วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง .. 30 ตุลาคม 2557

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง .. 
------------------------------------------
30 ตุลาคม 2557



ชื่อ:  กาแฟ4.PNG
ครั้ง: 10269
ขนาด:  452.6 กิโลไบต์








General News


• WitsView บริษัทวิจัยตลาด ระบุว่า ยอดขายโน้ตบุ๊กทั่วโลกอยู่ที่ 45.8 ล้านเครื่องในไตรมาส 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้น 7.2% จากไตรมาสก่อน หรือ 4.2% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาโน้ตบุ๊ก


• IMF ตั้งเป้าที่จะผลักดันและดูแลอุตสาหกรรมการเงินอิสลามในเรื่องมาตรฐานและการ กำกับดูแลมากขึ้น ผ่านการลดช่องว่างและเชื่อมโยงผู้กำหนดนโยบาย ผู้กำกับดูแลด้านการเงินอิสลาม อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจมหภาคที่สอดคล้องกับการเงินภายใต้กฎหมายเข้าด้วยกัน


• ธนาคารกลางญี่ปุ่น อาจปรับลดคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจในประเทศลง เนื่องจากการขึ้นภาษีการบริโภคเมื่อเดือน เม.ย. ส่งผลประทบต่อเศรษฐกิจ โดยเตรียมปรับลดเป้าหมายเงินเฟ้อจากปัจจุบันที่ 2% พร้อมพิจารณาแผนรับซื้อสินทรัพย์ในรายงานแนวโน้มครึ่งปีฉบับล่าสุด รวมทั้งตัดสินใจว่าจะเดินหน้าปรับภาษีการบริโภครอบที่ 2 ขึ้นเป็น 10% ในเดือน ต.ค.ปี 2558 หรือไม่ หลังการปรับขึ้น 3% สู่ระดับ 8% เมื่อวันที่ 1 เม.ย.


• ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 2.7% จากเดือนก่อนหน้า โดยการผลิตอุปกรณ์ด้านการขนส่ง ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ พุ่งขึ้น 4.7% การผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปรับตัวขึ้น 5.8% 



• ธ.กลางเกาหลีใต้ มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ก.ย. อยู่ที่ 7.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 7.2 พันล้านดอลลาร์ในเดือน ส.ค. ซึ่งถือว่าเกินดุลติดต่อกันเป็นเดือนที่ 31 จากการส่งออกที่ขยายตัวอย่างดี พร้อมคาดการณ์ว่า เกาหลีใต้จะมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดแตะ 8.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2557 ซึ่งจะแซงหน้าสถิติสูงสุดเมื่อปี 2556 ที่ 7.99 หมื่นล้านดอลลาร์


• ธนาคารโลก คาดว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2558-2559 จะปรับตัวลงเล็กน้อยแต่ยังยืนในระดับเหนือ 7% เนื่องจากการเข้มงวดกับการขยายตัวของสินเชื่อได้ลดกำลังการผลิตส่วนเกิน แต่การควบคุมต้นทุน การลดปริมาณมลพิษในภาคอุตสาหกรรม และการเข้มงวดกับข้อจำกัดของงบประมาณของภาครัฐ จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น


• ธนาคารโลกจัดอันดับให้ฮ่องกงรั้งอันดับที่ 3 ของโลกในเรื่องของความสะดวกในการทำธุรกิจ รองจากสิงคโปร์และนิวซีแลนด์ โดยได้เปรียบเทียบเรื่องความสะดวกในการทำธุรกิจของเศรษฐกิจ 189 ระบบเศรษฐกิจ จากปัจจัยบ่งชี้ 10 ปัจจัย พบว่าฮ่องกงติดอันดับแรกในเรื่องการบริหารจัดการกับการขออนุญาตเพื่อก่อ สร้าง ติดอันดับ 2 ในเรื่องการคุ้มครองนักลงทุนส่วนน้อย และการค้าขายข้ามพรมแดน


• ก.การคลังจะนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ภาษีมรดก การรับและการให้ เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ช่วงต้นเดือน พ.ย. โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกันกับคณะกรรมการกฤษฎีกา และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีในอีก 4-5 ประเด็นก่อนนำเสนอให้ ครม.พิจารณา ทั้งนี้ หลังจากเสนอเข้าที่ประชุม ครม.แล้ว จะส่งเรื่องต่อไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาราว 3-4 เดือน


