วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เหตุเกิดที่โนเบิล

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: เหตุเกิดที่โนเบิล


คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 08 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 7 คน
เข้าบรรยากาศเสียเหลือเกินในกรณีของบริษัท โนเบิล ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ในช่วงที่มีใครบางคนเสนอให้กระทรวงการคลังแก้ไขกฎหมายยกเว้นภาษีการควบรวมกิจการ ที่มาประจวบเหมาะกัน

จากเริ่มต้นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทที่มีการสอดไส้ในการประชุมวาระจรเมื่อเดือนเมษายน 2557 ที่ผ่านมา แล้วเสนอรวบรัดให้มีการเพิ่มทุนบริษัทเพื่อเอาไปขายให้กับผู้ถือหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงซึ่งเป็นพันธมิตร ชนิดที่ทำเอาตลาดหลักทรัพย์ฯต้องออกโรงมาตักเตือนกัน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามไว้ แม้ว่าอาจจะย่อหย่อนทางธรรมาภิบาล

แรกๆ ก็ดูทีว่าจะมีการซูเอี๋ยในธุรกรรมซื้อขายกิจการทางประตูหลังแบบสมยอมชนิด “ชักศึกเข้าบ้าน” แต่พอถึงเวลาผ่านมา เรื่องก็เปลี่ยนมุมไปเป็นเกมการต่อสู้เพื่อแย่งกิจการฉันปรปักษ์ไป

ที่ชัดเจนที่สุดว่าเป็นเกมหลังสุดนี้ ก็เพราะการปรากฏตัวของผู้เล่นคนใหม่แต่หน้าเก่าชนิดที่ใครรู้ประวัติจะต้องเสียวสยอง และมีอาการ “ขนแขน สแตนด์ อัพ”กันเป็นแถว

สุวัฒน์ พฤกษ์เสถียร ทนายความชื่อดัง เปิดตัวเป็นทางการวานนี้ครั้งแรก หลังจากมีการฟ้องร้องก.ล.ต. ให้สอบเส้นทางเงินของไอ้โม่งที่คิดยึดกิจการ NOBLE ส่งสัญญาณว่าเค้าลางของกรณีเพิ่มทุนของ NOBLE จะไม่จบลงอย่างง่ายๆ และจะไม่ลงเอยแบบที่หลายคนคาดหวัง

ฝ่ายผู้ถือหุ้นใหญ่เดิม กิตติ ธนากิจอำนวย นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (ลูกเขย ดร.อำนวย วีรวรรณ) คือผู้ก่อตั้งและบริหารบริษัทดังกล่าวจนเติบใหญ่มายาวนาน แม้จะไม่เป็นบริษัทหัวแถวในธุรกิจ แต่ก็มีผลงานที่สร้างชื่อหลายโครงการ และจนถึงวันนี้ ข้อมูลที่มีอยู่ ก็ยืนยันว่า NOBLE ไม่ใช่บริษัทที่มีปัญหาเลวร้ายจนต้องให้ใครมาเทกโอเวอร์เล่นๆ เหตุเพราะมีกำไรสุทธิต่อเนื่องโดยตลอด

สิ่งที่คนไม่เข้าใจเอาเสียเลยก็คือ ท่ามกลางความสำเร็จมากมายในอดีตหลายทศวรรษมานี้ ทำไมกิตติ จึงมีสัดส่วนถือครองหุ้นลดลงไปจนเหลือต่ำกว่า 10% ในปัจจุบัน ซึ่งผิดวิสัยของการทำธุรกิจ และการกระทำดังกล่าวนี้แหละคือรากฐานของปัญหาที่เกิดขึ้นมาถึงวันนี้

เรื่องมีอยู่ว่า นับแต่กลางปีที่แล้ว มีบริษัทลึกลับ ต่อมารู้กันว่า เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีศูนย์กลางการเงินอยู่ที่บริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ ในทะเลจีนใต้ ซึ่งคนทั่วไปชอบไปจดทะเบียนเป็นบริษัทกระดาษนั่นแหละ ได้แอบเข้ามาเก็บสะสมหุ้นของ NOBLE อย่างเงียบๆ จนมีหุ้นในมือเกือบถึงขีดจำกัด 24%

ปฏิบัติการ “ลักหลับ” ของไอ้โม่งดังกล่าว จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เลย หากว่ากิตติไม่ชะล่าใจปล่อยให้หุ้นในมือตนเองและกลุ่มลดลงน้อยเกินคาด

ตัวเลขถือครองหุ้นของไอ้โม่ง ทำให้กิตติและพวกตาเหลือก เพราะหากไอ้โม่งดังกล่าว ต้องการใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ตัวจริงขอมีอำนาจบริหารขึ้นมา อำนาจการบริหารก็คงจะหลุดลอยไปจากกลุ่มกิตติและพวก สู่อุ้งมือของกลุ่มไอ้โม่ง ซึ่งมีชื่อว่า เอททิเมด เน็ตเวิร์คส์ กรุ๊ป สตรีท ลิมิเต็ด (Esteemed Networks Group Street Ltd) ที่มี เอบีเอ็น แอมโร นอมินี สิงคโปร์ เป็นบริษัทนอมินี ถือหุ้นแทน

เหตุผลที่ไอ้โม่งที่ถือหุ้นแค่นั้น ก็อยู่ที่ว่า ต้องการเลี่ยงกฎว่าด้วยเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ เมื่อถือหุ้นเกิน 25% ขึ้นไป ทำให้ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวให้คนรู้จักว่าเป็นใคร

ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ววงการอสังหาริมทรัพย์มาหลายเดือนแล้วว่า ไอ้โม่งลึกลับจากเวอร์จิน ไอส์แลนด์นั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นกลุ่มณรงค์เดช ทายาทของนายเกษมและคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช นั่นเอง

แต่ข่าวลือดังกล่าวก็ไม่มีใครยืนยัน

ความหวาดระแวงไอ้โม่งที่จะเข้ามายึดบริษัทนี่เอง ทำให้กลุ่มกรรมการนำโดยนายกิตติ ต้องงัดเอามาตรการ “ลักหลับกลับ” มาใช้ด้วยการสมคบคิดเพิ่มทุนแบบผู้ถือหุ้นไม่ทันตั้งตัว โดยหวังจะไปเอาพันธมิตรของกลุ่มตนเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ให้มากกว่าไอ้โม่ง

น่าเสียดายที่แผนการลักหลับกลับของกลุ่มนายกิตติ มีคนรู้ทัน ที่ไม่ธรรมดา เพราะบังเอิญ(หรืออาจจะไม่) มีผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ชื่อสุวัฒน์ พฤกษ์เสถียร ทนายความมือเก๋าด้านควบรวมกิจการฉันปรปักษ์อยู่ด้วย

คนที่เคยรู้ประวัติการต่อสู้เพื่อแย่งธนาคารแหลมทอง ระหว่างสุระ จันทร์ศรีชวาลา และกลุ่มนันทาภิวัฒน์ อย่างโชกโชนย่อมรู้ดีว่า สุวัฒน์ คือมือกฎหมาย ระดับกระบี่มือหนึ่งของสุระนั่นเอง

งานนี้นายกิตติและพวกคงต้องทำการบ้านหนักกว่าปกติ จะทำซี้ซั้วไม่ได้เลย หากคิดจะสู้กับไอ้โม่งให้รู้ผลแพ้ชนะ เพราะคู่ต่อกรสำคัญที่ฝีมือเขี้ยวลากดินอย่างสุวัฒน์ที่ตอนนี้กลายเป็นมือกฎหมายทั้งให้ตนเองและไอ้โม่งไปแล้ว

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น