วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อินทรี VS มังกร

อินทรี VS มังกร

เมื่อพูดถึงอินทรีและมังกร สัตว์ทั้ง 2 ชนิดดูจะมีอะไรคล้ายๆกันอยู่หลายๆอย่าง อาทิ ความสง่างาม ความยิ่งใหญ่ ความน่าเกรงขาม เป็นต้น และยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศมหาอำนาจ 2 ประเทศคือ อเมริกา และ จีน ซึ่งทั้ง 2 ประเทศดังกล่าวถือได้ว่าเป็นผู้นำของโลกอย่างแท้จริง ทั้ง 2 ประเทศยังแข่งขันเพื่อความเป็นผู้นำในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น ความเจริญทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าวิทยาศาสาตร์ รวมไปถึงกีฬา และหนีไม่พ้นเรื่องของการลงทุนเช่นเดียวกัน

สำหรับนักลงทุนไทยบางส่วนคงพอได้สัมผัสหรือคุ้นเคยกันบ้างแล้วสำหรับการลงทุนในทั้ง 2 ประเทศผ่านกองทุนรวม ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเลยในช่วง 2-3 ปีหลังที่ผ่านมา มีกองทุนมากมายที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุน (หุ้น) ของทั้ง 2 ประเทศ ผมเลยอยากจะขยายความเพิ่อให้เกิดความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นสำหรับนักลงทุนที่กำลังสนใจลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายดังกล่าว 

เริ่มกันที่กองทุนรวมที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นอเมริกากันก่อน ปัจจุบันมีกองทุนดังกล่าวอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 13 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 3,900 ล้านบาท (แบ่งเป็นกองทุนแบบปกติ 10 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 3,500 ล้านบาท และ Trigger Fund 3 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 400 ล้านบาท) 

ขณะที่กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนมีประมาณ 25 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 16,000 ล้านบาท (แบ่งเป็นกองทุนแบบปกติ 13 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 10,000 ล้านบาท) และ Trigger fund (11 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 5,600 ล้านบาท) และ ETF (1 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 248 ล้านบาท)

ซึ่งถ้า Master Fund ที่บริหารแบบ Passive ส่วนใหญ่จะเป็น ETF ที่ track ผลตอบแทนของดัชนีต่างๆ โดยถ้าเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นอเมริกาก็จะเน้น track ผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 หรือ Nasdaq ส่วนถ้าเป้นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนก็จะ track ผลตอบแทนของดัชนี Hang Seng China Enterprises Index เป็นหลัก ดังนั้นผลตอบแทนของการลงทุนดังกล่าวก็จะใกล้เคียงกับดัชนีนั้นๆ

ส่วน Master Fund ที่บริหารแบบ Active นั้นส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนของ บลจ.ที่มีบริษัทแม่อยู่ต่างประเทศ ซึ่งก็จะไปลงทุนในกองทุน Master fund ของบริษัทแม่ในต่างประเทศหรือไปเลือกลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในประเทศดังกล่าว และจะบริหารแบบ Active และอาจจะมี benchmark แตกต่างกันไปแต่ก็คงยังเน้นลงทุนในหุ้นของประเทศดังกล่าว ดังนั้นผลตอบแทนอาจจะไม่ได้ขึ้นลงตามดัชนีหลัก ซึ่งตรงจุดนี้นักลงทุนต้องทำความเข้าใจให้ดีด้วยครับ 

อีกประเด็นหนึ่งที่นักลงทุนต้องความเข้าใจเพิ่มเติมคือเรื่องของนโยบายการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน ซึ่งแต่ละกองทุนก็มีนโยบายที่แตกต่างกันออกไป รายละเอียดต่างๆเหล่านี้ (นโยบายกอง Master Fund, การป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน) ส่งผลต่อผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นการศึกษาข้อมูลการลงทุนให้ละเอียดก่อนการลงทุนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

สุดท้ายนี้มาดูผลตอบแทนของกองทุนทั้ง 2 ประเภทกัน ต้องยอมรับว่าในช่วงปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐนั้นได้ปรับตัวขึ้นสูงเป็นอย่างมากเรียกได้ว่าติดอันดับต้นๆของดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลักของโลก โดยดัชนี S&P 500 สามารถทำผลตอบแทนได้สูงถึง 18.21% นั้นส่งผลให้กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นอเมริกาสามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้กว่า 14.84% และสูงสุดถึง 21.53% และต่ำสุดที่ติดลบ -5.75% ขณะที่ผลตอบแทนระยะยาวย้อนหลัง 3 ปี กองทุนก็ยังสามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ถึง 14.88% ต่อปี 

ในทางกลับกันดัชนี CSI 300 และ Hang Seng China Enterprises ทำผลตอบแทนได้แย่ที่สุดติดอันดับท้ายๆของดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลักของโลกโดย ดัชนี CSI 300 ติดลบ -10.85% และ Hang Seng China Enterprises ติดลบ - 14.49% และก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนจะมีผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ - 7.6% แต่กองทุนที่ทำได้ดีที่สุดติดลบเพียง -1.04% ขณะที่แย่ที่สุดติดลบมากถึง -15.92% ขณะที่ผลตอบแทนระยะยาวย้อนหลัง 3 ปี กองทุนก็ยังย่ำแย่ทำผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบประมาณ -3.5% ต่อปี 

มาถึงตรงนี้ต้องยอมรับว่าถ้ามองกันในแง่ของความนิยมที่ได้รับจากนักลงทุนไทย กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนนั้นชนะขาดเนื่องจากมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่สูงกว่าอย่างมาก แต่ถ้ามองในแง่ของผลตอบแทน กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นอเมริกานั้นก็ชนะแบบขาดลอยเช่นเดียวกัน นักลงทุนที่ต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมของกองทุนทั้ง 2 ประเภท สามารถดูได้ที่www.morningstarthailand.com โดยใช้ฟังก์ชันจัดลำดับกองทุน และเลือกประเภทกองทุนแบ่งตามมอร์นิ่งสตาร์เป็น Global Equity หรือ Asia Pacific ex-Japan Equity 





*ข้อมูล ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2556
*ที่มา: บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) www.morningstarthailand.com

2 ล้านล้าน ตอนนี้ ถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก เป็นผม 6 ล้านล้านผมก็ทำ

กระทู้: "ไม่มีประเทศไหนทำรถไฟรางคู่แล้วล่มจม"

เจ้าสัวซีพี "ธนินท์ เจียรวนนท์" ประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์ ตอบคำถามพร้อมอธิบาย เมื่อถูกถามถึงประเด็นที่กำลังร้อนแรงเกี่ยวกับโครงการ "การลงทุน 2.2 ล้านล้าน" ของรัฐบาลชุดปัจจุบันเพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ระบบรางทั้งรถไฟรางคู่ รถไฟฟ้า และไฮปสปีดเทรน

เป็นการฉายภาพจากประสบการณ์ตรงที่สั่งสมมานานของมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของไทย ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 3.93 แสนล้านบาท ผ่านมุมมองธุรกิจ เศรษฐกิจ การเมือง

ท่ามกลางนักธุรกิจและคนที่สนใจล้นหลามในงาน 20 ปี มูลนิธิไทยคม เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

เจ้าสัวธนินท์ ขยายความว่า รถไฟความเร็วสูงไปถึงที่ไหน ที่ดินตรงนั้นก็ขึ้น เป็นการขึ้นทั้งประเทศ

ดังนั้น การลงทุน 2 ล้านล้านของรัฐบาลถือเป็นเรื่องที่ควรทำและควรรีบทำโดยเร็ว

"2 ล้านล้าน ตอนนี้ ถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก เป็นผม 6 ล้านล้านผมก็ทำ ถ้าโครงการครั้งนี้ไม่ผ่าน ต่อไป 6 ล้านล้าน ในอนาคตไม่รู้จะสร้างได้หรือเปล่า ไม่มีประเทศไหนทำรถไฟรางคู่แล้วล่มจม โดยดูได้จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของแต่ละประเทศ ก็จะเห็นภาพชัดทั้งญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือเกาหลีใต้"

ประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์ยังยกตัวอย่างรถไฟความเร็งสูงของญี่ปุ่นด้วยว่า ชินคันเซ็นของญี่ปุ่นรถไฟความเร็วสูงกว่า 200 ก.ม./ช.ม. เมื่อสร้างเสร็จประเทศญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วเพราะเมื่อรถไฟความเร็วสูงไปถึงที่ไหนทำให้แถวนั้นเจริญขึ้น ที่ดินราคาสูงขึ้น

เมืองไทยจำเป็นต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรถไฟรางคู่ นอกจากช่วยขนคนยังขนสินค้าด้วยทำให้ต้นทุนถูกลง ทำให้ต่อไปไทยจะกลายเป็นจุดศูนย์กลางที่แท้จริง ไปถึงเมืองจีน พม่า เขมร ลาว และอินเดีย ตลาดยิ่งใหญ่อยู่ที่จีน พม่า ไทย อินเดีย ซึ่งจีนที่มีจำนวนประชากร 1,300 ล้านคน อินเดีย 1,000 ล้านคน พม่า 60 ล้านคน ไทย 70 ล้านคน

ที่สำคัญโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้าน ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และจีดีพีสูงขึ้น การจ้างงานสูงขึ้นได้ทันที

การที่ประเทศไทยมีแผนการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยตัวเอง เจ้าสัวธนินท์ยังมองว่าเป็นทางเลือกที่ดีท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจในต่างประเทศ

"เช่นเดียวกับตอนนี้ทุกคนกังวลกับเศรษฐกิจอเมริกา ซึ่งเป็นธรรมดาเพราะปกติพออเมริกาป่วยปั๊บก็ดึงเอายุโรปป่วยไปด้วย แต่อาการเที่ยวนี้แปลกประหลาดมาก เพราะไม่ได้ดึงให้เอเชียป่วยตาม

ผมมองว่า เป็นเพราะว่า พออเมริกาป่วย ยุโรปป่วย แล้วเงินไปไหน มองไปมองมาเอเชียกำลังรุ่งเรือง หุ้นก็ยิ่งถูกลงๆ เงินก็ไหลกลับมาทางเอเชียทำให้สนุกกันใหญ่ หุ้นก็ขึ้น ทองคำก็ขึ้น

และพออเมริกาเริ่มฟื้นคนก็เห็นโอกาสของอเมริกา เงินที่ไหลมาทางเอเชียจะถอนกลับ ถอนกลับมากที่สุดคืออินเดีย ที่ 2 คืออินโดนีเซีย ผมว่าเมืองไทยสะเทือนเหมือนกันแต่ไม่มาก"

มุมมองของนายธนินท์ยังเชื่อว่า เมื่อเงินต้องไหลกลับอเมริกาก็อาจทำให้มีวิกฤตแน่นอน...แต่แค่ชั่วคราว

กระนั้น ถ้าไม่มีวิกฤตก็ไม่มีโอกาส แต่เมื่อมีโอกาสก็ย่อมต้องมีวิกฤตอันนี้แน่นอนของคู่กัน ครั้งนี้มองว่าเพียงชั่วคราวเงินกลับไปก็ต้องไหลกลับมาแน่นอน เพราะว่าเอเชียกำลังเติบโตและเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้นแน่นอน

"เมื่ออเมริกาดีขึ้น ยุโรปก็ต้องดีขึ้น เมื่อยุโรปดีขึ้น เอเชียก็ต้องดีขึ้น" เจ้าสัวสรุป

เขายังวิเคราะห์สถานการณ์ในมุมบวกว่า ช่วงนี้จึงกลายเป็นโอกาสสำคัญของจีน เพราะจีนเป็นพี่เบิ้ม จีนต้องการเข้ามาสู่อาเซียน จึงเป็นโอกาสดีของอาเซียนและประเทศไทย