• ก.พาณิชย์ เตรียมส่งเสริมด้านการค้าผ่านการค้าชายแดน เนื่องจากตลาดอาเซียนเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตลาดทั่วโลกค่อนข้างซบเซา อีกทั้งตลาดในอาเซียนส่วนใหญ่เป็นของประเทศไทย เพราะระยะทางการส่งออกที่ไม่ไกล จึงช่วยสร้างความได้เปรียบให้ประเทศไทยเมื่อเทียบกับหลายประเทศ นอกจากนี้ ไทยยังอยู่ระหว่างการหารือเรื่องการเจรจาการค้าเสรี เช่น FTA ไทย-อินเดีย เพื่อให้มีการครอบคลุมสินค้าที่มากขึ้น


Equity Market


สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม
กลุ่มนักลงทุน ล้านบาท


นักลงทุนสถาบัน +1,834.47
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ +434.52
นักลงทุนต่างชาติ +980.01
นักลงทุนทั่วไป -3,249.01


• SET Index ปิดที่ 1,562.67 จุด เพิ่มขึ้น 6.14 จุด (+0.39%) มูลค่าซื้อขาย 51,148.01 ล้านบาท ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวัน สอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ต่างปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า ขณะที่นักลงทุนยังคงรอติดตามผลการประชุม FOMC ช่วง 28–29 ต.ค.


Fixed Income Market


• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลง อยู่ในช่วง 0.00% ถึง 0.06% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 66,878.46 ล้านบาท 



Guru Quote: 



Howard Marks

" ในความคิดของผม มีสองแนวคิดที่สำคัญที่นักลงทุนต้องรู้ สองสิ่งนั้นคือ มูลค่าและวงจรของราคา... ในทุกๆสินทรัพย์ที่ท่านกำลังพิจารณา แต่ละท่านจะต้องมีมูลค่าที่แท้จริงของมันอยู่ในใจ เมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เราคิดมันคือเวลาที่จะซื้อ เมื่อราคาของมันสูงกว่าเราก็ขาย โดยสรุปแล้ว มันคือการลงทุนเน้นที่คุณค่า " 
---------------------------------------------------

"เดฟ ลูว์อิส" ซีอีโอใหม่เทสโก้ บินตรงจากอังกฤษ ชี้ชะตาสาขาไทยสัปดาห์นี้

"เดฟ ลูว์อิส" ซีอีโอใหม่เทสโก้ บินตรงจากอังกฤษ ชี้ชะตาสาขาไทยสัปดาห์นี้
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ชื่อ:  01.jpg
ครั้ง: 9745
ขนาด:  47.3 กิโลไบต์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดี้ยนของอังกฤษ ระบุว่า นายเดฟ ลูว์อิส ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทเทสโก้ เตรียมเดินทางออกจากอังกฤษ โดยคาดว่าจะเป็นสัปดาห์นี้เพื่อสำรวจธุรกิจของเครือข่ายเทสโก้ในต่างประเทศ หลังจากที่มีการเปิดเผยผลประกอบการที่ย่ำแย่ในสัปดาห์ที่แล้ว

สำหรับยอดขายที่ตกใน 80% ของประเทศที่เทสโก้เปิดสาขา จะต้องมีการคิดแผนเพื่อกู้ธุรกิจ และตัดสินใจหาวิธีที่ดีที่สุดในการระดมทุนเพื่อบรรเทาภาวะการเงินของบริษัทจุดหมายแรกที่เขาจะเดินทางไปเยือนได้แก่ไทย, มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ซึ่งเคยเป็นสาขาที่ทำยอดขายติดอันดับสูงสุดของเทสโก้ในต่างประเทศ แต่ขณะนี้แรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจกำลังกระทบยอดขายในประเทศดังกล่าว

ขณะที่ หนังสือพิมพ์เดอะไทม์สรายงานก่อนหน้านี้ว่า เฮดจ์ฟันด์หลายแห่งกำลังวางแผนที่จะเสนอซื้อธุรกิจในเอเชียมูลค่า 9 พันล้านปอนด์ของเทสโก้ โดยวาณิชธนกิจหลายแห่งเปิดเผยกับเดอะไทม์สว่า พวกเขาได้ลงนามในข้อตกลงที่จะให้คำแนะนำกับบริษัทบริหารหุ้นเอกชนและสถาบันขนาดใหญ่ ที่ต้องการจะร่วมเป็นหุ้นส่วนกับผู้ค้าปลีกของเอเชีย และจัดทำข้อเสนอเพื่อประมูลซื้อธุรกิจในเอเชียที่สำคัญของเทสโก้

