หุ้นใหญ่ธนาสิริทยอยขายหุ้น
หุ้นใหญ่ธนาสิริทยอยขายหุ้น
ผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่ขายหุ้น “ธนาสิริ กรุ๊ป” ยังยันโครงสร้างบริหารไม่เปลี่ยนแปลง
สำนักงานก.ล.ต. สรุปแบบ 246-2 ประจำวันที่ 3 ต.ค.2557 พบว่ามีผู้บริหารบริษัทในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์รายงานการจำหน่ายหุ้นค่อนข้างมาก ประกอบด้วย บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเม้นท์ (CGD) รายงานการจำหน่ายหุ้น โดยนายทรงชัย อัจริยหิรัญชัย ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ได้รายงานที่จำหน่ายคิดเป็น 0.2% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 4.86% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป (THANA) แจ้งการจำหน่ายหุ้นของ นางสาวเกษรา จิรไชยสิงห์ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ได้รายงานการจำหน่ายเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2557 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น 2.89% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 23.2% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ และในวันที่ 29 ก.ย.2557 นางสาว เกษรา จิรไชยสิงห์ ได้รายงานการจำหน่ายคิดเป็น 1.39% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 28.65% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส (PPP) แจ้งว่า นาย สัมพันธ์ หงษ์จินตกุล แจ้งการจำหน่ายหุ้น คิดเป็น 0.01% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 15% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) แจ้งการจำหน่ายหุ้นของ นายวันชัย พันธุ์วิเชียร จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น 0.73% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 4.47% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
ก่อนหน้านี้ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป (THANA) ชี้แจงว่า กรณีที่กลุ่มเสถียรภาพอยุทธ์ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้ขายหุ้นของกลุ่มตนเองในนาม คุณเกษรา จิรไขสิงห์ จำนวน 3,5 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.39% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2557 นั้น เป็นการจำหน่ายเพื่อเพิ่มสภาพคล่องปรับพื้นฐาน เพื่อความเหมาะสม และหลังการขายหุ้นกลุ่มเสถียรภาพอยุทธ์เหลือหุ้นในบริษัท คิดเป็นสัดส่วน 76.54% จากเดิมที่ถืออยู่ 77.93% โดยการดำเนินงาน โครงสร้างการบริหารและกรรมการ โครงสร้างธุรกิจ รวมทั้งโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทไม่เปลี่ยนแปลง
นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มที่อยู่อาศัยมากกว่าตลาด เนื่องจากผลประกอบการจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งไปจนถึงปี 2558 จากการที่สถานการณ์ทางการเมืองมีเริ่มมีเสถียรภาพ ในขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิรวมของกลุ่มจะโต 11.4% ในปี 2557 และโตอีก 13.6% ในปี 2558 ยอดขายเดือนส.ค. ส่งสัญญาณการฟื้นตัว
จากอุปสงค์ที่อั้นมาจากปลายปี 2556 และครึ่งแรกของปีนี้ ยอดขายในเดือนส.ค. จึงแสดงสัญญาณของการฟื้นตัว จากข้อมูลยอดขายของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยรายใหญ่ 6 ราย พบว่ายอดขายรวมในเดือน ส.ค.อยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.5% จากปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 39.8% จากเดือน ก.ค. ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายจะยังโตได้ต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4/2557 จากการเปิดตัวโครงการใหม่หลายโครงการในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นการปรับอัตราภาษีที่ดินไม่น่าจะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการมากนัก
นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ร่างกฎหมายภาษีที่ดินฉบับใหม่เพิ่มถูกส่งเข้าสู่การพิจารณาของรัฐบาลเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งตามร่างดังกล่าว ภาษีการถือครองอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่ 0.5% ของราคาประเมินและปรับขึ้นอีกหนึ่งเท่าทุกๆ 3 ปี จนถึงเพดานที่ 4% ในมุมมองของเรา การปรับอัตราภาษีที่ดินจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการมากนักเนื่องจากอัตราที่เก็บถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับราคาที่ดินที่ขยับสูงขึ้นในแต่ละปี และผู้ประกอบการเกือบทุกรายก็ไม่ได้ตุนที่ดินเปล่าเอาไว้เกินกว่าที่จะสามารถพัฒนาได้ในระยะ 2-3 ปี
ด้วยแนวโน้มการฟื้นตัวของผลประกอบการที่ต่อเนื่องไปถึงปี 2558 ฝ่ายวิจัยจึงยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัยมากกว่าตลาด โดยมีบริษัท ศุภาลัย (SPALI) เป็นหุ้นเด่น
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น