"วันนี้จีนนอกจากจะเอานักธุรกิจมาลงทุนในไทย ยังชวนนักธุรกิจไทยไปลงทุนที่เมืองจีนด้วย อยากแนะนำให้รัฐบาลไทยควรให้มีบีโอไอมาส่งเสริมนักธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศ ไม่ใช่ส่งเสริมให้แต่นักธุรกิจในต่างประเทศมาลงทุนในเมืองไทย

แน่นอนว่าการแข่งขันทางการค้าย่อมสูงขึ้น ต่อไปถือว่าเป็นสงครามเศรษฐกิจ เขามาเราไป เขามาลงทุนเอากำไรของเรากลับบ้าน เราก็ต้องไปลงทุนต่างประเทศเอากำไรคืนกลับบ้าน สนามรบเป็นสนามการค้า เมื่อไปลงทุนกับที่ไหนเพื่อนบ้านยิ่งต้องสนิทกัน พึ่งพาอาศัยกันทำประโยชน์ซึ่งกันและกัน"

นอกจากนี้ เจ้าสัวซีพี ยังย้ำว่า ควรจะหมดยุคได้แล้วที่มัวแต่จะคิดขายแรงงานอย่างเดียว กดค่าครองชีพ เพื่อให้มีแรงงานต่ำ ไปผลิตสินค้าราคาถูกๆ

และตอกย้ำมุมคิดที่เขายึดมาตลอดนั่นคือ ต้องผลักดันให้สินค้าเกษตรมีราคาสูงขึ้นและเกษตรกรต้องมีรายได้ที่ดี

"สิ่งที่อยากจะบอก ถ้าประเทศไหนเกษตรกรไม่ร่ำรวย ประเทศนั้นก็จะไม่ร่ำรวย ร่ำรวยก็จะไม่แน่นแฟ้น ไปศึกษาดูได้เลยทั่วโลก มีประเทศไหนไม่ปกป้องสินค้าเกษตร แม้กระทั่งอเมริกาเหลือเกษตร 1% ก็ยังต้องปกป้อง ไม่ใช่ว่าต้องเอามาเลือกตั้งหาเสียง แต่เกษตรกรคือเป็นทรัพย์สมบัติของชาติ ถ้าสินค้าเกษตรตกต่ำ เงินก็ต่ำไปด้วย มันเป็นทรัพย์สมบัติของชาติ มันยิ่งกว่าน้ำมันอีก ผมเรียกว่าเป็นน้ำมันบนดิน

ลองไปศึกษาว่าจริงไหม ว่ามีประเทศไหนที่เจริญได้ เกษตรกรไม่รวย ทำให้ WTO ก็ยังมีปัญหาอยู่ เพราะต่างคนต่างบอกว่าไม่ได้ ผมต้องปกป้องสินค้าเกษตร ปกป้องทรัพย์สมบัติของเขา แต่ประเทศที่ด้อยพัฒนาแทบทุกประเทศยังไม่เข้าใจ กลัวคนจนในเมืองกินของแพง เลยกดราคาสินค้าเกษตร กดทรัพย์สมบัติตัวเองหดตัว ราคาสินค้าถูกยิ่งกว่าน้ำมัน

สินค้าเกษตรเลี้ยงมนุษย์ น้ำมันเลี้ยงเครื่องจักร ทีนี้ถามกลับว่าเครื่องจักรสำคัญหรือมนุษย์สำคัญ ถ้ามนุษย์สำคัญกว่า แต่ทำไมผู้ผลิต supply ให้กับมนุษย์ถึงจนเอาจนเอา มีเหตุผลไหม? มีแต่ประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนานี่แหละ กลัวที่สุดคือสินค้าเกษตรสูง"

เจ้าสัวธนินท์ยังมองว่า คนใดที่กลัวราคาสินค้าเกษตรแพง นั่นหมายความว่าคนเหล่านั้นไม่เข้าใจเศรษฐกิจ ไม่ไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์

"ประวัติศาสตร์ไม่ได้เรียนรู้แต่เฉพาะการเมือง เศรษฐกิจยิ่งต้องไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ อย่างเมื่อก่อนไต้หวันยากจนกว่าเมืองไทยตั้ง 8 เท่า แล้วทำไมใช้เวลา 20 ปี เศรษฐกิจไต้หวันล้ำหน้าประเทศไทย ตอนนั้นเงินเดือนต่ำกว่าคนไทยตอนนั้น 8 เท่า ที่ผมไปปี 1960 แต่ข้าวสารกิโลละ 10 บาท แต่เราเงินเดือน 800 ข้าวสารกลับกิโลละ 3 บาท

เพราะทุกประเทศในโลกนี้ไม่มีคนไหนที่ปู่ย่าตายายหรือทวดหรือรุ่นขึ้นไปไม่ใช่เป็นชาวนา สมัยก่อนไม่มีอุตสาหกรรม มีแต่ชาวนา แล้วถ้าคนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังซื้อ ประเทศจะร่ำรวยได้อย่างไร ตอนนั้นไต้หวันเองก็ไม่เหมือนจีน และไม่เหมือนไทย ใครจะกล้าไปลงทุนไต้หวัน ประชากรมีอยู่ 10 กว่าล้านคน"

มองในมุมของการพัฒนาเปรียบเทียบกับประเทศที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย ไต้หวันใช้เวลา 20 ปีสร้างตัวเองขึ้นมาและเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก เกาหลีใต้ใช้เวลา 27 ปีร่ำรวยและเดินทางไปเที่ยวทั่วโลก

"ญี่ปุ่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะเขาถือว่าซามูไรเป็นมือขวา ชาวนาเป็นมือซ้ายของจักรพรรดิ เพราะมือขวานี้ปกป้องประเทศ มือซ้ายเลี้ยงคนทั้งประเทศ แล้วไม่สำคัญได้อย่างไร"

แต่ประเทศที่ด้อยพัฒนาละเลยการยกระดับเกษตรกร นั่นต่างหากที่ทำให้ประเทศยากจน

ดังนั้น รัฐบาลที่มีฝีมือต้องทำให้คนในเมืองรวยขึ้น เกษตรกรรวยขึ้น กำลังซื้อเกิดขึ้น รัฐบาลมีภาษีมากขึ้น เกษตรถึงจะเข้าสู่อุตสาหกรรม

"ตอนนี้เราเนื้อหอม ก็ต้องฉวยโอกาส นโยบายรัฐบาลปัจจุบันนี้ถูกต้องที่สุด เราคบทุกประเทศ แล้วใครให้ประโยชน์เราสูงเราก็คบมาก เหมือนเวลามีทางเลือก ทำไมต้องไปผูกกับคนเดียว ญี่ปุ่นเราก็ต้องคบ รัสเซียก็ต้องคบ จีนถ้าให้ประโยชน์เราสูง เราก็คบมากหน่อย ไม่มีใครว่า"

ก่อนที่เจ้าสัวซีพีจะทิ้งท้ายแบบมองมุมบวก และให้ความหวังกับคนไทยเต็มที่ว่า

"ผมมองวันนี้ ขอให้การเมืองนิ่งหน่อย คนไทยจะร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์"

นั่นคือวิสัยทัศน์ 2020 ของประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่พร้อมจะร่วมขบวนรถไฟความเร็วสูง เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและเชื่อว่า ประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาส ณ เวลานี้

บทความพิเศษ ศัลยา ประชาชาติ/(มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 18-24 ต.ค.2556)


The New World Pope shifts Church politics south

The New World Pope shifts Church politics south
©Getty
From the way Pope Francis discusses sex and money in his first major papal pronouncement, you can tell a lot about his plans for Catholicism. He wants Church leaders to scold people less for their sexual arrangements. He thinks capitalism in its present, lightly regulated state is a “new tyranny”.

The Pope’s apostolic exhortation, Evangelii Gaudium (“Joy of the Gospel”), was released this week. He calls it a set of guidelines for a “new phase of evangelisation”. The election in March of Francis, a charismatic priest serving the working class of Buenos Aires, was a milestone in this phase.

On this story

On this topic

Christopher Caldwell

For all the Church’s recent difficulties, its leaders believe it has vast potential for growth. They are right. The consumerism and materialism of the past decades have wrought economic marvels, but they have left a spiritual void – what Francis calls “the desolation and anguish born of a complacent yet covetous heart”. And yet every time the Church clashes with hedonism, it loses. So, at one level, Francis is making his self-abnegating religion more marketable in this consumerist age. He has figured out that people would rather hear about the joys of salvation than the wages of sin. “An evangeliser,” he writes, “must never look like someone who has just come back from a funeral.”

This shift should not be mistaken for all-out modernisation. On fundamental questions – which include sex and money – the Pope is not revising the Church’s beliefs, although he may change dramatically its attitude towards power.

The cornerstone of the Pope’s thinking is that the Church is a community of sinners, subject to “self-absorption, complacency and selfishness, to say nothing of the concupiscence which preys upon us all”. Francis is harder on hypocrites within the church than without. His tone is occasionally bilious and angry. His fellow clergymen are pretentious. They write lousy homilies. They are cliquish and snobby, which leaves people feeling unwelcome. “The Eucharist,” he writes, “is not a prize for the perfect but a powerful medicine and nourishment for the weak.”

Those who follow the Catholic Church primarily to root against its sexual teachings will find little to please them in this document, which lays out a number of non-negotiable points. No women priests, no reconsideration of abortion and (by implication) no gay marriage. The Pope is not at odds with the way previous popes understood these things. He is just a bit more savvy about how, on television and online, “certain issues which are part of the Church’s moral teaching are taken out of the context which gives them their meaning”.

On economic matters, the Pope’s thinking is radical, albeit somewhat less radical than it looks. There are passages in Gaudium that sound like the manifesto of some mid-20th-century revolutionary front. (“Solidarity is a spontaneous reaction by those who recognise that the social function of property and the universal destination of goods are realities which come before private property.”) But the Gospels have always been an uneasy match with free markets. At heart, the Pope is urging believers to pay more attention to the poor. Nothing could be more mainstream than that. The poor, and Christians’ duty to them, are all over the Gospels. Latin American theology since the 1960s has stressed that theme tirelessly. “For the Church,” Francis writes, “the option for the poor is primarily a theological category rather than a cultural, sociological, political or philosophical one.”

These ideas will be harder for the Pope to apply in more prosperous parts of the world, where today there are, broadly speaking, two ways to help the poor. You can help them directly, by giving alms or tutoring or ladling soup. The help this affords is genuine, but it takes the heat off the wider system, centred in the west, which the Pope attacks as a tyranny. The other way to help is indirectly, through politics. In advanced European and North American democracies, however, “the poor” tend not to speak for themselves. They are represented by the more “compassionate” of parties of the relatively wealthy, whose “compassion” often consists of pillaging the other party’s voters to compensate their own. The poor wind up an afterthought.

In less-developed political societies, such as, historically, those of Latin America, it is easier to tell rich from poor. And a lot more politically charged, too. Either the first New World Pope understands European and North American politics less well than his predecessors or he has revealed a historic shift in the Church’s culture. The Vatican may still be in Rome, but the heart of the church is on other continents. After centuries of projecting its attentions outward, Catholic Europe now finds itself on the periphery. It is missionary territory.

The writer is a senior editor at The Weekly Standard

Thailand’s troubles - FT.com

Thailand’s troubles - FT.com
After a nearly three-year hiatus, Thailand has reverted to a depressingly familiar pattern of political polarisation. Ever since 2006, when Thaksin Shinawatra, former prime minister, was removed in a military coup, the country has been bitterly divided between those who love him (the “reds”) and those who loathe him (the “yellows”). The fight is about more than personality. Mr Thaksin, a deeply flawed politician, has nevertheless come to encapsulate the aspirations of a majority of poorer Thais. The ensuing ideological confrontation has spiralled into violence. In 2008 yellows occupied the international airport in their efforts, eventually successful, to force out an elected pro-Thaksin government. In 2010, dozens of Mr Thaksin’s supporters were shot after they occupied parts of Bangkok.