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หุ้นเอเชียดีดตัวตามวอลล์สตรีท ต่างประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2557

หุ้นเอเชียดีดตัวตามวอลล์สตรีท
ต่างประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2557 รอยเตอร์ - หุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบหนึ่งเดือนเมื่อวานนี้ โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากวอลล์สตรีทที่ดีดตัวอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากมีมุมมองในด้านบวกเกี่ยวกับผลกำไรบริษัทและแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐจะยืนยันถึงความเต็มใจที่จะรอไปอีกระยะหนึ่งก่อนที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย


                ดัชนีหุ้นเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่นของเอ็มเอสซีไอ ปรับตัวขึ้น 1.1% โดยมีตลาดเกาหลีใต้ดีดตัวขึ้น 1.8% ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นดีดตัวขึ้น 1.5%
                ตลาดหุ้นเอเชียดีดตัวตามตลาดสหรัฐ ซึ่งเมื่อวันอังคาร หุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นมากกว่า 1% โดยดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ใต้ระดับสูงสุดตลอดกาลที่ทำไว้เมื่อเดือนที่แล้ว ไม่ถึง 2%
                มีการคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า เฟดจะประกาศในวันพุธ (29 ต.ค.) ว่าจะยุติมาตรการซื้อพันธบัตรที่ทำมาเป็นเวลาสองปี เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีแรงส่ง อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐหลายคนได้ย้ำเช่นกันว่า เฟดจะไม่รีบเข้มงวดนโยบายด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับศูนย์เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเงินเฟ้อต่ำ และการฟื้นตัวในตลาดแรงงานมีคุณภาพไม่ดี
                ลิม ดอง-รัก นักวิเคราะห์บริษัท ฮันยาง ซีเคียวริตีส์ กล่าวว่า มีความเห็นส่วนหนึ่งว่า อาจมีความล่าช้าในการลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่มีความเป็นไปได้มากกว่าที่เฟดจะยังคงมีท่าทีที่จะดำเนินการอย่างระมัดระวังในการพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย
                กำไรของบริษัทสหรัฐที่ดีกว่าคาด ก็ช่วยลดความวิตกที่ว่าการเติบโตที่ลดลงทั่วโลก อาจกดดันกำไรบริษัท จากข้อมูลของธอมป์สัน รอยเตอร์   บริษัทที่มีน้ำหนักในดัชนีเอสแอนด์พี 500  จนถึงขณะนี้มี 245 บริษัทที่รายงานว่ามีกำไรในช่วงไตรมาสสาม โดย 73.5% มีกำไรดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด  เทียบกับในช่วงสี่ไตรมาสที่ผ่านมา มี 67% ที่มีกำไรดีกว่าที่ประมาณการไว้
