วิเคราะห์ Volume สะสม (นักลงทุนต่างชาติ) ก่อนและหลัง ยกเลิกมาตราการ QE
วิเคราะห์ Volume สะสม (นักลงทุนต่างชาติ) ก่อนและหลัง ยกเลิกมาตราการ QE
1. ระยะเวลาคำนวน Volume สะสม (นักลงทุนต่างชาติ) คือ 3/1/2006 ถึง 3/10/2014
2. Volume สะสม (นักลงทุนต่างชาติ) = มูลค่าซื้อขายสุทธิ นักลงทุนต่างประเทศ (ต้นทุน) [+/- ] ปรับส่วนต่างกำไรขาดทุนจากต้นทุนที่ต่างชาติซื้อขาย
3. ประเด่นที่น่าสนใจ Volume สะสม (นักลงทุนต่างชาติ) เมื่อ เริ่มต้นมาตราการ QE และ ภายหลังยกเลิกมาตราการ QE
วิธีการคำนวนการปรับส่วนต่างกำไร ขาดทุน ตามภาพ
ผลลัพธ์ที่ได้ ตามกราฟด้านล่าง
สิ่งที่พบจากกราฟ
1. ณ ปัจจุบัน ภายหลังยกเลิกมาตราการ QE นักลงทุนต่างประเทศ มี Volume สะสม (ติดลบ) เหมือนตอนที่ เริ่มต้นมาตราการ QE
แสดงว่า เม็ดเงินจากมาตราการ QE ได้ถูกถอนดึงกับไป เกือบหมดแล้ว
2. Volume สะสม (ติดลบ) ได้ คาดว่ามีสาเหตุมาจาก นักลงทุนต่างประเทศ มีหุ้นที่ถือเพื่อลงทุนระยะยาวในกิจการ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ตั้งแต่สมัย วิกฤตการต้มยำกุ้ง (หุ้นส่วนนี้ มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่จะถูกขายออกมา)
3. มีความเป็นไปได้สูงที่ นักลงทุนต่างประเทศ ณ ปัจุบัน เกือบจะไม่มีหุ้นไทยอยู่ในมือ (ส่วนที่ซื้อขายทำกำไร)
4. ณ ปัจจุบัน มีความเป็นไปได้ต่ำมาก ที่จะเห็น นักลงทุนต่างประเทศ เป็นผู้นำในการขาย จนทำให้ SET INDEX ปรับตัวลงแรงๆ
5. ณ ปัจจุบัน หุ้นอยู่ในมือ กองทุนในประเทศ เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น กองทุนในประเทศ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผู้นำในการขาย
6. ปริมาณการซื้อสัญญา SHORT SET50 FUTURE ของกองทุนในประเทศ จะเป็นตัวชี้นำทิศทางของ SET INDEX ได้ดี
ถ้ากองทุนในประเทษยังคง SHORT SET50 FUTURE ต่อเนื่อง จะตามมาด้วยการเทขายหุ้น เพื่อกด SET INDEX ตามมา
7. ถ้านักลงทุนในประเทศ ไม่ตกใจรวมใจกันไถ่ถอนกองทุน โอกาสเห็น SET INDEX ปรับตัวลงแรงและกินเวลานาน จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก
NOTE : ผิดถูกไม่ว่ากัน ขอแชร์ ความคิดด้วยคนนะครับ รอบนี้ กองทุนในประเทศเป็นผู้นำ ดังนั้น เดินตามผู้นำ ปลอดภัยที่สุด
1. ระยะเวลาคำนวน Volume สะสม (นักลงทุนต่างชาติ) คือ 3/1/2006 ถึง 3/10/2014
2. Volume สะสม (นักลงทุนต่างชาติ) = มูลค่าซื้อขายสุทธิ นักลงทุนต่างประเทศ (ต้นทุน) [+/- ] ปรับส่วนต่างกำไรขาดทุนจากต้นทุนที่ต่างชาติซื้อขาย
3. ประเด่นที่น่าสนใจ Volume สะสม (นักลงทุนต่างชาติ) เมื่อ เริ่มต้นมาตราการ QE และ ภายหลังยกเลิกมาตราการ QE
วิธีการคำนวนการปรับส่วนต่างกำไร ขาดทุน ตามภาพ
ผลลัพธ์ที่ได้ ตามกราฟด้านล่าง
สิ่งที่พบจากกราฟ
1. ณ ปัจจุบัน ภายหลังยกเลิกมาตราการ QE นักลงทุนต่างประเทศ มี Volume สะสม (ติดลบ) เหมือนตอนที่ เริ่มต้นมาตราการ QE
แสดงว่า เม็ดเงินจากมาตราการ QE ได้ถูกถอนดึงกับไป เกือบหมดแล้ว
2. Volume สะสม (ติดลบ) ได้ คาดว่ามีสาเหตุมาจาก นักลงทุนต่างประเทศ มีหุ้นที่ถือเพื่อลงทุนระยะยาวในกิจการ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ตั้งแต่สมัย วิกฤตการต้มยำกุ้ง (หุ้นส่วนนี้ มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่จะถูกขายออกมา)
3. มีความเป็นไปได้สูงที่ นักลงทุนต่างประเทศ ณ ปัจุบัน เกือบจะไม่มีหุ้นไทยอยู่ในมือ (ส่วนที่ซื้อขายทำกำไร)
4. ณ ปัจจุบัน มีความเป็นไปได้ต่ำมาก ที่จะเห็น นักลงทุนต่างประเทศ เป็นผู้นำในการขาย จนทำให้ SET INDEX ปรับตัวลงแรงๆ
5. ณ ปัจจุบัน หุ้นอยู่ในมือ กองทุนในประเทศ เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น กองทุนในประเทศ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผู้นำในการขาย
6. ปริมาณการซื้อสัญญา SHORT SET50 FUTURE ของกองทุนในประเทศ จะเป็นตัวชี้นำทิศทางของ SET INDEX ได้ดี
ถ้ากองทุนในประเทษยังคง SHORT SET50 FUTURE ต่อเนื่อง จะตามมาด้วยการเทขายหุ้น เพื่อกด SET INDEX ตามมา
7. ถ้านักลงทุนในประเทศ ไม่ตกใจรวมใจกันไถ่ถอนกองทุน โอกาสเห็น SET INDEX ปรับตัวลงแรงและกินเวลานาน จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก
NOTE : ผิดถูกไม่ว่ากัน ขอแชร์ ความคิดด้วยคนนะครับ รอบนี้ กองทุนในประเทศเป็นผู้นำ ดังนั้น เดินตามผู้นำ ปลอดภัยที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น