Mr Thaksin still casts a lengthy shadow even though he now lives in exile. In Thailand he faces a two-year jail sentence for corruption after a trial in absentia that he insists was politically motivated. A calm of sorts returned when his sister, Yingluck Shinawatra, was elected prime minister in 2011. The truce was broken in recent weeks when her government tried to pass a wide-ranging amnesty that critics said was aimed at exonerating her brother. The resulting protests have not abated even though the amnesty bill – a clumsy piece of legislation – has since been dropped.

On this story

On this topic

Editorial

It would be tempting to say “a plague on both your houses”. Three years ago it was Mr Thaksin’s supporters who were on the streets. Today it is the yellows. Accusations of corruption and incompetence against the current government – including for its poorly conceived rice-subsidy policy – have merit. They were equally applicable to the previous Democrat-led administration.

Yet the opposition is more in the wrong than the government. The proposal of Suthep Thaugsuban, the main protest leader, that the government stand down in favour of an unelected “people’s council” is nonsense. It shows that the Thai establishment has still not learnt to accept the result of elections. Ms Yingluck’s government has acted with appropriate restraint. There has been no repetition of the shootings of three years ago. She should ensure it stays that way. Yet the onus is now on the protesters to cease their illegal occupation of ministries. They have made their point and should now withdraw. If they want to occupy government buildings in future, they should fulfil one condition first: win an election.

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Thailand’s Democrat Party Is Hilariously Misnamed

Thailand’s Democrat Party Is Hilariously Misnamed

Damir Sagolj / Reuters
Suthep Thaugsuban, protest leader and former Deputy Prime Minister, acknowledges the crowd at the Democracy Monument in central Bangkok on Nov. 24, 2013


Thailand’s color-coded political strife has once again flared up. Yellow Shirt supporters of the Democrat Party have seized control of government ministries and departments in the Thai capital and occupied at least 19 provincial offices, demanding that Prime Minister Yingluck Shinawatra — backed by rival Red Shirts — step down. To the Yellow Shirts, the 46-year-old Yingluck is merely a stooge for her brother, exiled former Prime Minister Thaksin Shinawatra, a divisive figure ousted in a military coup in 2006 and sentenced in absentia to two years’ imprisonment for corruption.

The current wave of Yellow Shirt action stems from opposition to a now stalled amnesty bill that would have allowed Thaksin to return home, and an attempt by Yingluck to consolidate power by altering the composition of the Senate. On Tuesday, protest leader Suthep Thaugsuban, a former Democrat Party Deputy Prime Minister, repeated his call for a “people’s revolution” to replace the elected Yingluck administration with a nonelected royalist council. Attempting to downplay personal ambitions, Suthep declared “before the sanctity of Buddhism that I, Suthep Thaugsuban, will not be Prime Minister in the future.” A warrant has since been issued for his arrest for unlawfully entering government buildings.

(MORE: Thailand’s Color War: Why Red Hates Yellow)

So far, so histrionic. But what happens in Thailand is important. The kingdom is the sybaritic destination of millions of travelers every year. It is one of the world’s largest exporters of rice and the second largest economy in Southeast Asia. Even more significantly, Thai democracy is an important example to neighboring populations in Burma, Laos, Cambodia and Vietnam, which have long cast envious glances at their booming neighbor.

It’s just that when it comes to Thai democracy, the ironically named Democrat Party is among the worst practitioners. Tens of thousands of Yellow Shirts are marching across the country, but demanding the establishment of royalist councils is hardly a people’s revolution. If anyone has been exercising people power, it’s the 15 million voters who elected Yingluck and her Pheu Thai party in July 2011. Thaksin-backed political parties have won the previous five elections with significant majorities, and Thaksin’s own populist policies helped bring millions of rural poor out of poverty. He remains the kingdom’s most popular Prime Minister since the abolition of absolute monarchy in 1932.

There are, of course, plenty of reasons to oppose the billionaire telecom mogul: the catalog of nest-feathering business deals from his time in office left few in any doubt of his lack of scruples, while his 2003 “war on drugs” involved some 2,800 extrajudicial killings. The image of him directing demonstrations from his lavish Dubai haven, while his Red Shirt supporters risk arrest, violence and occasionally their lives, is hardly a heroic one. But the opposition’s failure to exploit these weaknesses is astonishing.

“We always talk about Thaksin because he’s corrupt, he’s abusive, but he keeps wining the election,” says Thitinan Pongsudhirak, professor of political science at Chulalongkorn University in Bangkok. “We have to start asking about his opponents.”

(MORE: Thailand’s Amnesty Bill Unites Political Foes Against Government)

The Democrat Party last won a majority in 1992. Its power base is the Bangkok bourgeoisie, described as “timid, selfish, uncultured, consumerist and without any decent vision of the future of the country” by Cornell University Professor Benedict Anderson. As such, the party finds no support among the rural poor of the nation’s northeast — which is Red Shirt territory — and flounders at the ballot box. But instead of developing manifestos and platforms that could compete for rural votes, the party alienates the heartland electorate further by petulantly calling upon powerful allies — such as the military or judiciary — to undermine its rival.

The pattern is now established. A Thaksin-backed administration is voted in, then it is discreditably ousted by some elite machination (the 2006 coup d’état, the 2008 dissolving of the Thaksin-backed People Power Party by the Constitutional Court). Protesters take to the streets, bloodshed is inevitable, and then a Thaksin-backed party wins at the polls again.

A series of deeply unpopular domestic-policy decisions has been eating away at the Yingluck administration. But Democrat leader and former Prime Minister Abhisit Vejjajiva, who along with Suthep has been charged with murder for ordering the 2010 crackdown while in office, failed in a no-confidence motion against Yingluck in Parliament on Thursday. The Yellow Shirts’ seizure of government buildings has also backfired. “Yingluck has snatched something resembling victory from the jaws of defeat,” says Benjamin Zawacki, senior legal adviser for Southeast Asia at the International Commission of Jurists, adding that Suthep “has likely overplayed his hand.”

(MORE: Thai Protest Leader Calls for a ‘People’s Revolution’ as Demonstrations Enter Third Day)

Divisions within Pheu Thai have been put to one side in the face of the current tumult, and hordes of Thaksin loyalists are rallying inside Bangkok’s Rajamangala National Stadium, festooned with crimson bunting and images of their hero. Another Red Shirt rally in the capital has been announced for Saturday.

Many hoped Thailand’s color-coded conflict would end after the terrible low point of April and May 2010, when almost 100 people died and 2,000 were injured during a government crackdown on a Red Shirt demonstration in central Bangkok. (The Red Shirts were protesting the removal of a democratically elected government, just as Suthep is now demanding.)

Regrettably, all signs now point toward an escalation instead — and soon. Dec. 5 is the 86th birthday of now ailing King Bhumibol Adulyadej and an important holiday in Thailand. Some believe Suthep will not want to mar this occasion and so will, in Zawacki’s words, “seek escalation now in the hopes of a coup or at least a temporary declaration of martial law” before the holiday. These are thuggish politics. The Democrat Party might cling onto its name, but seeing many of its supporters swap yellow for black shirts seems strangely apt.

MORE: Red and Yellow Shirts March in Bangkok

ทิศทางอสังหาฯ ไทย ในสายตาผู้นำตลาด

ตอบกลับกระทู้
29 พ.ย. 56 11:47 โดย : pumai
ทิศทางอสังหาฯ ไทย ในสายตาผู้นำตลาด


พลันที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลังระบุว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยมีมูลค่าคิดเป็น 5-6% ของ GDP ซึ่งมีมูลค่ารวม ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านล้านบาท นั่นก็หมายความว่ามูลค่าธุรกิจอสังหาฯ สูงถึงราว 6 แสนล้านบาทเลยทีเดียว

ข้อมูลนี้ถูกนำเสนอผ่านเวทีสัมมนาที่มีชื่อว่า “ทิศทางเศรษฐกิจ-อสังหาริมทรัพย์ไทยในสายตาผู้นำ” โดยไฮไลต์ของงานนี้ อยู่ที่การบรรยายของอนันต์ อัศวโภคิน ประธานและกรรมการผู้จัดการ บมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่นานๆ จึงจะยอมออกงานที่ไม่ใช่พิธีเปิดธุรกิจของบริษัทในเครือตนเอง


อนันต์สรุปถึงกุญแจสำคัญที่นำมาความสำเร็จของ L&H เอาไว้ 2 ประการ ได้แก่ การลดต้นทุนคงที่ หรือ ต้นทุนค่าโสหุ้ย (Overhead Cost) และการเพิ่มยอดขาย เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกคนน่าจะตระหนักถึงความสำคัญของ ‘กุญแจ’ 2 ดอกนี้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่แนวทางการปฏิบัติในแบบฉบับของ L&H มากกว่า

“ดูจากตัวเลขไตรมาส 3 ของหลายๆ บริษัทจดทะเบียนอัตรากำไรขั้นต้น (margin) เหมือนกันหมดคือประมาณ 35% แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างกันเยอะมากคือ Overhead Cost บริษัทที่มีต้นทุนต่ำสุดคือ ต่ำกว่า 10% ขณะที่บริษัทที่ต้นทุนสูงสุดคือ สูงกว่า 25% ฉะนั้นกำไรสุทธิที่ต่างกันจึงเกิดจากการบริหารต้นทุนคงที่ที่ไม่เท่ากัน” บริษัทที่อนันต์กล่าวว่ามีต้นทุนค่าโสหุ้ยต่ำที่สุดน่าจะหมายถึง L&H เพราะถือเป็นนโยบายที่แม่ทัพใหญ่ตั้งไว้ให้กับทีมงานว่าจะต้องคุมต้นทุนคงที่ของบริษัทให้ต่ำกว่า 10% เสมอ

สำหรับวิธีลดต้นทุนค่าโสหุ้ยที่อนันต์แนะนำ ซึ่งเป็นแนวทางที่ L&H ปฏิบัติมานับตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 คือการควบคุมจำนวนพนักงาน โดยในปี 2540 ซึ่ง L&H มียอดขายราว 1 หมื่นล้านบาท ขณะนั้นบริษัทมีพนักงานราว 600 กว่าคน และคงอยู่ที่จำนวนนี้มาจนถึงวันนี้ ที่บริษัทมียอดขายและยอดจองเกือบ 3 หมื่นล้านบาท

“ถ้าไม่จำเป็น อย่ารับคนเพิ่ม ถ้ามีความจำเป็น ก็อย่ารับคนเพิ่ม ใช้กฎข้อนี้จะทำให้ต้นทุนคงที่ต่ำมาก เพราะทำให้แต่ละคนในบริษัททำได้หลายอย่าง และเมื่อไหร่มีตำแหน่งไหนที่คิดว่าไม่ต้องมีบริษัทก็ไม่เดือดร้อน แสดงว่ายังสามารถลดต้นทุนได้อีก” อนันต์เล่าติดตลกว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยนั่งคิดเลยเถิดไปว่า ตำแหน่งเลขานุการยังจำเป็นกับเขาไหม

หลังจากไตร่ตรองเรื่องการลดพนักงานจนถี่ถ้วน อนันต์บอกว่า ทุกวันนี้ L&H ไม่มีฝ่ายจัดซื้อด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าบริษัทคัดคนเข้ามาดีพอ ทุกคนน่าจะซื้อของภายใต้งบประมาณและร้านค้าที่บริษัทจำกัดไว้ได้ นอกจากนี้ อีกฝ่ายที่ไม่มีใน L&H คือ ฝ่ายบุคคล แต่มีเสมียนที่ช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องการฝึกอบรมให้กับแต่ละฝ่าย