                อย่างไรก็ดี เฟซบุ๊คช็อกนักลงทุนหลังจากตลาดปิดเมื่อวันอังคารหลังจากเตือนว่า การใช้จ่ายในปี 2558 จะเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจและคาดว่าการเติบโตของรายได้ในไตรมาสดังกล่าวจะลดลง  การออกมาเตือนเช่นนี้ทำให้หุ้นเฟซบุ๊คปรับตัวลง 8.2% หลังชั่วโมงการซื้อขาย
ข้อมูลสหรัฐที่มีการเผยแพร่เมื่อวันอังคารมีทั้งดีและไม่ดี แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 7 ปี ทำให้กระทิงหุ้นมีเหตุผลเพียงพอที่จะยังคงมองในด้านบวกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
                ในขณะเดียวกันมีข้อมูลที่ชี้ว่า ธุรกิจสหรัฐสั่งซื้อสินค้าทุนใหม่ ลดลงมากสุดในรอบ 8 เดือนในเดือนกันยายน
                ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับตะกร้าเงิน  เงินยูโรแข็งค่าในรอบหนึ่งสัปดาห์ที่ 1.2765 ดอลลาร์ต่อยูโรเมื่อวันอังคาร และยืนที่ 1.2738 ดอลลาร์ในตลาดเอเชียเมื่อวานนี้
                ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาไต่ขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่าสองสัปดาห์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยอยู่ที่ 1.1165 ดอลลาร์แคนาดา
                อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์มั่นคงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะลดประมาณการเติบโตลงเมื่อมีการแถลงรายงานเศรษฐกิจในวันศุกร์นี้   โดยดอลลาร์ซื้อขายที่ประมาณ 108.18 เยน ไม่ไกลจาก 108.36 เยนที่ทำไว้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา   ข้อมูลที่ชี้ว่าอัตราผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนกันยายน ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้เล็กน้อย จึงมีปฏิกิริยาไม่มาก
                ในขณะเดียวกัน เงินคราวน์สวีเดนสามารถกลับมามีเสถียรภาพได้หลังจากที่อ่อนตัวลงในรอบ 4 ปี เมื่อวันอังคาร เนื่องจากธนาคารกลางสวีเดนได้ส่งสารใจดีอย่างน่าประหลาดใจ
                ธนาคารสวีเดนลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดโดยเหลือศูนย์เปอร์เซ็นต์ และกล่าวว่าจะชะลอการเข้มงวดนโยบายจนกว่าจะถึงกลางปี 2559  เมื่อได้เคลื่อนไหวอย่างเด็ดขาดเพื่อจัดการกับความเสี่ยงของภาวะเงินฝืด
                เมื่อคืนวันอังคาร ปัจจัยหนึ่งที่อาจยับยั้งอารมณ์เสี่ยงในตลาดคือข่าวที่ว่ากระทรวงความมั่นคงภายในประเทศของสหรัฐ กำลังเพิ่มความปลอดภัยตามอาคารรัฐบาลในวอชิงตันและในเมืองใหญ่อื่นๆ เพราะยังคงมีการคุกคามจากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย

