วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

MAX ขายหุ้นเพิ่มทุนราคาสูงกว่าหุ้นเดิม

วิมานเมฆของ ชำนิ จันทร์ฉาย

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2557 
ผู้เข้าชม : 14 คน 

ผมไม่เคยรู้จักผู้ถือหุ้นคนไหน หรือ เคยมี และมีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับราคาหุ้นบริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MAX จึงขออนุญาตที่จะต้องกล่าวถึงคุณภาพของนักลงทุนที่ถือหุ้นบริษัทนี้ ในฐานะผู้สังเกตการณ์วงนอก
วันก่อน นายชำนิ จันทร์ฉาย ประธานกรรมการ และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แถลงว่า คณะกรรมการมีมติให้เพิ่มทุนล่าสุดอีกเพื่อรุกคืบจากธุรกิจเหล็กไปสู่อสังหาริมทรัพย์
การเพิ่มทุนครั้งนี้ ก็จะเอาเงินสดที่ได้ไปถือหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อ “ไซมิส แอสเสท” ทั้ง 100% (ไม่ระบุว่า มูลค่าเงินลงทุนอยู่ที่เท่าใด) เพื่อขยายฐานธุรกิจและฐานรายได้ใหญ่กว่าเดิม โดยอ้างเหตุผลว่า จะช่วยผลักดันบริษัทมีรายได้-บุ๊คกำไรทันทีในปี 2557 เพราะในอนาคตอันใกล้ จะผุดคอนโดฯ อีกหลายโครงการมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท เพื่อหวังยืนแถวหน้าของวงการอสังหาฯเมืองไทย
คำแถลงอย่างนี้ แสดงท่าทีเสมือนหนึ่งผู้ถือหุ้นของบริษัทโง่เง่ายิ่งกว่าสัตว์บางประเภท ที่เชื่อว่า การเพิ่มทุน และซื้อกิจการ ซึ่งเป็นวิศวกรรมการเงินทำนอง “เปลี่ยนถ่ายไขกระดูก” นั้น ง่ายกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายชำนิ  ผู้ซึ่งช่ำชองกับการทำงานเช่นเดียวกัน นับแต่เป็นมือขวาของนายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง แห่งนครไทยสตีลเวิร์กในอดีต เคยให้ข่าวเช่นนี้ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ เขามักจะสัมฤทธิผลมากกว่าล้มเหลว และมีคนเชื่อมากกว่าไม่เชื่อต่อแผนธุรกิจที่ชวนเฟื่องฝัน
ในปีนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์   MAX เคยมีมติเพิ่มทุนครั้งมโหฬาร 12.6 เท่าของทุนชำระเดิม เพื่อขายแบบเฉพาะเจาะจงให้กับพันธมิตรใหม่ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้าง  หลังจากล้มเหลวจากการเพิ่มทุนโดยเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ก่อนหน้า ด้วยการเพิ่มทุนจากเดิม 1,833.26 ล้านบาท เป็นทุนใหม่ 24,976.12 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 23,142.85 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท โดยแบ่งเป็นขาย 1.8 หมื่นล้านหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง (PP) 3 คน ในราคาหุ้นละ 0.05 บาท (ราคาใกล้เคียงกับบุ๊คแวลูขณะนั้น) ส่วนอีก 5 พันล้านหุ้นเศษ เป็นการรองรับวอร์แรนต์ที่ยกให้ฟรีกับผู้ซื้อหุ้นทั้ง 3 ราย
กระบวนการเพิ่มทุน อ้างถึงแผนธุรกิจสวยหรูว่า พันธมิตรใหม่ทั้ง 3 ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้าง จะทำให้การขายเหล็กของบริษัทสะดวกขึ้น  ทำให้บริษัทกลายเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์ โดยไม่มีหลักประกันว่า แผนธุรกิจที่ว่านั้นจะสามารถเกิดขึ้นจริงหรือไม่  ได้บรรลุเป้าหมายเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา  เป็นมติผู้ถือหุ้นเรียบร้อย ชนิดที่เมินเฉยต่อเสียงทักท้วงของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ออกคำเตือนผู้ถือหุ้นให้รอบคอบในการลงมติ