“ฝ่ายบุคคลคือ คนที่เราจ้างมาทำบัญชีเพื่อตัดเงินเวลาพนักงานขาด สาย ลาป่วย แต่เงินเดือนบวกผลประโยชน์ที่ออฟฟิศต้องจ่ายให้กับคนทำงานฝ่ายนี้ ปรากฏว่ามากกว่าเงินที่ได้จากการขาดสายลาป่วย ฉะนั้นไม่ต้องคิดเรื่องขาดสายลาป่วย เราใช้วิธีเก็บคะแนนไว้เพื่อตัดเงินเดือนส่วนที่จะให้เขาเมื่อสิ้นปี อันนั้นเท่ากับตัดเขาตลอดชีวิต เพราะมันคือฐานเงินเดือนที่จะเป็นตัวคูณสำหรับการขึ้นเงินเดือนของเขาไปตลอดชีวิตการทำงาน”

ทั้งนี้ ฝ่ายที่ L&H ให้ความสำคัญและลงทุนค่อนข้างมากคือ ฝ่าย IT ซึ่งมีพนักงานราว 12 คน

นอกจากนี้ ต้นทุนสำคัญอีกตัวที่ต้องลดลง คือ ต้นทุนค่าโฆษณา โดยอนันต์มองว่า หมดยุคของการโฆษณาลงหนังสือพิมพ์ ขณะที่สื่อโทรทัศน์อาจจะยังต้องคงไว้บ้างเพื่อรักษาแบรนดิ้ง แต่นับจากนี้ไป สื่อที่ L&H จะให้ความสำคัญกับ Online Marketing และ Social Network มากขึ้น เพราะเป็นการสื่อสาร 1:1 และเจาะหาลูกค้าแบบรายบุคคล ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพกว่าเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ใช้

อย่างไรก็ดี อนันต์มองว่า การโฆษณาสินค้าและสร้างแบรนด์ที่ดีที่สุด คือการจ่ายคืนให้ลูกบ้านด้วยบริการหลังการขายที่ดี โดยทุกโครงการของ L&H จะมีการตั้งสำรองค่าซ่อมแซมบ้านฟรีให้กับแต่ละหลัง

“ปกติงบโฆษณาที่บริษัทอสังหาฯ ใช้คือ 2.5-3% ของยอดขาย สมมุติยอดขาย 4 พันล้านบาท เราก็ต้องใช้งบร้อยล้านบาท ถ้าบ้านหลังละ 3 ล้านบาท ก็เท่ากับ 1,300 หลัง ตกหลังละ 7 หมื่นบาท แต่ถ้าเราไม่โฆษณาแล้วเอาเงินก้อนนี้ไปสำรองเป็นค่าซ่อมบ้าน พอลูกค้าเรียกปั๊บเรารีบไปซ่อมเลย ฟรีด้วย ปรากฏลูกค้าชมแล้วชมอีก ทำไมเราไม่คิดกลับทาง”

หลักการเดียวกันนี้ถูกนำไปใช้กับการสร้างแบรนด์ศูนย์การค้า ‘Terminal 21’ คือแทนที่จะทุ่มเงินเป็นงบโฆษณา อนันต์นำเงินก้อนนั้นมาจ่ายกลับคืนให้ลูกค้า ผ่านการยอมขาดทุนรายได้จาก Food Court ปีละ 20 ล้านบาท เพื่อให้ลูกค้าเข้าศูนย์ และงบอีกประมาณ 5 ล้านกว่า ในการทำห้องน้ำให้เป็น Talk-of-the-Town โดยในปีหน้าที่ L&H จะลงทุนสร้างศูนย์การค้าในต่างจังหวัด 4 แห่ง เขายืนยันว่าจะทำห้องน้ำให้เป็นที่ฮือฮาเช่นเดิม

ส่วนแนวทางเพิ่มยอดขาย อนันต์ย้ำบ่อยครั้งว่า การเพิ่มยอดขายของ L&H ไม่ใช่การเน้นปริมาณยูนิตที่ขาย แต่เป็นการตั้งราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการเพิ่ม ‘มาร์จิน’ ที่ดีกว่า โดยสิ่งที่จะทำให้ทำเช่นนั้นได้คือ ต้องรักษาคุณภาพของสินค้า บริการ และเวลา

ทั้งนี้ หลักการที่ L&H ใช้มาตลอด 40 ปีคือ การสร้างให้เสร็จก่อนขาย ในขณะที่หลายบริษัทเลือกที่จะขายใบจองให้หมดก่อนที่จะสร้างเสร็จ แล้วนำเงินที่ได้ไปหมุนให้เร็วเพื่อจะได้ทำรายได้ได้หลายรอบ

“ถ้าสร้างเร็วแล้วขายไม่ทันความเสี่ยงก็เยอะ ก็เลยหาทางระงับความเสี่ยงด้วยการจองล่วงหน้าให้หมด เป็นสิ่งที่หลายบริษัทไม่สามารถก้าวข้ามได้ คือไม่กล้าสร้างให้เสร็จก่อนขาย ทั้งที่จริงผมว่า ใช้เงินหมุนเวียนน้อยกว่าเยอะ เวลาลูกค้าไปไซต์งานมีแต่บ้านที่เสร็จแล้ว ลูกค้าไม่ต้องมาตรวจบ้านที่ยังไม่เสร็จ ลองนึกว่าถ้าลูกค้าจองซื้อรถ แล้วไปโรงงานขอเปลี่ยนเบาะเปลี่ยนพวงมาลัย ไหนจะเสียเวลา แล้วไลน์การผลิตก็เจ๊งหมด”

ในฐานะผู้นำตลาด อนันต์เตือนว่า การที่บริษัทมียอดจอง (Backlog) ล่วงหน้าเป็น 2-3 ปี เพื่อสร้างความสบายใจให้ตัวเอง แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่ต้องนึกถึงคือ ต้นทุนที่บริษัทต้องแบกรับไว้เต็มไปหมด ไหนยังมีค่าเสียโอกาสในการขึ้นราคาขายในอนาคต

“การขายจึงไม่ใช่ทุกอย่าง เราพลาดตรงนี้กันเยอะมาก มัวแต่รีบขายจนลืมคิดว่ามาร์จินสามารถปรับได้ดีกว่า ผมจะละเอียดมากในเรื่องการตั้งราคาและดูมาร์จินเราจะค่อยๆ ศึกษาว่าราคาไปได้แค่ไหน แต่ละรายรับได้แค่ไหน แล้วก็อย่าคิดว่าเซ็นสัญญากับผู้รับเหมาแล้วจะสบายใจได้ เพราะไม่มีผู้รับเหมาไหนยอมทำงานที่ทำแล้วจะขาดทุน หลายบริษัทอาจทิ้งงานไปเลยก็ได้ ฉะนั้นปีหน้า คนที่มี Backlog มาก น่าจะเจอปัญหานี้เยอะ”

แม่ทัพใหญ่แห่ง L&H ทิ้งท้ายเพื่อกระตุกเตือนเพื่อนร่วมธุรกิจว่า จริงๆ แล้ว สิ่งที่ควรพิจารณาไม่ใช่ตัวเลขบรรทัดแรกของงบการเงิน (ยอดขาย) แต่ควรเป็นตัวเลขบรรทัดสุดท้าย (Bottom Line) คือกำไรสุทธิ

พร้อมกับทิ้งท้ายว่า “อย่าไปบ้าตามหนังสือพิมพ์ พอเห็นคนอื่นขายเยอะก็จะขายบ้าง ให้กลับไปดูเรื่องการพัฒนาองค์กรตัวเองให้มากขึ้นดีกว่า ว่าเราประหยัดอะไรได้อีก”


Category: Cover StoryTags: Real Estateบมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (L&H)อนันต์ อัศวโภคินอสังหาริมทรัพย์
29 พ.ย. 56 11:58 โดย : ptt01


© COPYRIGHT 2013 STOCK2MORROW

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

คนไทย 8 บรรทัด คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2556

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: คนไทย 8 บรรทัด

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2556
ผู้เข้าชม : 7 คน
กลุ่มนักวิชาการประชาธิปไตยนำโดย อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เสนอทางออกจากวิกฤติให้ยุบสภา พร้อมกับขอประชามติแก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่รู้ว่ารัฐบาลและม็อบจะรับฟังหรือไม่

ข้อเสนอทั้ง 2 ข้อ ยืนอยู่บนหลักการ ข้อแรก ควรยุบสภาเพราะเป็นต้นเหตุของวิกฤติ จากการออกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย โดย “เสียสัตย์” ยัดไส้ และลักหลับประชาชนตอนตีสี่

แต่ข้อสอง เนื่องจากรัฐสภากำลังโต้แย้งอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ที่ก้าวล่วงมาเอาผิด 312 ส.ส. ส.ว. จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ ส.ว.มาจากเลือกตั้ง จึงต้องยืนยันอำนาจอันชอบธรรมของรัฐสภา ด้วยการขอประชามติ

ข้อแรก สภาผู้แทนราษฎรผิด ข้อสอง รัฐสภาถูก นี่คือการแยกแยะอย่างมีเหตุผล

แต่อารมณ์สังคมที่ก่อขึ้นเป็นม็อบ ไม่ได้ยึดเหตุผล ไม่พอใจร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ อยากไล่รัฐบาล ก็พาลโทษรัฐสภาด้วย ไปปลุกกันว่าแก้ไขให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งผิดมหันต์ ไม่ยอมรับอำนาจศาลเท่ากับ “กบฏ” โดยมีนักวิชาการและสื่อช่วยตะแบง เพียงหวังล้มรัฐบาลที่ตัวเองเกลียด และเชื่อว่าเลว

เรื่องน่าหัวเราะปนสมเพชคือ พวกไม่เอาเลือกตั้ง ส.ว. พอสุเทพ เทือกสุบรรณ เสนอให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด กลับไชโยโห่ร้อง นี่อีก 5 ปี ถ้า ปชป.เป็นรัฐบาลคงกลืนน้ำลายแผล็บๆ บอกว่าเลือกตั้ง ส.ว.ดีกว่า

นี่คือปัญหาของขบวนการ “โค่นระบอบทักษิณ” ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา เมื่อไม่พอใจรัฐบาลไทยรักไทย ขบวนการโค่นระบอบทักษิณกลับไม่ยึดหลักการ เหตุผล ความถูกต้อง ยุติธรรม แต่ทำอย่างไรก็ได้ไล่มันออกไป ทำอย่างไรก็ได้กระทั่งบิดเบือนหลักตรรกะ นักรัฐศาสตร์นักนิติศาสตร์ ตระบัดลิ้นเชียร์รัฐประหาร เชียร์ศาลใช้กฎหมายย้อนหลัง ใช้หลักทำผิดคนเดียวประหารเจ็ดชั่วโคตร ยุบพรรค ตัดสิทธิ ช่วยกันแถว่านั่นคือหลักนิติธรรม ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ถูก แต่เพื่อไล่ทักษิณ เพื่อประเทศชาติ เพราะทักษิณมันเลวร้ายเกินกว่าจะยึดหลักการได้....