SCC มั่นใจกำไร Q4 แจ่มสุด

SCC มั่นใจกำไร Q4 แจ่มสุด
บริษัทจดทะเบียน วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2557  "SCC" แย้มไตรมาส 4 ทำกำไรสูงสุดรอบปีนี้ อานิสงส์สเปรดปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น พร้อมปรับเพิ่มเป้ารายได้แตะ 4.88 แสนล้านบาท ส่วนปีหน้าทุ่มงบ 5 หมื่นล้านบาทขยายกำลังการผลิตในประเทศและต่างประเทศ ลั่นปีหน้าสรุปงบลงทุนปิโตรคอมเพล็กซ์เวียดนาม เล็งสรุปดีลซื้อกิจการในยุโรปสิ้นปีนี้ ส่วนไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิ 7,846 ล้านบาท ลดลง 20%

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 4/57 จะมากกว่าไตรมาส 3/57 และสูงสุดในปีนี้ แม้ประเมินว่าจะมีการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันประมาณ 500-700 ล้านบาท แต่จะได้ส่วนต่างราคา (สเปรด) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเข้ามาช่วยเพิ่มอัตรากำไร จากในไตรมาส 3/57 ราคาผลิตภัณฑ์โพลีเอทธิลีนอยู่ที่ราว 690 เหรียญต่อตัน
ขณะที่ช่วงต้นไตรมาส 4/57 ปรับเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 700 เหรียญต่อตัน และราคาผลิตภัณฑ์โพลีพร็อพโพรลีนปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 597 เหรียญต่อตันในไตรมาส 4/56 เป็น 716 เหรียญต่อตัน และบางสัปดาห์ปรับตัวขึ้นไปถึง 900 เหรียญต่อตัน ซึ่งคาดว่าในปีนี้ราคาผลิตภัณฑ์จะอยู่ที่เกือบ 800 เหรียญต่อตัน
โดยบริษัทปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้จากการขายในปีนี้เป็น 488,000 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 486,000 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมีที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้บริษัทมีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับคาดว่าปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในช่วงไตรมาส 4/57 มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากนโยบายการลงทุนของภาครัฐ จึงทำให้ในปีนี้จะมีปริมาณการใช้อยู่ในระดับ 0% จากเดิมที่ไตรมาส 3/57 ติดลบ 3%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศปี 2558 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 2556 ที่ 40 ล้านตัน โดยจะเริ่มเห็นสัญญาณของความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/58 เป็นต้นไป เนื่องจากโครงการนโยบายการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐจะสามารถเริ่มดำเนินการได้อย่างเต็มที่ รวมถึงความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในต่างประเทศก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในสหภาพเมียนมาร์และกัมพูชา
นอกจากนี้ คาดว่าสิ้นปีนี้จะสามารถได้ข้อสรุปการซื้อกิจการบริษัทยุโรป ซึ่งประกอบธุรกิจด้านพัฒนาเทคโนโลยี โดยจะใช้เงินไม่ถึง 10,000 ล้านบาท เชื่อว่าธุรกิจดังกล่าวจะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพด้านเทคโนโลยี เพื่อต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันในปี 2558 จะสามารถสรุปการซื้อกิจการด้วยเช่นกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา
นายกานต์ กล่าวต่อว่า ในระยะเวลา 5 ปี (2558-2562) บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่จำนวน 200,000-250,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนต่อเนื่องในธุรกิจปูนซีเมนต์และนำไปใช้การซื้อกิจการ โดยวางเป้าหมายสินทรัพย์ในอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ภายในอีก 5 ปีข้างหน้าจากปัจจุบันอยู่ที่ 17% สำหรับงบลงทุนในปี 2558 ตั้งไว้ที่ 40,000-50,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตในธุรกิจปูนซีเมนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติงบลงทุนจำนวน 3,000 ล้านบาท ในโครงการขยายการลงทุนธุรกิจปูนสำเร็จรูป (Mortar) ปูนสำเร็จรูป HAV สำหรับงานก่ออิฐและงานฉาบผนังที่มีคุณภาพ ซึ่งจะขยายกำลังการผลิตปูนสำเร็จรูป 2 ล้านตันต่อปีเป็นเงินลงทุนประมาณ 2,800 ล้านบาทเพื่อการขยายธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในรูปแบบคลังสินค้าในอาเซียน
สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ที่ประเทศอินโดนีเซีย และโรงงานแห่งที่สองที่ประเทศกัมพูชาคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/58 ขณะนี้บริษัทได้ทำการตลาดที่ประเทศอินโดนีเซียแล้ว ประกอบกับโรงงานที่สหภาพเมียนมาร์ และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2559 ส่วนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในประเทศเวียดนาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือนมีนาคม 2558 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดประมูลในส่วนของผู้รับเหมาก่อสร้างคาดสรุปใน 1-2เดือนนี้
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 3/57 บริษัทมีรายได้จากการขาย 124,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่รายได้จากการขายใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ส่วนกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/57 อยู่ที่ 7,846 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อน เนื่องจากไตรมาส 3/56 มีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาท จากการปรับมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทสยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด และกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทโตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ให้กับ TOTO Group จำนวน174 ล้านบาท แต่ในไตรมาส 3/57 ไม่มีกำไรจากรายการดังกล่าว
ขณะที่ผลประกอบการ 9 เดือนของปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 370,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 24,759 ล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน

