วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

‘PTT’ปันผลอีก8บาท กำไรหด9.46หมื่นล้าน

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ‘PTT’ปันผลอีก8บาท
กำไรหด9.46หมื่นล้าน
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2557
ผู้เข้าชม : 4 คน
PTT งบปี 56 กำไรหลุดแสนล้านบาท ทำได้เพียง 94,652 ล้านบาท บันทึกกำไรลงทุนบริษัทร่วมแค่ 27,079 ล้านบาท หลังธุรกิจสายโรงกลั่น-ปิโตรเคมีโดนปัจจัยลบถล่มหนัก บอร์ดปันผลครึ่งหลัง 8 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่ 6 มี.ค.นี้


นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 2556 ทางบริษัทมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 94,652 ล้านบาท ปรับลดลงจากงวดปี 2555 ที่บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 104,608 ล้านบาท นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังมีมติประกาศจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังจำนวน 8 บาทต่อหุ้น

สำหรับเงินปันผลจำนวน 8 บาทต่อหุ้น ทางบริษัทจะจ่ายจากกำไรสุทธิส่วนที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (NON-BOI) 4.50 บาท และจ่ายจากกำไรสุทธิส่วนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) 3.50 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ช่วงวันที่ 6 มี.ค. 2557 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 10 มี.ค. 2557

ทั้งนี้ จากการสำรวจความเคลื่อนไหวราคาหุ้น PTT ล่าสุดงวดวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา ปิดการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 286 บาท ปรับลดลง 1 บาท หรือคิดเป็นลดลง 0.35% ดังนั้น เมื่อบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลัง 8 บาท จะคิดเป็นดิวิเดนด์ยีลด์จำนวน 2.8% เมื่อเทียบกับราคาปิดหุ้นในกระดานล่าสุด

นายไพรินทร์ กล่าวอีกว่า ในช่วงปี 2556 ทางบริษัทมียอดขายรวมทั้งสิ้น 2,842,688 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ได้ยอดขาย 2,793,833 ล้านบาท เพราะมีปริมาณขายเพิ่มขึ้นโดยหลักจากธุรกิจน้ำมัน ถึงแม้ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงเป็น 105.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากปีก่อน 109.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ EBITDA มีจำนวน 228,972 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% จากปีก่อน มาจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นของ ปตท.สผ. และหน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ

โดยปี 2556 ปตท. และบริษัทย่อยมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม จำนวน 27,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 64 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน จากกลุ่มธุรกิจก๊าซและน้ำมัน แต่กลุ่มธุรกิจการกลั่นผลการดำเนินงานลดลงจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปีก่อนมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยน

ด้านกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีลดลง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลค่าเงินบาทอ่อนค่า และได้รับผลกระทบจากการหยุดซ่อมบำรุงโรง LDPE ของ PTTGC รวมถึงอุบัติเหตุฟ้าผ่าอุปกรณ์ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 5 ของปตท. ทำให้ PTTGC ต้องลดกำลังการผลิตของโรงปิโตรเคมี และมีค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มจากกรณีน้ำมันรั่วของ PTTGC ถึงแม้ Spread Margin ของผลิตภัณฑ์ทั้งสายอะโรเมติกส์และสายโอเลฟินส์จะปรับตัวดีขึ้นก็ตาม

ทั้งนี้ ในปี 2556 บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 305 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ได้กำไร 7,434 ล้านบาท และมีภาษีเงินได้ จำนวน 47,692 ล้านบาท จึงส่งผลให้มีกำไรสุทธิรวมลดลงเหลือ 94,652 ล้านบาท ปรับลดลงจาก 9.5% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 104,608 ล้านบาท

นายไพรินทร์ประเมินสถานการณ์โดยรวมของปี 2557 ว่า ความต้องการน้ำมันของโลกในปี 2557 คาดจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันไปอยู่ที่ระดับ 92.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามรายงานของ IEA ณ เดือน ธ.ค. 2556 โดยหลักจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะจีน อินเดีย และตะวันออกกลาง แต่กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯและยุโรป จะทรงตัวจากปีก่อน

อย่างไรก็ตาม แม้มีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น แต่คาดมีปริมาณการผลิตน้ำมันเพียงพอต่อความต้องการใช้โดยเฉพาะการผลิต Shale Oil ของสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น ราคาน้ำมันเฉลี่ยในปี 2557 คาดจะลดลงจากปีก่อนมาอยู่ในช่วง 100-105 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สำหรับค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์ในปี 2557 จะใกล้เคียงกับปี 2556 เนื่องจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปส่วนใหญ่คาดทรงตัวในระดับเดียวกับปีก่อน

ส่วนราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ในปี 2557 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการผลิตภัณฑ์พลาสติกจากจีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ในขณะที่กำลังผลิตใหม่มีปริมาณน้อยกว่าความต้องการที่จะเพิ่มขึ้น โดยราคา HDPE คาดจะอยู่ที่ 1,545 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ราคา Polypropylene จะอยู่ที่ 1,547 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์จะมีแนวโน้มลดลง จากสภาพอุปทานส่วนเกิน รวมทั้งจากการเพิ่มกำลังการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งราคา Benzene คาดจะอยู่ที่ 1,269 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และราคา Paraxylene คาดจะอยู่ที่ 1,373 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

ด้านภาวะเศรษฐกิจโลกปีนี้คาดขยายตัวสูงกว่าปี 2556 โดย IMF ประเมินเศรษฐกิจโลก ขยายตัวประมาณ 3.7% จาก 3% ในปี 2556 เนื่องจากเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเริ่มฟื้นตัว โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ส่วนเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรจะพ้นจากภาวะถดถอยและกลับมาขยายตัวได้

สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2557 คาดขยายตัวสูงกว่าปี 2556 เล็กน้อย โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากภาคส่งออกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนจะสามารถขยายตัวได้ จากการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายโดยให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่การลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐมีความล่าช้า

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความเสี่ยงเชิงลบมากขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ซึ่งหากสถานการณ์ยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นักลงทุน และนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ความผันผวนในตลาดการเงินโลกจากเงินทุนเคลื่อนย้าย ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงค่าเงินบาทของไทย

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น