ท้ายที่สุด “ระบอบทักษิณ” ก็ได้เกราะเหล็กคือระบอบประชาธิปไตย

แต่นี่ยังจะทำใหม่ จะถอดถอน 312 ส.ส. ส.ว.รวมนายกฯ เพราะแก้รัฐธรรมนูญให้ ส.ว.มาจากเลือกตั้ง ซึ่งเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่ม็อบเอาไปปนกับความโกรธที่สภาผ่านร่างนิรโทษฯ ไปปนกับความไม่พอใจเรื่องอื่นๆ บริหารไม่เป็น ของแพง โกงจำนำข้าว ฯลฯ

เรื่องเศร้าคือคนไทยเราชอบมองอะไรดีสุดขั้วชั่วสุดขีด ทักษิณเลวเอาใครก็ได้ล้มมันไปก่อน เมื่อ 7 ปีก่อนก็เห็นสนธิ ลิ้มฯ เป็นศาสดา วันนี้เห็นเทือกเป็นเทพ เมื่อ 7 ปีก่อนเรียกหารัฐประหาร นายกพระราชทาน วันนี้ไม่รู้จะเอาอะไร ก็อ้างสภาประชาชน รัฐบาลประชาชน ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกันคือคิดว่าปัญหาทุกอย่างแก้ได้วันเดียวจบ ด้วยการใช้กำลัง

จริงครับ ประเทศไทยต้องปฏิรูป แต่ต้องปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองให้เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตยก่อน และที่สำคัญต้องปฏิรูปความคิดคนไทย ที่อ่านหนังสือแค่ 8 บรรทัด แต่เวลาพูดจาก็ชอบโทษคนชนบทว่าโง่ ไร้การศึกษา อันที่จริงคนจบปริญญาตรี โท เอก ที่ไม่ยึดเหตุผลต่างหาก มีปัญหามากกว่า

วิกฤติที่เกิดขึ้นอันที่จริงเป็นโอกาสดีที่จะปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศ แต่ต้องใช้อารมณ์สังคมให้ถูกทาง ไม่ใช่ยึดนั่นยึดนี่ หวังเปลี่ยนแปลงนอกระบอบ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย ชาวโลกไม่เอาด้วย

อย่าคิดแต่ว่าเลือกตั้งครั้งไร ปชป.ก็แพ้ ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง ก็เห็นพูดกันนัก ประชาธิปไตยเปิดพื้นที่ให้สู้กันด้วยเหตุผล ถ้าไม่ตะแบง ถ้าเสนอเหตุผลที่ดี สมมติเสนอปฏิรูปการเมือง ให้ ส.ว.มาจากเลือกตั้ง ให้ผู้ว่าฯ มาจากเลือกตั้ง ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปทหาร ปฏิรูปศาล ก็อาจเห็นพ้องกันได้ไม่ต้องมีสี

ใบตองแห้ง

‘รังสรรค์’การันตีTMB ชูไตรมาส4กำไรสนั่น

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ‘รังสรรค์’การันตีTMB
ชูไตรมาส4กำไรสนั่น
ยันไร้ตั้งสำรองพิเศษ – ING ยังดีลขายหุ้นอยู่
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2556
ผู้เข้าชม : 11 คน
ประธานบอร์ดแบงก์ทีเอ็มบี แสดงความมั่นใจ ผลประกอบการในไตรมาส 4 จะออกมาดี คาดไม่น้อยกว่า 2 พันล้านบาท ดันทั้งปีมากกว่า 6 พันล้านบาท ไม่มีการตั้งสำรองพิเศษ ขณะที่เอสแอนด์พีเพิ่มอันดับเครดิตสะท้อนตัวเลขสำคัญทางการเงินดีมาก ส่วนการเจรจาขายหุ้นของไอเอ็นจี ยังดำเนินการอยู่



นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการธนาคารทหารไทย หรือ TMB เผยว่า ผลประกอบการของทีเอ็มบีในไตรมาสที่ 4 จะปรับตัวดีขึ้นกว่าทุกไตรมาสที่ผ่านมา และปีนี้ผลประกอบการก็จะสูงกว่าที่ตั้งไว้ หลังจากการตั้งสำรองไปมากแล้วใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมา

“ไตรมาสที่ 4 ผลประกอบการจะดีกว่าทุกไตรมาส และทั้งปีก็จะดีกว่าปีก่อน หลังจากที่แบงก์ได้ตั้งสำรองไว้อย่างเพียงพอแล้ว” นายรังสรรค์ กล่าว

นายรังสรรค์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เอสแอนด์พีได้เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือให้กับแบงก์ทหารไทย เป็น BBB- ซึ่งเทียบเท่ากับเครดิตประเทศ และ MSCI ก็นำเข้าไปคำนวณในดัชนี แสดงให้เห็นถึงฐานะของแบงก์ที่แข็งแกร่งขึ้นมาโดยลำดับ

แหล่งข่าวจากแบงก์ทหารไทย เผยว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะสูงกว่า 2 พันล้านบาท สูงกว่าทุกไตรมาสที่ผ่านมา โดยในไตรมาสแรก กำไร 1,816 ล้านบาท ไตรมาสที่สอง กำไร 251 ล้านบาท และไตรมาสสาม กำไร 1,869 ล้านบาท และหากรวมทั้งปีจะมากกว่า 6 พันล้านบาท

ส่วนการเจรจาซื้อหุ้นTMB จากกลุ่มไอเอ็นจีกรุ๊ป ก็ยังคงเจรจากันต่อไป ยังไม่ได้ข้อสรุปในขณะนี้ หลังจากเริ่มเจรจากันมา 2-3 เดือนแล้ว

ก่อนหน้านี้ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีเอ็มบี แจ้งว่าสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เอสแอนด์พี ได้ประกาศปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคาร เป็น BBB- ด้วยแนวโน้มมีเสถียรภาพ จากเดิม BB+ นับเป็นการตอกย้ำถึงการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่เหมาะสมและสะท้อนถึงการเติบโตอย่างมั่นคงของธนาคาร

ขณะที่หุ้นแบงก์ทหารไทยถูกนำเข้าคำนวณดัชนี MSCI ในวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีวอลุ่มซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะเป็นเม็ดเงินจากกองทุนหุ้นรวมระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อเกษียณอายุ (RMF) ที่ทยอยเข้าซื้อหุ้น

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (TMB) กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตของธนาคารในปี 57 สินเชื่อจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 56 ซึ่งธนาคารจะยังเน้นการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs เป็นหลัก

แห่ทิ้งTTAเซ็งเพิ่มทุน

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: แห่ทิ้งTTAเซ็งเพิ่มทุน

ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2556
ผู้เข้าชม : 9 คน
TTA เพิ่มทุนอีก 466 ล้านหุ้น ขายผู้ถือหุ้นเดิม 339 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 14 บาท “เฉลิมชัย” ลั่นใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนแน่ งบปี 56 ขาดทุนอ่วม 5,080 ล้านบาท ราคาหุ้นทรุดหนัก นักลงทุนเทขายหนีไม่อยากเพิ่มทุน



นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ว่าที่กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการบริษัทได้มีมติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวนไม่เกิน 466,941,198 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 466,941,198 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 1,132,807,060 บาท เป็น 1,132,806,419 บาท โดยตัดหุ้นสามัญจดทะเบียนที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายจำนวน 641 หุ้น

โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) ในอัตราส่วน 10 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 3 หุ้นสามัญใหม่ จำนวนไม่เกิน 339,841,925 หุ้น ซึ่งกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนหุ้นละ 14 บาท เศษของหุ้นให้ปัดทิ้ง

อีกทั้งจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 113,280,641 หุ้น มูลค่าตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 4 (TTA-W4) โดย TTA-W4 จะมีจำนวนไม่เกิน 113,280,641 หน่วย จัดสรรในอัตรา 3 หุ้นเพิ่มทุนต่อ 1 หลักทรัพย์แปลงสภาพ กำหนดอัตราการใช้สิทธิ 1 วอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้น ราคาใช้สิทธิ 18.50 บาทต่อหุ้น

นอกจากนี้ ยังจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 13,818,632 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการปรับสิทธิของผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ ครั้งที่ 3 (TTA-W3) ในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน โดยคณะกรรมการบริษัทยังมีมติงดจ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานในวันที่ 1 ต.ค. 2555-30 ก.ย. 2556 โดยกำหนดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 30 ม.ค. 2557 เพื่อขอพิจารณาอนุมัติจากทางผู้ถือหุ้น

ทั้งนี้ ทางผู้ถือหุ้นมีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเกินกว่าสิทธิของตนตามอัตราส่วนที่กำหนดไว้ข้างต้นได้ แต่สิทธิดังกล่าวจะใช้ได้ไม่เกิน 50% ของจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายนั้นถืออยู่ โดยผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อหุ้นเกินกว่าสิทธิจะได้รับการจัดสรรหุ้นที่จองซื้อเกินกว่าสิทธิก็ต่อเมื่อมีหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่ได้จองซื้อตามสิทธิครบถ้วนทั้งหมดแล้วเท่านั้น

นายเฉลิมชัยกล่าวอีกว่า สำหรับการเพิ่มทุนในครั้งนี้ทางบริษัทจะได้เงินทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท จากการขายหุ้นเพิ่มทุน เพื่อนำมาใช้เพื่อสร้างโอกาสลงทุนระยะสั้นและระยะกลาง ส่วนเงินอีกประมาณ 1,838 ล้านบาท คาดจะน่าจะได้รับมาภายในปี 2560 จากการแปลงสิทธิ์ TTA-W4 ซึ่งจะถูกนำไปใช้เพื่อชำระหนี้ และเพื่อโอกาสการลงทุนอื่นๆ ในอนาคต

สำหรับราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ 14 บาท เป็นราคาที่ให้ส่วนลดจากราคาตลาดประมาณ 16.7% ซึ่งเป็นการคำนวณจากค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นของ TTA ในช่วง 15 วันสุดท้ายก่อนประกาศเพิ่มทุน ในขณะที่ราคาแปลงสิทธิ์วอร์แรนต์ TTA-W4 ที่ 18.50 บาท คือ ราคาพรีเมียมที่ประมาณ 10% ของค่าเฉลี่ยราคาหุ้นของ TTA ในช่วง 15 วันสุดท้าย

โดยปัจจุบันสถานการณ์ราคาเรือได้อยู่ในช่วงต่ำสุด ดังนั้น คณะกรรมการและผู้บริหารจึงได้ข้อสรุปจากการวิเคราะห์แล้วว่า นับเป็นโอกาสดีที่สุดต่อการขยายกองเรือของบริษัท ดังนั้น ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของ TTA จึงให้การสนับสนุนแผนการระดมทุนครั้งนี้เต็มที่ และตั้งใจที่จะใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนอีกครั้ง

ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 2556 (ต.ค. 2555-ก.ย. 2556) ทางบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิรวม 5,080 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนที่มีผลขาดทุนรวม 4,494 ล้านบาท โดยผลขาดทุนส่วนใหญ่ในปีนี้ เกิดจากการบันทึกการด้อยค่า ซึ่งเป็นรายการพิเศษทางบัญชีที่สำคัญหลายรายการ มูลค่ารวมกันทั้งสิ้น 4,843 ล้านบาท

ขณะที่รายการที่ใหญ่ที่สุดของการด้อยค่าดังกล่าวมูลค่า 3,917 ล้านบาท เกิดจากการบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์ในกองเรือบรรทุกสินค้าแห้งเทกองของโทรีเซน ชิปปิ้ง อีกทั้ง ยังมีการบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่เงินสดมูลค่า 120 ล้านบาทกับการลงทุนในเมอร์ตัน กรุ๊ป (ไซปรัส) จำกัด รวมถึงการบันทึกการด้อยค่าความนิยมทางบัญชีที่เกิดขึ้นกับการลงทุนในบริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS มูลค่า 596 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลของ TTA ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยล่าสุด พบว่า นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ได้ถือหุ้น TTA อยู่จำนวน 100,313,700 หุ้น หรือคิดเป็น 14.17% จะได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในส่วนของ RO จำนวน 30 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 14 บาท ดังนั้น หากจองซื้อครบจำนวนตามสิทธิเท่ากับจะใช้เงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนประมาณ 420 ล้านบาท

ขณะที่ราคาหุ้น TTA ล่าสุดในวานนี้ (28 พ.ย.) ได้ปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายที่ระดับ 16.50 บาท และทำราคาต่ำสุดของวันที่ 15.90 บาท ราคาสูงสุดของวัน 16.50 บาท และปิดการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 15.90 บาท ปรับลดลง 0.70 บาท หรือคิดเป็น 4.22% มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 91 ล้านบาท

PNข่าวดีท้ายปี กำไรพิเศษ5พันล.