JASพ้นพงหนามกม.เดินหน้าขายกองทุนผลตอบแทนงาม 7-8%

JASพ้นพงหนามกม.เดินหน้าขายกองทุนผลตอบแทนงาม 7-8% สถาบันจ้องซื้อ

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2557
ผู้เข้าชม : 6 คน
จัสมินฯ หรือ JAS พร้อมเสนอขายกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่าประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ หลังหมดอุปสรรคในข้อกฎหมายที่มีการฟ้องร้อง เผยผลตอบแทนราว 7-8% ด้านนักลงทุนสถาบันสนใจเพียบ
ไอเอฟอาร์รายงานวานนี้ (29 ต.ค.) ว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับธุรกิจบรอดแบนด์ อินเตอร์เน็ต (Infrastructure Fund) ของบมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JAS เตรียมเริ่มทำพรีมาร์เก็ตติ้งสำหรับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในวงเงินไม่เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาทช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
กองทุนดังกล่าวตั้งเป้าหมายที่จะมีผลตอบแทน 7-8% และอาจมีมูลค่าตลาด  5.5-7.0 หมื่นล้านบาท (1.7-2.2 พันล้านดอลลาร์)
ทั้งนี้ การทำ IPO ดังกล่าวล่าช้าออกไปจากปี 2556 อันเนื่องจากความซับซ้อนด้านกฎหมาย และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศไทย
บล.บัวหลวง และมอร์แกน สแตนเลย์ เป็นอันเดอร์ไรเตอร์ของการทำไอพีโอดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล  เปิดเผยว่า บมจ.ทริปเปิลที บรอดแบนด์ นำเงิน 228.8 ล้านบาท ไปวางเป็นหลักประกันต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อแก้ปัญหากรณีที่ บมจ.ทีทีแอนด์ที  ยื่นขอคุ้มครองประโยชน์ในวงเงินดังกล่าวที่ทริปเปิลทีฯ เป็นหนี้ TT&T 
                การวางเงินดังกล่าว เพื่อให้การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของทริปเปิลทีฯ เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว
และการวางเงินต่อศาล เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 136 วรรค 2 ซึ่งเป็นการวางแบบไม่ยอมรับผิด ทั้งนี้ ศาลมีคำสั่งรับหลักประกันซึ่งเป็นสมุดเงินฝากดังกล่าวไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
                ก่อนหน้านี้ TT&T ยื่นคำร้องต่อศาลฯ เรียกร้องให้ทริปเปิลทีฯ ชำระเงินจำนวน 228 ล้านบาท และขอคุ้มครองประโยชน์ โดยให้ศาลมีคำสั่งห้ามไม่ให้ทริปเปิลทีฯ ทำการจำหน่ายจ่ายโอน หรือก่อให้เกิดภาระผูกพันในทรัพย์สินของทริปเปิลทีฯ 
JAS เพิ่งรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/57 มีกำไรสุทธิ 648 ล้านบาท ลดลง 14% จากไตรมาส 3/56 จากการบันทึกประมาณการหนี้สินจากการกลับคำพิพากษาของศาลฎีกา 274 ล้านบาท (ไม่ใช่รายงานเงินสด) แต่หากไม่รวมรายการนี้ ผลการดำเนินงานจากธุรกิจปกติของ JAS มีกำไร 921 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21%
ขณะที่ผู้บริหารของบริษัทประกันชีวิตยักษ์ใหญ่ อย่างเอไอเอ และไทยประกันชีวิต ที่มีสินทรัพย์ลงทุนหลายแสนล้านบาท ต่างกล่าวเช่นเดียวกันว่า สนใจที่จะเข้าลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว เนื่องจากสอดคล้องกับผลตอบแทนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ที่ให้ไว้กับผู้เอาประกัน
อย่างไรก็ตาม จะต้องดูเงื่อนไขต่างๆ ในขั้นสุดท้ายด้วยว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องอัตราผลตอบแทน

ข่าวสั้นต่างประเทศ วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2557

ข่าวสั้นต่างประเทศ วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2557 

สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดกำไรลด 16%
บีบีซี - สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เปิดเผยว่า กำไรจากการดำเนินงานลดลง 16% เพราะปรับโครงสร้างธุรกิจในเกาหลีใต้และหนี้เสียเพิ่มขึ้น  ส่วนกำไรก่อนหักภาษีลดลงเหลือ 1,500 ล้านดอลลาร์ ในช่วงไตรมาสเดือนกรกฎาคม-กันยายน  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ธนาคารยังเตือนว่ากำไรทั้งปีจะลดลงเพราะกิจกรรมในการซื้อขายลดลง  ราคาหุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดในตลาดฮ่องกงปรับตัวลงประมาณ 1% หลังจากที่ธนาคารแถลงผลประกอบการ
ปีเตอร์ แซนด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเข้ามารับตำแหน่งเมื่อปี 2549 และได้รับแรงกดดันเพราะผลประกอบการไม่ดีในช่วงสองปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดยังถูกทางการสหรัฐตรวจสอบอย่างหนัก และในเดือนสิงหาคม ธนาคารเตือนว่าอาจจะต้องจ่ายค่าปรับเป็นครั้งที่สองในรอบสองปีเกี่ยวกับการละเมิดระเบียบต่อต้านการฟอกเงินของสหรัฐ

