย.นี้ ซึ่งคาดว่ามีทิศทางที่เติบโตดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจโรงแรมในช่วง 9 เดือนแรก มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 80% จากเป้าหมายปีนี้ที่คาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 73-74% จากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 70%
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/56 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ธุรกิจโรงแรมก็จะดี โดยมีการปรับขึ้นอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยประมาณ 10% ประกอบกับมีการรับบริหารมากขึ้น ทำให้ขณะนี้มีโรงแรมรวมทั้งสิ้น 44 โรงแรม ด้านธุรกิจอาหาร มีการขยายสาขามากขึ้น สำหรับปีนี้มีการเปิดสาขาใหม่กว่า 60 สาขา จนทำให้มีสาขารวมแล้ว 763 สาขา
ด้านสถานการณ์ทางการเมืองที่มีการชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม บริษัทมีความกังวลและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและไม่น่าจะมีอะไรรุนแรง สำหรับธุรกิจของบริษัทยังปกติ แม้ว่าต่างประเทศอย่างสวีเดน อังกฤษ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น จะออกคำเตือนถึงการเดินทางมาไทย แต่ก็เป็นในระดับปกติ
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ผลการดำเนินงานของ CENTEL ในไตรมาส 3/56 จะยังคงเป็นโลว์ซีซั่น (Low Season) ที่มีการเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง ซึ่งคาดกำไรสุทธิที่ 194 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เพิ่มขึ้น 87.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานยังมาจากธุรกิจโรงแรมที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเป็นหลัก คาดว่าจะสามารถดันกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) ของทั้งกลุ่มให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เป็น 21.6% จาก 15.7% ในไตรมาส 3/56
ขณะที่ประเด็นเรื่องการเมืองที่ร้อนแรงขึ้นอาจจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบ แต่ตัวเลข Advance Booking ในไตรมาส 4/56 จากผู้บริหารยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจและยังไม่เห็นผลกระทบอย่างรุนแรง จึงยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2556 ที่ 1,546 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.2% จากปีก่อน จึงปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 2557 ที่ 48 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” จากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ยังคงโดดเด่นต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในช่วงไฮซีซั่น (High Season)
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า CENTEL จะมีผลการดำเนินงานแข็งแกร่งในไตรมาส 3/56 จึงคาดว่ากำไรก่อนหักภาษีสำหรับไตรมาส 3/56 จะเติบโตขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว มาอยู่ที่ 366 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรม ท่ามกลางจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ย (AOR) เพิ่มขึ้น 80% อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ARR) เพิ่มขึ้น 15% และรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPar) เพิ่มขึ้น 42%
รวมถึงรายได้ที่รับรู้จากโรงแรมใหม่ในมัลดีฟส์, ธุรกิจอาหารที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพตามการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตรากำไรที่ขยายตัวดีขึ้น เป็นผลจากความสามารถในการทำกำไร (Operating Leverage) ที่สูงขึ้นของธุรกิจโรงแรม อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิคาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าที่ราว 85% เป็น 192 ล้านบาท ตามการปรับรายการภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (Deferred tax) ทำให้อัตราภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 40% (เทียบกับ 24% ในช่วงเดียวกันปีก่อน) จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาเป้าหมายใหม่ที่ 44.50 บาทต่อหุ้น
โดยไตรมาส 4/56 เข้าสู่ไฮซีซั่นท่ามกลางกระแสการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แต่เรายังไม่เห็นสัญญาณเตือนนักท่องเที่ยวในการเดินทางเข้ามายังประเทศไทย เนื่องจากการชุมนุมยังคงดำเนินไปอย่างสงบและไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ ซึ่ง CENTEL ยังไม่เห็นผลกระทบต่อการประกอบกิจการของธุรกิจโรงแรมของกลุ่มฯ
ทั้งนี้ คาดว่า CENTEL จะได้ประโยชน์จากฤดูท่องเที่ยวของไทยในไตรมาส 4/56 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากสถิติการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรม พบว่าในเดือนต.ค. 56 AOR อยู่แข็งแกร่งที่ระดับ 80% เทียบกับ 68% ในเดือนต.ค. 55 และ RevPar น่าจะขยายตัวมากกว่า 30% นอกจากนี้ อัตราการจองห้องพักสำหรับช่วงที่เหลือของปีในไตรมาส 4/56 นี้ ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะเดียวกัน SSSG ของธุรกิจอาหารจะฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินงานของ KFC ที่กลับสู่ภาวะปกติ หลังจากที่เกิดปัญหาขึ้นกับซัพพลายเออร์ที่ของขาดในไตรมาส 3/56 จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาเป้าหมายใหม่ที่ 44.50 บาทต่อหุ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น