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: CPNข่าวดีท้ายปี
กำไรพิเศษ5พันล.
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2556
ผู้เข้าชม : 5 คน
CPN เตรียมบันทึกกำไรพิเศษขายศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่แอร์พอร์ต เข้ากองทุน CPNRF ไตรมาส 4/56 เกือบ 10,000 ล้านบาท เชื่อมีกำไรพิเศษ 5,000 ล้านบาท


นายนริศ เชยกลิ่น รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินบัญชีและบริหารความเสี่ยง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการขายสินทรัพย์ คือ โครงการศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท เข้ากองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท หรือ CPNRF

ทั้งนี้ เงินที่บริษัทจะได้รับขึ้นอยู่กับราคาสรุปวันที่ 18 ธ.ค. ซึ่งราคาจะมาจากการสำรวจปริมาณความต้องการในการจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนของผู้ลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) ขณะนี้ได้กำหนดช่วงราคาไว้ที่ 15.50-16 บาทต่อหน่วย ก็จะทำให้ได้เงินประมาณ 9,600-10,000 ล้านบาท โดยน่าจะมีการบันทึกในช่วงไตรมาส 4/56 นี้ ซึ่งเพียงพอสำหรับการลงทุนในช่วง 6 เดือนข้างหน้า

โดยระยะเวลาเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มทุน สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมประเภทผู้ลงทุนทั่วไป ระยะเวลาจองซื้อ คือ ระหว่างวันที่ 3-12 ธ.ค. 56 (ภายในเวลา 12.00 น. ของวันที่ 12 ธ.ค. 56) ส่วนผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมประเภทผู้จองซื้อพิเศษ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ และบุคคลในวงจำกัด ระยะเวลาจองซื้อ คือ ระหว่างวันที่ 3-18 ธ.ค. 56

และในกรณีที่ราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาเสนอขายสูงสุดที่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมจะต้องชำระบริษัทจะจัดการคืนส่วนต่างของเงินจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุน หรือคืนเงินจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่ได้จองซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่าสิทธิสำหรับส่วนที่ไม่ได้รับการจัดสรร ภายในวันที่ 27 ธ.ค. 56

ส่วนสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ได้ส่งผลกระทบกับบางสาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างสาขาปิ่นเกล้า และเซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึงสาขาในต่างจังหวัดอย่างสาขาสุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ที่ทำให้ปริมาณคนเข้าศูนย์ลดลง เฉลี่ยประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม คาดว่าเหตุการณ์ทางการเมืองน่าจะจบภายในช่วงสิ้นเดือนนี้

สำหรับปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เติบโตประมาณ 17-18% จากปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิมีการเติบโตจากปีก่อนแน่นอน จากผลการดำเนินธุรกิจ ซึ่งในไตรมาส 4/56 มีการเปิดศูนย์การค้าใหม่ 2 ศูนย์ คือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 14 พ.ย. และจะเปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ ซึ่งจะส่งผลให้สิ้นปีนี้มีศูนย์การค้ารวม 23 ศูนย์ ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีการจับจ่ายใช้สอยในศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Groove ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดโซนร้านอาหารได้ก่อนในช่วงเดือนธ.ค.นี้ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 40-50% ส่วนโซนแฟชั่น คาดว่าจะเปิดได้ในช่วงปีหน้า (ปี 2557) และการปรับปรุงศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา บางนา คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปีหน้า

ขณะที่ปีหน้า บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตสูงกว่า 15% โดยจะมีการเปิดศูนย์การค้าใหม่ประมาณ 3-4 โครงการต่อปี ส่วนงบลงทุนประมาณ 12,000-14,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งในปีหน้ามีแผนจะเปิดโครงการเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย, โครงการเซ็นทรัลพลาซา ศาลายา และโครงการเซ็นทรัลพลาซา ระยอง

“สถานการณ์ปีหน้าแนวโน้มเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น แต่ก็ต้องติดตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้ง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทจะออกมาได้ตามกำหนดการหรือไม่ ถ้าออกมาได้ก็จะทำให้มีการเติบโต แต่ถ้าไม่สามารถออกมาได้ ก็จะส่งผลต่อ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) และกำลังซื้อโดยตรง”

นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายบัญชีและการเงิน CPN กล่าวว่า สำหรับโครงการที่ประเทศมาเลเซีย มูลค่า 5,800 ล้านบาท ซึ่งบริษัทถือหุ้น 60% ส่วนพันธมิตรถือหุ้น 40% ขณะนี้อยู่ในช่วงระหว่างดำเนินการออกแบบ คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 4/59 ทั้งนี้ มีอัตราผลตอบแทนจากโครงการ (IRR) ประมาณ 14%

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า CPN ยังมีประเด็นขับเคลื่อนสำคัญจากการขายศูนย์การค้าเชียงใหม่ แอร์พอร์ต มูลค่าไม่เกิน 11,500 หมื่นล้านบาท เข้ากองทน CPNRF ในช่วงเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งคาดจะทำให้บริษัทมีโอกาสรับรู้กำไรพิเศษหลังหักภาษีสูง 5,000 ล้านบาท (ภายใต้สมมุติฐานราคาขาย 11,000 ล้านบาทและ CPN ถือสัดส่วน 27.8% ใน CPNRF)

ดังนั้น โดยภาพรวมส่งผลให้กำไรสุทธิ (หลังรวมกำไรพิเศษ) ปี 2556 สูงถึง 10,876 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 6% เท่ากับ 5,876 ล้านบาท โดยเติบโต 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงแนะนำซื้อ มูลค่าพื้นฐานปี 2557 เท่ากับ 68 บาท

ILINKกำไร150ล้าน

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ILINKกำไร150ล้าน
ยันปีหน้าเติบโต20%
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2556
ผู้เข้าชม : 2 คน
ILINK มั่นใจปีนี้ทำกำไรไม่ต่ำ 150 ล้านบาท ไตรมาส 4/56 รับรู้รายได้ 2 โครงการ 400 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ารายได้และกำไรปี 57 เติบโต 20% โชว์งานในมือ 1,950 ล้านบาท จ่อประมูลเคเบิลใต้น้ำเกาะเต่า มูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท


นายณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เปิดเผยว่า กำไรสุทธิในปี 2556 จะเป็นไปตามเป้าหมายตั้งไว้มากกว่า 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 116.46 ล้านบาท

เนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 89.61 ล้านบาท และช่วงไตรมาส 4/56 บริษัทจะมีการรับรู้รายได้บางส่วนจากโครงการก่อสร้าง Submarine Cable 22 เควี ระยะทาง 50 กม.ไปยังเกาะกูด เกาะหมาก จ.ตราด ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่เซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท

ประกอบกับบริษัทชนะการประมูลโครงการก่อสร้าง Submarine Cable 115 เควี ระยะทาง 15 กม. ไปยังเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท และรอเซ็นสัญญาในต้นเดือนธ.ค.นี้ ดังนั้นหลังจากเซ็นสัญญาจะมีการรับรู้รายได้บางส่วนในไตรมาส 4/56 ทันที

“มั่นใจว่ากำไรปีนี้เติบโตมากกว่า 150 ล้านบาท ตามเป้าที่ตั้งไว้ เพราะบริษัทมีการรับรู้รายได้จากโครงการ Submarine Cable เกาะกูด เกาะหมาก รวมทั้งรับรู้รายได้จากโครงการ Submarine Cable เกาะพงัน ที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาในต้นเดือน ธ.ค.นี้ รวม 2 โครงการรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 400 ล้านบาท ที่เหลือรับรู้รายได้ในปีหน้า ขณะที่รายได้ในปีนี้คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงเป้าที่ตั้งไว้ที่ 1,950 ล้านบาท” นายณัฐนัย กล่าว

สำหรับโครงข่าย Interlink Fiber Optic Network ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยในบางส่วน แต่มีการขายแล้ว โดยในขณะนี้มีลูกค้าเป็นโมบาย โอเปอเรเตอร์ ได้แก่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ขณะที่ศูนย์ Data Center (DC) เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ให้บริการ อยู่ระหว่างทดสอบระบบ

ส่วนในปี 2557 บริษัทตั้งเป้าหมายมีกำไรและรายได้เติบโต 20% จากปี 2556 เนื่องจากบริษัทมีมูลค่างานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 1,950 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการก่อสร้าง Submarine Cable ไปยังเกาะกูด เกาะหมาก จ.ตราด ของ กฟภ.มูลค่า 1,150 ล้านบาท

โครงการก่อสร้าง Submarine Cable ยังเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี มูลค่า 800 ล้านบาท ซึ่งจะมีการรับรู้รายได้เต็มปีทั้ง 2 โครงการ รวมทั้งธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณปีหน้า คาดว่าจะเติบโตประมาณ 20-30% สูงกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 19%

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเข้าประมูลโครงการก่อสร้าง Submarine Cable 115 เควี ไปยังเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี 33 เควี ระยะทาง 45 กม. มูลค่า 1,686 ล้านบาท โดยขณะนี้โครงการดังกล่าวผ่านคณะกรรมการ (บอร์ด) ของกฟภ.แล้ว อยู่ระหว่างส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็นชอบ และจัดทำประชาพิจารณ์ คาดว่าจะอนุมัติงบประมาณปี 2558

นายณัฐนัย กล่าวว่า ช่วง 2 ปีจากนี้ บริษัทไม่มีแผนเพิ่มทุน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่เห็นความจำเป็น และยังไม่มีโครงการใหญ่ๆ เข้ามา รวมทั้งเงินที่ธนาคารสนับสนุนยังมีอยู่ และในอนาคตกำไรเพิ่มขึ้น ก็จะมีเงินทุนหมุนเวียนเข้ามาเพิ่ม

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ILINKกำไร150ล้าน

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ILINKกำไร150ล้าน
ยันปีหน้าเติบโต20%
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2556
ผู้เข้าชม : 2 คน
ILINK มั่นใจปีนี้ทำกำไรไม่ต่ำ 150 ล้านบาท ไตรมาส 4/56 รับรู้รายได้ 2 โครงการ 400 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ารายได้และกำไรปี 57 เติบโต 20% โชว์งานในมือ 1,950 ล้านบาท จ่อประมูลเคเบิลใต้น้ำเกาะเต่า มูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท


นายณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เปิดเผยว่า กำไรสุทธิในปี 2556 จะเป็นไปตามเป้าหมายตั้งไว้มากกว่า 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 116.46 ล้านบาท

เนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 89.61 ล้านบาท และช่วงไตรมาส 4/56 บริษัทจะมีการรับรู้รายได้บางส่วนจากโครงการก่อสร้าง Submarine Cable 22 เควี ระยะทาง 50 กม.ไปยังเกาะกูด เกาะหมาก จ.ตราด ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่เซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท

ประกอบกับบริษัทชนะการประมูลโครงการก่อสร้าง Submarine Cable 115 เควี ระยะทาง 15 กม. ไปยังเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท และรอเซ็นสัญญาในต้นเดือนธ.ค.นี้ ดังนั้นหลังจากเซ็นสัญญาจะมีการรับรู้รายได้บางส่วนในไตรมาส 4/56 ทันที