การเพิ่มทุนครั้งแรกของปีครั้งนั้น ได้เงินสดมาจิ๊บจ๊อย และมีส่วนทำให้บริษัทรอดปลอดภัยระดับหนึ่ง เพราะส่วนผู้ถือหุ้นเดิมที่ร่อยหรอมานานหลายปีจนเหลือแค่ 56.99 ล้านบาท เพิ่มเป็น 400.28 ล้านบาท แต่ยังไม่ทันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตามแผนธุรกิจที่อ้างเพื่อเพิ่มทุน ก็เกิดมีมติเพิ่มทุนระลอกใหม่อีกแล้วล่าสุด ซึ่งแปลกไปกว่าเดิม
ที่น่าสนใจก็คือ ก่อนการเพิ่มทุนครั้งมโหฬารนั้น วันที่ 30 มกราคม 2557 ราคาหุ้น MAX อยู่ที่ 0.15 บาท  ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่กรรมการบริษัทมีมติเพิ่มทุน ราคาหุ้นวิ่งมาอยู่ที่ 0.29 บาท แล้วก็วิ่งขึ้นมาเรื่อย ไม่ใส่ใจกับผลประกอบการจริง โดยล่าสุดเมื่อวันพุธ 22 ตุลาคม ราคาหุ้นอยู่ที่ 1.14 บาท  พร้อมกับมติเพิ่มทุนครั้งล่าสุด ที่แปลกกว่าเดิม
มตินี้เกิดขึ้นพร้อมกับวาระการประชุมอนุมัติงบการเงินงวด 9 เดือนที่มีตัวเลขขาดทุนสุทธิ 7 ล้านบาทเศษ เพราะแทบไม่มีธุรกรรมอะไร เนื่องจากขาดสภาพคล่องไม่มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอไปซื้อเหล็กมาผลิตขาย
ที่ว่าแปลกก็เพราะการเพิ่มทุนอีก 1,983.32 ล้านหุ้น (ประมาณ 8% ของหุ้นเดิม) ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาทเหมือนเดิม ได้เสนอขายแบบ RO ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ในราคาใหม่ หุ้นละ 1.30 บาท แถมเงื่อนไขว่า หากผู้ถือหุ้นเดิมไม่ซื้อ จะเอาไปขายแบบ PP ให้พันธมิตรแทน
เงื่อนไขที่ว่า สำหรับคนที่ช่ำชอง ย่อมรู้ทันทีว่า “อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่” เพราะมันคือการเปิดช่องให้กับธุรกรรม ฮุบกิจการแบบย้อนศร(Reversed Takeover) เพื่อเอาหุ้นที่จะเพิ่มทุน ไปแลกกับสินทรัพย์ของบริษัท ไซมีส แอสเส็ท นั่นเอง เป็นการควบรวมกิจการโดยไม่ต้องใช้เงินสด ที่กำลังฮิตกันยามนี้ในบรรดาที่ปรึกษาการเงินเมืองไทยธรรมดาๆ
เหตุผลที่นำมาอ้าง ดูมีตรรกะดี แต่ก็น่าหัวร่อ เพราะที่ว่า การขยายธุรกิจแขนงใหม่ด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยที่ธุรกิจหลักเดิมคือการค้าผลิตภัณฑ์เหล็ก ยังคงดำเนินการตามปกติ จะสร้างพลังผนึกหรือ  Synergy ระหว่างกันได้ ทั้งที่โดยพฤตินัยแล้ว การกระทำดังกล่าว คือการ “ผูกเชือกเดินสามขา” ที่คนในแวดวงธุรกิจเข้าใจ และไม่ทำกัน
คำถามใหญ่ตามมา 2 ข้อคือ
-                ผู้ถือหุ้นเดิมที่ไหนจะบ้าหรือคลั่งซื้อหุ้นที่เคยขายเพียง 0.05 บาท ในราคาใหม่ 1.30 บาท ที่สูงกว่าราคากระดานล่าสุดเสียอีก
-                หากผู้ถือหุ้นเดิมไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุน แล้วเอาหุ้นไปแลกกับทรัพย์สินบริษัทเป้าหมาย ผู้ถือหุ้นบริษัทดังกล่าวจะโง่หรือบ้ามากพอที่จะยอมแลกหุ้นที่ตีราคาเกินจริงเช่นนี้ แทนที่จะถือเอาราคาในบุ๊คแวลูที่ระดับ 0.05 บาท
หากมติของกรรมการ MAX และเหตุผลอ้างอิงการเพิ่มทุนครั้งนี้บรรลุเป้าหมาย ก็คงต้องยอมรับว่า พวกเขาเก่งเหลือเกินกับการสร้างวิมานเมฆ เก่งกว่า ม.มธุการี หลายร้อยเท่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น