วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ปรับพอร์ตรับมิคสัญญี

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ปรับพอร์ตรับมิคสัญญี

คอลัมน์ วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557
ผู้เข้าชม : 9 คน
คำว่ามิคสัญญี ใช้อธิบายกับสถานการณ์การเมืองไทย ยุคหลังคำวินิจฉัยของศาลแพ่งในกรณี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ได้อย่างดีเยี่ยม

คำพูดใดๆ ที่มีต่อความสูญเสียของผู้ที่ต้องสละชีวิตเพราะบังเอิญหรือเป็นเหยื่อของสถานการณ์ให้กับความมืดบอดทางปัญญาของคนในสังคมไทยที่แย่งชิงอำนาจกันยามนี้ เป็นสิ่งที่ว่างเปล่า และไม่สามารถหยุดยั้งมิคสัญญีที่เผชิญหน้ากันได้ แต่ชีวิตของคนที่ยังต้องดิ้นรนไปกับสถานการณ์ ก็ต้องดำเนินต่อไป จนกว่าจะถึงวันอำลาจากโลกนี้

สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น ความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นทวีคูณขึ้นอย่างเลี่ยงไม่พ้น ไม่ว่าจะความเสี่ยงจากข่าวสารความรุนแรงที่นับวันจะเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ ความเสี่ยงจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และความเสี่ยงจากความแปรปรวนของอารมณ์ตลาดที่หาความแน่นอนไม่ได้

ตลาดหุ้นไม่กลัวความเสี่ยง แต่กลัวความไม่แน่นอนที่ประเมินล่วงหน้าไม่ได้ นี่เป็นสัจธรรม

ในทางทฤษฎี ผู้เขียนเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วว่า การต่อสู้ของพลังของความต้องการมีส่วนร่วมในอำนาจ และพลังของการปฏิเสธการมีส่วนร่วม ท่ามกลางปัญหาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและธุรกิจไทยลดถอย ได้นำมาซึ่งความพยายามโค่นล้มทางอำนาจอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู เปิดช่องให้กับสันติภาพและความก้าวหน้าเพียงน้อยนิด แต่ในทางปฏิบัติ เลือดที่นองพื้นถนนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับคนทุกคน แต่คำถามว่าจะหยุดยั้งได้อย่างไร ตอบได้ยากเกินไปเสมอ

ยามนี้ สังคมไทยถูกต้อนเข้าสู่มุมอับที่แรงขับเคลื่อนของเจตนารมณ์ที่ปราศจากปัญญา ทำการปะทะกันเสมือนสังคมสิ้นไร้ปัญญา สร้างวงจรอุบาทว์รอบแล้วรอบเล่า สะท้อนให้เห็นถึงปัญหารากเหง้าของเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ที่บังเอิญมาบรรจบพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนดังกล่าว ทำให้พอร์ตลงทุนได้รับผลกระทบที่รุนแรงอย่างยิ่ง แต่ในความเลวร้ายที่กำลังดำเนินอยู่นั้น ยังมีความหวังเหลือให้เห็นอยู่เสมอ ทำนองเดียวกับภาษิตโบราณ “หาปลายามพายุ” ให้เกิดขึ้น

การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองจนถึงขั้นสมคบคิดทำลายรัฐไทยที่ดำเนินไปอย่างสุ่มเสี่ยงโดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า มีส่วนคล้ายคลึงกันกับความบ้าคลั่งจากรังสีอำมหิตที่เคยเกิดขึ้นในยุทธการช่วงชิงอำนาจในประวัติศาสตร์สำคัญของโลกมาแล้วมากมาย

ครั้งที่โด่งดังที่สุดคือ การสังหารจูเลียส ซีซาร์ ในรัฐสภาของสาธารณรัฐโรมัน ในวันที่ 15 มีนาคม 44 ปี ก่อนคริสตกาล (Ide of March) ด้วยการตะโกนร้องว่า “เราฆ่าซีซาร์เพื่ออิสรภาพของโรม”

ครั้งต่อมาที่โด่งดังไม่แพ้กันคือ การตั้งศาลศาสนาในสเปนและอิตาลี เพื่อกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามศาสนจักรคาทอลิกว่าเป็นพวกเดียรถีย์นอกรีตที่ต้อง “ตัดขาดการติดต่อ” (หมายถึงทำให้หายตัวไปจากสังคม)