“มั่นใจว่ากำไรปีนี้เติบโตมากกว่า 150 ล้านบาท ตามเป้าที่ตั้งไว้ เพราะบริษัทมีการรับรู้รายได้จากโครงการ Submarine Cable เกาะกูด เกาะหมาก รวมทั้งรับรู้รายได้จากโครงการ Submarine Cable เกาะพงัน ที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาในต้นเดือน ธ.ค.นี้ รวม 2 โครงการรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 400 ล้านบาท ที่เหลือรับรู้รายได้ในปีหน้า ขณะที่รายได้ในปีนี้คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงเป้าที่ตั้งไว้ที่ 1,950 ล้านบาท” นายณัฐนัย กล่าว

สำหรับโครงข่าย Interlink Fiber Optic Network ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยในบางส่วน แต่มีการขายแล้ว โดยในขณะนี้มีลูกค้าเป็นโมบาย โอเปอเรเตอร์ ได้แก่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ขณะที่ศูนย์ Data Center (DC) เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ให้บริการ อยู่ระหว่างทดสอบระบบ

ส่วนในปี 2557 บริษัทตั้งเป้าหมายมีกำไรและรายได้เติบโต 20% จากปี 2556 เนื่องจากบริษัทมีมูลค่างานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 1,950 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการก่อสร้าง Submarine Cable ไปยังเกาะกูด เกาะหมาก จ.ตราด ของ กฟภ.มูลค่า 1,150 ล้านบาท

โครงการก่อสร้าง Submarine Cable ยังเกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี มูลค่า 800 ล้านบาท ซึ่งจะมีการรับรู้รายได้เต็มปีทั้ง 2 โครงการ รวมทั้งธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณปีหน้า คาดว่าจะเติบโตประมาณ 20-30% สูงกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 19%

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเข้าประมูลโครงการก่อสร้าง Submarine Cable 115 เควี ไปยังเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี 33 เควี ระยะทาง 45 กม. มูลค่า 1,686 ล้านบาท โดยขณะนี้โครงการดังกล่าวผ่านคณะกรรมการ (บอร์ด) ของกฟภ.แล้ว อยู่ระหว่างส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็นชอบ และจัดทำประชาพิจารณ์ คาดว่าจะอนุมัติงบประมาณปี 2558

นายณัฐนัย กล่าวว่า ช่วง 2 ปีจากนี้ บริษัทไม่มีแผนเพิ่มทุน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่เห็นความจำเป็น และยังไม่มีโครงการใหญ่ๆ เข้ามา รวมทั้งเงินที่ธนาคารสนับสนุนยังมีอยู่ และในอนาคตกำไรเพิ่มขึ้น ก็จะมีเงินทุนหมุนเวียนเข้ามาเพิ่ม

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทรูโกรทเล็งปันผลผู้ถือหน่วย97%ของกำไร

ทรูโกรทเล็งปันผลผู้ถือหน่วย97%ของกำไร 27 พฤศจิกายน 2556 เวลา 16:48 น. |เปิดอ่าน 1,062 | ความคิดเห็น 0 11 9 More Sharing Services ทั้งหมด + TRUEGIF เล็งปี 57 ปันผลผู้ถือหน่วย 5,357 ล้านบาท มั่นใจรายได้โตต่อเนื่อง จากค่าเช่าเสา-สายเคเบิ้ล นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ คาดว่า ในปี 2557 กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ทรูโกรท (TRUEGIF) จะมีรายได้จากค่าเช่ารวม 5,357 ล้านบาท และมีแผนที่จะจ่ายปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนมากกว่า 97% ของกำไรสุทธิ และมากกว่า 90% ของรายได้จากค่าเช่าล่วงหน้า ทั้งนี้ กองทุน TRUEGIF มีแผนที่จะลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) มูลค่ารวมประมาณ 7 หมื่นล้านบาท โดยยังอยู่ระหว่างการขออนุมัติจัดตั้งกองทุนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคาดว่าจะสามารถเสนอขายหน่วยลงทุนได้ในเดือน ธ.ค. 2556 ทรัพย์สินที่กองทุนจะเข้าลงทุน 3 ส่วน คือ 1.) สิทธิการรับรายได้จาก กสท. ผ่านกลุ่มทรู ซึ่งมีระยะเวลา 12 ปี จากการให้เช่าเสา 5,845 ต้น และระบบใยแก้วนำแสง 680,400 กิโลเมตร คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 55% ในปี 2557 2.) ลงทุนเสาโทรคมนาคม จำนวน 6,000 ต้น ซึ่งกลุ่มทรูมีกำหนดส่งมอบ 3,000 ต้นภายในปี 2557 และอีก 3,000 ต้น ภายในในปี 2558 โดยกลุ่มทรูจะจ่ายค่าเช่าให้กองทุนโดยไม่รอส่งมอบและจะให้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นขั้นต่ำ 2.7% ต่อปี 3.) ลงทุนระบบใยแก้วนำแสงและระบบบรอดแบนด์ในต่างจังหวัด จำนวน 1.2 ล้านพอร์ต ครอบคลุม 234,455 คอร์กิโลเมตร นายนพปฏล เดชอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทรัพย์สินที่จะนำเข้ากองทุน TRUEGIF จะเป็นทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงต่ำในการล้าหลังทางเทคโนโลยี และเป็นทรัพย์สินที่มีอายุการใช้งานระยะยาว ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ นายนพปฏล กล่าวอีกว่า รายได้ของกองทุนมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากการเพิ่มค่าเช่าสำหรับกลุ่มทรูแล้ว สินทรัพย์ของกองทุนยังสามารถนำไปให้ผู้ประกอบการรายอื่นเช่าได้อีกประมาณ 40% ของความสามารถในการให้บริการ "เมื่อมีผู้เช่าเพิ่ม กองทุนจะมีรายได้เข้ามาโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เพราะฉะนั้นรายได้ที่เพิ่มขึ้นจะนับเป็นกำไรของกองทุนได้ทันที ในขณะเดียวกันการที่ผู้ประกอบการมาใช้โทรคมนาคมร่วมกันถือเป็นการลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการของผู้ประกอบการมากขึ้น ทำให้มั่นใจว่า จะมีผู้ประกอบการรายอื่น โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาเช่าใช้โดยไม่ต้องลงทุนเอง" นายนพปฏล กล่าว นายนพปฏล กล่าวว่า จากการออกไปนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนต่างชาติได้รับการตอบรับที่ดี จึงมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน ขณะที่กลุ่มทรูและเครือเจริญโภคภัณ์จะลงทุนในกองทุนนี้ระหว่าง 18-33% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ "เงินที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานนี้ มากกว่า 50% ทรูจะนำไปชำระหนี้ ซึ่งทำให้ฐานะการเงินของทรูแข็งแกร่งขึ้น และนำเงินบางส่วนไปใช้ลงทุนและเป็นเงินทุนหมุนเวียน" นายนพปฏล กล่าว

Published with Blogger-droid v2.0.10

TTA INTUCH BTS

ตอบกลับกระทู้
28 พ.ย. 56 09:53 โดย : S2M Reporter
TTA เพิ่มทุน .. INTUCH BTS ติดโผ ปันผลน่าสนใจ
TTA เพิ่มทุน 466.94 ล้านหุ้น แบ่งจัดสรรผถห.เดิม-รองรับวอร์แรนท์

บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติในเรื่องเกี่ยวกับการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ และให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาและอนุมัติ โดยการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 466,941,198 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 466,941,198 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท

โดยให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริท จำนวนไม่เกิน 339,841,925 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทเสนอขายให้แก่ผู้

ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) ในอัตราส่วน 10 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 3 หุ้นสามัญใหม่ โดยเสนอขายในราคาหุ้นละ 14 บาท เศษของหุ้นให้ปัดทิ้ง

จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 113,280,641 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 4 (TTA-W4)

จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 13,818,632 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการปรับสิทธิของผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ครั้งที่ 3 (TTA-W3) ในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนในครั้งนี้

อิน​โฟ​เควสท์


28 พ.ย. 56 09:54 โดย : S2M Reporter
INTUCH-BTSปันผล5.6-6.1% ยีลด์น่าสนใจหลังดอกเบี้ยลด

บล.ธนชาตระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (28 พ.ย.) ว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. เหลือ 2.25% เมื่อวานนี้ ทำให้กลุ่มหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงอย่าง INTUCH และ BTS ดูน่าสนใจมากขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ โดยคาด INTUCH ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.1% ระยะ 12 เดือนข้างหน้า และมากกว่า 7% ในปี 2015 ขณะที่ BTS ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 5.6% ปีนี้ และ 6.5% ปีหน้า

ข่าวหุ้น


28 พ.ย. 56 09:57 โดย : Levine5


ขอบคุณครับ
ตอบกลับกระทู้กลับไปหน้าแรก

เข้าเว็บไซต์แบบปกติ

© COPYRIGHT 2013 STOCK2MORROW

TRUEGIF

TRUEGIF

ชื่อ:  2013-11-27_15-34-31.jpg
ครั้ง: 471
ขนาด:  214.1 กิโลไบต์

TRUE เปิดตัว TRUEGIF ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมรายแรกของไทย
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 27 พฤศจิกายน 2556 13:29:17 น.

นายนพปฎล เดชอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น(TRUE)เปิดตัวกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ทรูโกรท(TRUEGIF)เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมรายแรกของไทย โดยจะลงทุนในเสาโทรคมนาคม ระบบใยแก้วนำแสงและอุปกรณ์สื่อสัญญาณ และระบบบรอดแบนด์ในเขตพื้นที่ต่างจังหวัดเพื่อสนับสนุนการใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกัน รวมถึงยังเป็นการลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนของอุปกรณ์พื้นฐานทางด้านโทรคมนาคม

ทั้งนี้ กลุ่ม TRUE เป็นผู้สนับสนุนการก่อตั้งกองทุน TRUEGIF โดยเป็นผู้โอนทรัพย์สินและสิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิของสินทรัพย์ของกลุ่ม TRUE ให้แก่กองทุน นอกจากนี้ กลุ่ม TRUE ยังเป็นผู้เช่าและบริหารจัดการหลักในทรัพย์สินโทรคมนาคมของกองทุนและจะเป็นผู้ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนTRUEGIF ในจำนวนไม่ต่ำกว่า 18%

การขายทรัพย์สินให้แก่ TRUEGIF จะทำให้ฐานะการเงินของ TRUE แข็งแกร่งอย่างมีนัยสำคัญ โดยหนี้สินสุทธิ ณ ก.ย.56 มีหนี้ 105.7พันลบ. ลดลงเป็น 49.2 พันล้านบาท ซึ่งทรูจะนำเงินที่ได้บางส่วนจากการระดมทุนไปชำระหนี้และนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนบริษัท

TRUEGIF ลงทุนทรัพย์สินครั้งแรกได้แก่ เสาโทรคมนาคม จำนวน 11,845 เสา(สิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิ จำนวน 5,845 เสา และกรรมสิทธิ์ในเสา จำนวน 6,000 เสา), ระบบใยแก้วนำแสงและอุปกรณ์ ระบบสื่อสัญญาณที่เกี่ยวข้อง(FOC)จำนวน 9169 ลิงค์ และใยแก้วนำแสงความยาว 52,362 กม. หรือ 803,090 คอร์กิโลเมตร และระบบบรอดในเขตพื้นที่ต่างจังหวัด จำนวน 1.2 ล้านพอร์ตเป็นการซื้อกรรมสิทธิ์

อินโฟเควสท์

บอร์ด กนง.มีติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%

บอร์ด กนง.มีติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2556 เวลา 14:35:06 น. 
ผู้เข้าชม : 792 คน 

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาที่ 2.25% จากเดิมที่ 2.50% พร้อมกับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้เหลือเติบโตเพียง 3% จากเดิม 3.7% คาดว่าปีหน้าจะเติบโต 4% ต้นๆ โดยมองว่าเศรษฐกิจยังเปราะบางและมีความเสี่ยง หลังจากเศรษฐกิจในไตรมาส 3/56 ขยายตัวต่ำกว่าคาด และในเดือน ต.ค.ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

