วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ออเดอร์ฝรั่งทะลักCLSA กองทุนระยะยาวซื้อบิ๊กแคป -ต่างชาติทยอยเก็บช่วงดัชนีหล่น 1,260 จุด ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 03 กุมภาพันธ์ 2557 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ออเดอร์ฝรั่งทะลักCLSA
กองทุนระยะยาวซื้อบิ๊กแคป
-ต่างชาติทยอยเก็บช่วงดัชนีหล่น 1,260 จุด
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 03 กุมภาพันธ์ 2557
ผู้เข้าชม : 14 คน




ออเดอร์ฝรั่งทะลักผ่าน CLSA ทยอยเก็บหุ้นบิ๊กแคปตัวใหญ่ KBANK, KTB, INTUCH, ADVANC, LH ยอดหักกลบซื้อสุทธิทุกวันตั้งแต่วันที่ 24-30 ม.ค. 5 วันทำการ ยอดรวม +3,472.69 ล้านบาท ด้าน “ปริญญ์ พานิชภักดิ์” ประเมินเป็น long term fund ระยะยาว 3-5 ปี รอบนี้ไร้เงาเฮดจ์ฟันด์



ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของคำสั่งซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CLSA ในช่วงวันที่ 24-30 มกราคม 2557 ระยะเวลา 5 วันทำการ พบว่า มียอดซื้อสุทธิ จำนวน 3,472.69 ล้านบาท

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CLSA เปิดเผยว่า แม้จะมีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้นภายในประเทศ และความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก แต่นักลงทุนต่างชาติที่อยู่แถบสหรัฐยังมีส่งออเดอร์ซื้อหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับหุ้นที่เข้ามาซื้อส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นบิ๊กแคป อาทิ หุ้นธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, หุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH, หุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, หุ้นบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH, หุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT และหุ้น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB

“นักลงทุนต่างชาติที่เป็นลูกค้าทยอย ส่งคำสั่งซื้อหุ้นขนาดใหญ่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และส่วนใหญ่ที่เข้ามาจะเป็น long term fund มากกว่า เป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีแผนการลงทุนระยาว 3-5 ปี นับจากนี้ไป ไม่ใช่กลุ่มเฮดจ์ฟันด์ ดังนั้น การเข้ามารอบนี้ไม่ใช่การเข้ามาเก็งกำไร” นายปริญญ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคาร ถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ เนื่องจากราคาปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการยังมีการเติบโตอยู่ นอกจากนี้ ยังสนใจกลุ่มท่องเที่ยว บริการ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยว เชื่อว่าในที่สุดหากทุกอย่างจบลง การท่องเที่ยวก็จะกลับมา นักท่องเที่ยวก็จะกลับมาใช้จ่ายในเมืองไทยอีก

หุ้นที่น่าสนใจของกลุ่มท่องเที่ยว คือ หุ้นบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เนื่องจากเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่มีรายได้จากต่างประเทศมากพอสมควร ซึ่งทำให้ไม่กระทบ หากมีผลกระทบกับการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการจากการท่องเที่ยวน้อย

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า การดำเนินธุรกิจของบมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น ธุรกิจร้านอาหาร ได้แก่ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ควีน, เบอร์เกอร์ คิง, ไทยเอ็กซ์เพรส, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริบส์ แอนด์ รัมส์ และริเวอร์ไซด์

ธุรกิจโรงแรมประกอบด้วยโรงแรมทั้งสิ้น 42 โรงแรม และ 40 เซอร์วิส สวีท ภายใต้เครื่องหมายการค้าอนันตรา, โอ๊คส์, อาวานี่, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, แมริออท, เอเลวาน่า ในประเทศไทย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มัลดีฟส์ เวียดนาม แทนซาเนีย เคนยา ตะวันออกกลาง ศรีลังกา มาเลเซีย จีน และอินโดนีเซีย ธุรกิจด้านการจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศ ได้แก่ แก๊ป, เอสปรี, บอสสินี่, ชาร์ล แอนด์ คีธ, เพโดร, เรดเอิร์ธ, ทูมี่ เป็นต้น

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มส่งออกจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยจะไม่ได้มองแค่ได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท แต่ยังมองลึกไปถึงธุรกิจหลักที่ทำอยู่ว่ามีโอกาสที่จะเติบโตได้ อาทิ หุ้นบริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF และหุ้นบริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT เป็นหุ้นส่งออกที่น่าสนใจ

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง กล่าวว่า หุ้น Top pick ของบริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ UBS แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย หากสัปดาห์หน้ามีการปรับตัวลง จากปัจจัยลบทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังเลือกตั้ง อาทิ หุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, หุ้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BGH, หุ้นบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC, หุ้นบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN

หุ้นธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, หุ้นบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, หุ้นบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH และหุ้นบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริหารการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีแนวรับที่ประมาณ 1,260 จุด จะพบว่ามีนักลงทุนระยะปานกลาง ถึงระยะยาว จะทยอยเข้ามาเก็บสะสมหุ้นในไว้ในพอร์ต อย่างไรก็ดี ตนมองว่าหากดัชนีลงมาต่ำกว่าแนวรับดังกล่าว แนวรับต่อไปจะอยู่ที่ 1,205 จุด ซึ่งจะเป็นระดับที่ต่ำสุดแล้ว

ส่วนหุ้นกลุ่มที่แนะนำนั้น เป็นหุ้นที่จะมีผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2556 ออกมาดี เช่น ADVANC และ INTUCH ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นหุ้น PS และ SPALI หากการเลือกตั้งผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีเหตุรุนแรง แนะนำหุ้น AOT และ MINT

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น