ทุกครั้งที่รังสีอำมหิตเกิดขึ้น วิกฤตครั้งสำคัญจะตามมาด้วยเสมอ แต่หลังจากวิกฤตแล้ว ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางบวกหรือทางลบ และยังไม่มีสูตรสำเร็จที่ชัดเจนว่า จะต้องเป็นไปตามสถิติที่คาดเดา

นาธาน ร็อธไชลด์ ยิวนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นลอนดอนในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นแบบของนักลงทุนในตลาดหุ้นที่ชาญฉลาด ซึ่งสามารถใช้การวิเคราะห์และข่าวสารที่แม่นยำมาทำการใช้ประโยชน์ในการเก็งกำไรจนกลายเป็นตำนานเล่าขานกันต่อๆ มายาวนานจนถึงปัจจุบัน

ค.ศ. 1815 นโปเลียน โบนาปาร์ต จักรพรรดิของฝรั่งเศสยุคหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งเคยพ่ายแพ้ในสงครามเจ็ดพันธมิตร แล้วถูกคุมขังที่เกาะเอลบาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้ทำการหลบหนีจากที่คุมขังในเกาะ กลับมายังกรุงปารีส ในขณะที่การประชุมของกลุ่มพันธมิตร 7 ประเทศดำเนินอยู่ในกรุงเวียนนา

แนวร่วมพันธมิตรทั้ง 7 ประเทศ ประกาศว่า นโปเลียนเป็นบุคคลนอกกฎหมาย แล้วสั่งระดมกองทัพส่งทหาร 150,000 นาย เพื่อยุติการกลับมาของบุรุษที่น่าสะพรึงกลัว จนเกิดการเผชิญหน้ากันที่สมรภูมิวอเตอร์ลู

สงครามอันเลือดเดือดครั้งนั้น กินเวลาไม่นาน แต่เต็มไปด้วยข่าวลือสารพัดที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วยุโรปอย่างรุนแรง ยามนั้น ด้วยระบบการส่งข่าวสารที่ดีเยี่ยม และรวดเร็วกว่ารายอื่นๆ ทำให้ตลาดหุ้นที่กำลังตกต่ำเพราะข่าวสงคราม ถูกนาธาน ร็อธไชลด์ ทำการกว้านซื้อหุ้นที่กำลังตกอย่างไม่อั้น จากข่าวลือที่ถูกปล่อยแพร่ไปทั่วตลาดว่า พันธมิตรทั้ง 7 พ่ายแพ้ต่อนโปเลียน ก่อนที่หุ้นที่เขาซื้อครบถ้วนในมือตามเป้าหมายแล้ว ข่าวจริงก็ถูกปล่อยแพร่สะพัดออกไปว่า แท้ที่จริงแล้ว ผู้แพ้ตัวจริงคือนโปเลียน

ความร่ำรวยในพริบตาของนาธาน ร็อธไชลด์ ได้ถูกส่งต่อไปยังตระกูลร็อธไชลด์ในฝรั่งเศส และเยอรมนี จนกระทั่งเป็นตำนานเล่าขานกันต่อมาพร้อมกับคำพูดอมตะว่า “เมื่อเลือดนองถนน ให้เข้าซื้อ” และ “เมื่อเสียงแตร (แห่งชัยชนะ) ดังขึ้น ให้ล้างพอร์ต”

ยามนี้ ตลาดหุ้นไทยถูกกครอบงำด้วยรังสีอำมหิตของการทำลายล้างและสำเร็จความใคร่ทางการเมืองมานานกว่า 3 เดือนแล้ว แต่ดัชนีของตลาดที่ยังสามารถรักษาระดับแนวรับดัชนี SET ไว้เหนือระดับ 1,300 จุดได้ จึงไม่น่าจะเป็นจุดอับหรือหายนะของตลาด หากเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับตำแหน่งการเก็งกำไรอย่างมีนัยสำคัญ

ตัวอย่างการร่วงแรงของหุ้นกลุ่มชินอย่าง INTUCH และ ADVANC หลายวันมานี้ เข้าสูตรของร็อธไชลด์เต็มเปา

บทเรียนจากร็อธไชลด์ บอกให้รู้ว่าในมิคสัญญีนั้น มีโอกาสแฝงอยู่ด้วยเสมอ สอดรับกับภาษิตโบราณท่า “สองคนยลตามช่อง” ไม่มีผิด ขึ้นอยู่กับนักลงทุนแต่ละคนว่า ใครจะมองเห็น “โคลนตม” หรือเห็น “ดาราพราวพราย”

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น