9 เดือนแรกฟองสบู่คอนโดฯ สัญญาณอันตราย "หนี้สินต่อทุน" พุ่ง 1-3 เท่า

9 เดือนแรกฟองสบู่คอนโดฯ สัญญาณอันตราย "หนี้สินต่อทุน" พุ่ง 1-3 เท่า Prev1 of 1Next คลิกภาพเพื่อขยาย updated: 25 พ.ย. 2556 เวลา 11:47:40 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เหลือเวลาอีก 1 เดือนเศษ ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะหมดปี"56 ถือเป็นอีกปีที่ผู้ประกอบการอสังหาฯเจอกับปัจจัยลบหลากหลายกระทบให้การทำธุรกิจอยู่บนความผันผวน ก่อนจะหมดปี "REIC-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์" ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้จัดสัมมนา "ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย กรุงเทพฯและปริมณฑล ปี 2557"

ไฮไลต์ของงานประเดิมด้วยการบรรยายของ "สัมมา คีตสิน" ผู้อำนวยการ REIC และวงสัมมนาของดีเวลอปเปอร์กับนักวิจัยในแวดวงการเงินที่มาฉายภาพตลาดอสังหาฯปี"56 ต่อเนื่องไปถึงมุมมองแนวโน้มปี"57 ปีนี้คอนโดฯเปิดใหม่ทุบสถิติ เปิดฉากที่ "ผอ.สัมมา" แจกแจงผลสำรวจคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่ช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ ทุบสถิติใหม่ในรอบ 16 ปีนับจากวิกฤตฟองสบู่ มีคอนโดฯเปิดใหม่ถึง 75,000 หน่วย มากกว่าปี"55 ทั้งปีซึ่งอยู่ที่ 62,000 หน่วย และคาดว่าถึงสิ้นปีจะทะลุ 8 หมื่นหน่วยแน่นอน ! แม้ว่า ผอ.สัมมาเลี่ยงจะฟันธงว่า ตลาดคอนโดฯมีฟองสบู่หรือไม่ ! แต่เสียงสะท้อน คือ คอนโดฯเปิดตัวใหม่ควรลดความร้อนแรงลง ควรลดลงจากปี"56 ลึก ๆ แล้วเรื่องฟองสบู่ก็น่าห่วง เพราะตลาดคอนโดฯปี"55 ฟื้นเร็วหลังจากน้ำท่วมใหญ่ เดิมจึงคาดว่าปีนี้คอนโดฯเปิดใหม่ไม่ควรเติบโตมาก แต่จริง ๆ ผิดคาด ! และมีกลุ่มซื้อเก็งกำไร ส่วนตัวเลขภาพรวมสถิติอาคารชุดในกรุงเทพฯและปริมณฑล

ทั้งที่ยังไม่เริ่มสร้าง อยู่ระหว่างก่อสร้าง และสร้างเสร็จ ณ ครึ่งปีแรก 2556 มีจำนวนรวม 170,232 หน่วย ในจำนวนนี้ขายได้แล้ว 75% หรือ 127,328 หน่วย สัดส่วน ห้องชุดที่ขายได้ค่อนข้างสูง แต่คาดว่าคงไม่มีลูกค้ามาโอนกรรมสิทธิ์หมดทั้ง 100% จึงน่าจะต้องมีห้องชุดบางส่วนนำกลับมา "รีเซล" ขายใหม่อีกรอบ ดังนั้น ปีหน้าคอนโดฯเปิดตัวใหม่ควรจะลดลงได้แล้ว ตลาดบ้านจัดสรรยังขายดี

ในฝั่งผู้ประกอบการ "อิสระ บุญยัง" เอ็มดีค่ายกานดา พร็อพเพอร์ตี้ ดีกรีอดีตนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรวิเคราะห์ว่า แนวโน้มปีหน้าจะเห็นผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่รุกตลาดบ้านแนวราบชัดเจนขึ้น เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ฯเปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้ทางบัญชีใหม่เป็นรับรู้รายได้เมื่อโอนกรรมสิทธิ์ ที่ผ่านมาในจำนวนบริษัทพัฒนาที่ดิน 15 รายแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายบริษัทปรับโมเดลธุรกิจมาทำบ้านแนวราบระดับกลาง 3-5 ล้านบาทเพิ่มขึ้น และปรับเปลี่ยนมาเป็นผู้รับเหมาติดตั้งชิ้นส่วนผนังคอนกรีตสำเร็จรูปเอง เช่น พฤกษา เรียลเอสเตท ควอลิตี้เฮ้าส์ แสนสิริ ปริญสิริ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ฯลฯ เพื่อรองรับการใช้ระบบผนังพรีแฟบและระบบ Tunnel Form

ขณะที่ต้นทุนค่าก่อสร้าง ค่าพัฒนาสาธารณูปโภค และราคาวัสดุปรับสูงขึ้น จะทำให้การพัฒนาทาวน์เฮาส์ปรับฐานราคาจาก 1 ล้าน-1 ล้านต้น ๆ บวกลบเป็น 1 ล้านกลาง ๆ โดยสถิติ 10 เดือนแรกปีนี้ "บ้านแนวราบ" เปิดตัวใหม่ 27,749 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11% ในจำนวนนี้ที่อยู่อาศัยราคา 1-2 ล้านบาท เป็นกลุ่มใหญ่สุดมีสัดส่วน 37% หรือ 35,315 หน่วย รองลงมาคือ 2-3 ล้านบาท 21% หรือ 19,748 หน่วย ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยจากที่พบกับผู้บริหารระดับรองผู้จัดการใหญ่สถาบันการเงินต่าง ๆ ส่งสัญญาณดอกเบี้ยเงินกู้ปีหน้ามีแนวโน้มปรับขึ้น ตจว.โต-คาดคอนโดฯปีหน้าแผ่ว

ขณะที่ "พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์" นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยมองว่า ตลาดอสังหาฯต่างจังหวัดปีหน้ายังขยายตัวต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันมีกว่า 30 จังหวัดที่ยังไม่มีผังเมืองบังคับใช้ ทำให้ไม่มีข้อจำกัดในการพัฒนา หรืออีกนัยหนึ่งมีข้อจำกัดน้อยกว่าในกรุงเทพฯ ในเวลาเดียวกัน มองว่าตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ และปริมณฑลเชื่อว่าอย่างน้อยจะไม่แย่กว่าปีนี้ เพียงแต่จะสามารถสร้างสถิติใหม่ได้หรือไม่...ยังไม่แน่ใจ "อนงค์ลักษณ์ แพทยานันท์" รองเอ็มดีค่ายเจ้าพระยามหานคร เจ้าของแบรนด์คอนโดฯ "แบงค์คอค ฮอไรซอน-แบงค์คอก เฟลิซ" วิเคราะห์ว่า ปีหน้าตลาดคอนโดฯ น่าจะชะลอตัวจากต้นทุนพัฒนาโครงการเพิ่มขึ้น

ผู้ประกอบการจะต้องหาทำเลที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก เช่น ใกล้ห้าง แหล่งชุมชน มหาวิทยาลัย ฯลฯ ส่วนกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อคอนโดฯเพื่อปล่อยเช่า เชื่อว่ายังมีลูกค้ากลุ่มนี้อยู่ แต่จะเลือกซื้อโครงการที่อยู่ในทำเลติดสถานีรถไฟฟ้าเท่านั้น สุดท้าย "แสนผิน สุขี" เอ็มดีโกลเด้นแลนด์ เรสซิเด้นซ์ ในเครือ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทพัฒนาที่ดินของตระกูลสิริวัฒนภักดี ระบุว่า การทำธุรกิจอสังหาฯนับจากนี้เป็นยุค "ปลาเร็วกินปลาช้า" ไม่ใช่ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" อีกต่อไป นั่นคือจะทำอย่างไรให้สามารถสร้างได้เร็ว ขายได้เร็ว โอนกรรมสิทธิ์ได้เร็ว เพื่อมีกระแสเงินสดเข้ามาขยายงานได้มากขึ้น เป็นการย้อนกลับมาว่าปีหน้าจะเห็นผู้ประกอบการทำโครงการ "แนวราบ" และหันมาใช้ระบบ "ผนังพรีแฟบ" เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ก็จะว่าจ้างบริษัทภายนอกในลักษณะเอาต์ซอร์ซลดลง เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย

หนี้สินต่อทุนอสังหาฯพุ่ง หนึ่งในวิทยากรที่ได้รับเชิญจาก REIC ในวันนั้น คือ "เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยไทย บล.เอเซีย พลัส ที่มาส่งสัญญาณเตือนว่าถึงอสังหาฯยังเติบโต แต่ก็ต้องโตอย่างระมัดระวัง จากการเก็บสถิติโดยเอเซีย พลัสช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทอสังหาฯจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯที่มียอดรับรู้รายได้สูงสุด 15 รายแรก มีค่าเฉลี่ยสัดส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 1 เท่า เป็น 1.2 เท่า ขณะที่ช่วง 3-4 ปีก่อนมีค่าเฉลี่ยที่ 0.4 เท่า เนื่องจากเปิดตัวคอนโดฯเพิ่มขึ้น และเวลาสร้าง 1-3 ปีกว่าจะรับรู้รายได้ ขณะที่ยอดขาย 9 เดือนแรกของ 15 บริษัทอสังหาฯในตลาดหลักทรัพย์ฯมีจำนวน 192,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 12% แต่เมื่อแยกดูตัวเลขเป็นรายไตรมาส 1-2-3 เห็นสัญญาณชะลอตัว โดยมียอดขายไตรมาสละ 70,000 ล้านบาท, กว่า 60,000 ล้านบาท และ 55,000 ล้านบาทตามลำดับ สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นสัญญาณว่ามีภาวะโอเวอร์ซัพพลายหรือกำลังซื้อชะลอตัวเกิดขึ้น ! ขณะที่ 15 บริษัทมียอดรับรู้รายได้ 9 เดือนแรกรวมกัน 134,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิรวม 17,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกำไรต่อยอดรับรู้รายได้ที่ 13% ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 15% ส่วน "แบ็กล็อก" หรือยอดรับรู้รายได้รอโอนกรรมสิทธิ์ มีตัวเลข 9 เดือนแรกรวมกัน 279,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสัดส่วน "คอนโดมิเนียม" ถึง 87% หรือ 240,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และ "บ้านจัดสรร" 23% หรือ 39,000 ล้านบาท

สิ่งที่ต้องติดตาม คือ "คุณภาพแบ็กล็อก" หากขายได้โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ จะกระทบสภาพคล่องและหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้น จุดอันตรายคือ โครงการคอนโดฯที่มีลูกค้าซื้อเก็งกำไร เก็บดาวน์น้อย ๆ แต่ราคาไม่สามารถปรับขึ้นได้ ที่สุดก็จะขายไม่ได้และไม่มาโอนกรรมสิทธิ์ โดยทำแบบจำลองประเมินว่า ในกรณีจำนวนที่มีสัดส่วนลูกค้าคอนโดฯซื้อเก็งกำไรเฉลี่ย 20% หรือ 48,000 ล้านบาท จาก 240,000 ล้านบาท หากไม่มารับโอนจะกระทบต่อภาระหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio เฉลี่ยของบริษัทอสังหาฯ 15 รายจะเพิ่มจาก 1.2 เท่า เป็น 1.4 เท่า อย่างไรก็ตาม พบว่าดีเวลอปเปอร์พยายามควบคุมหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 2 เท่า ดังนั้นคาดว่าปีหน้าจะเห็นการเพิ่มพอร์ตลงทุนโครงการแนวราบ เพราะสร้างเสร็จ+โอนเร็วกว่าคอนโดฯ