ยอดขาย-ผู้ใช้ทวิตเตอร์เพิ่มแต่หุ้นตก
บีบีซี - ทวิตเตอร์รายงานว่า ยอดขายเพิ่มขึ้นสองเท่าและจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น 23% ในช่วงไตรมาสสาม  โดยในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนมีผู้ใช้ทวิตเตอร์เพิ่มขึ้นเดือนละ 13 ล้านคน ซึ่งทำให้ในขณะนี้มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ 284 ล้านคน  ส่วนยอดขายเพิ่มขึ้น 114% เป็น 361 ล้านดอลลาร์ แต่บริษัทขาดทุน 175 ล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาสสาม  หุ้นทวิตเตอร์ปรับตัวลง 8% หลังชั่วโมงการซื้อขาย  ดิก คอสโตโล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า เป็นไตรมาสที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งมาก และมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถสร้างผู้ชมต่อวันได้มากที่สุดในโลก อย่างไรก็ดี บริษัทคาดการณ์ว่าไตรมาสสี่จะมียอดขายระหว่าง 440-450 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 448 ล้านดอลลาร์ที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้โดยเฉลี่ย นอกจากนี้ บริษัทยังรายงานว่าการเข้าชมไทม์ไลน์ต่อผู้ใช้ 1 คน ลดลง 7% มีการมองว่าตัวเลขนี้เป็นตัววัดที่สำคัญต่อการเกี่ยวพันของผู้ใช้ นักวิเคราะห์อธิบายสาเหตุที่หุ้นตกว่าเป็นเพราะมีการคาดหวังสูงต่อทวิตเตอร์และทวิตเตอร์ไม่สามารถตามคู่แข่งอย่างเฟซบุ๊คได้ทัน

ผู้บริโภคสหรัฐฟ้องทากาตะ
บีบีซี - บริษัททากาตะ ผู้ผลิตถุงลมนิรภัยในญี่ปุ่นและผู้ผลิตรถยนต์หลายแห่งที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของทากาตะได้ถูกฟ้องร้องในสหรัฐ โดยกล่าวหาว่าบริษัทจำหน่ายรถยนต์ที่ไม่มีความปลอดภัย  การฟ้องร้องเกิดขึ้นหลังจากที่มีการเรียกรถยนต์หลายล้านคันกลับคืน เนื่องจากถุงลมนิรภัยมีแนวโน้มที่จะเป็นอันตราย ในคำฟ้อง อ้างว่าทากาตะและบริษัทรถยนต์ เช่น ฮอนด้า และโตโยต้า ปิดบังความบกพร่องของถุงลมนิรภัยต่อผู้บริโภค  มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน และบาดเจ็บมากกว่า 30 คนในสหรัฐที่เกี่ยวข้องกับถุงลมนิรภัยของทากาตะ  บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ และโตโยต้าเป็นสองบริษัทที่ผู้บริโภคทั่วประเทศยื่นฟ้องในศาลแขวงฟลอริด้า โดยระบุว่าทากาตะมีหน้าที่เปิดเผยปัญหาด้านความปลอดภัยเหล่านี้ เพราะได้ทำการตลาดอย่างต่อเนื่องว่ารถยนต์มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้  ทากาตะประเมินว่ามีรถยนต์ประมาณ 12 ล้านคันทั่วโลกอาจจะใช้ถุงลมนิรภัยของบริษัท หุ้นทากาตะได้ปรับตัวลงมากกว่า 50% ในปีนี้

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

'คีรี'ลดถือหุ้นแสนสิริ




'คีรี'ลดถือหุ้นแสนสิริ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


นักลงทุนสถาบัน-รายใหญ่แห่ถือหุ้นแสนสิริ หวังรับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุน ด้าน“คีรี กาญจนพาสน์” หลุด 25 อันดับแรก

จากการสำรวจโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท แสนสิริ (SIRI) ณ วันปิดสมุดทะเบียนวันที่ 10 ต.ค. 2557 พบว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นมีการปรับเปลี่ยน โดยนักลงทุนสถาบันมีสัดส่วนการถือหุ้นบริษัท แสนสิริ เพิ่มขึ้น ประกอบด้วย ยูบีเอส เอจี สิงคโปร์ บรานช์ ถือหุ้นเพิ่มเป็น 393.16 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 3.85% จากเดิม เมื่อวันปิดสมุดทะเบียนวันที่ 19 ส.ค.2557 ที่ถือหุ้น 132.90 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 1.38%

รวมทั้งยังมีนายวันชัย พันธ์วิเชียร นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่เข้ามาถือหุ้นบริษัท แสนสิริ จำนวน 225 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 2.20% จากเดิมที่ไม่ปรากฏชื่อในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 19 ส.ค.2557 เช่นเดียวกับ นายนเรศ งามอภิชน นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่เข้ามาถือหุ้นจำนวน 90 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 0.88%
อย่างไรก็ตาม ลิตเติลดาวน์ นอมินีส์ ลิมิเต็ด 38 ไม่ปรากฏชื่อในโครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันปิดสมุดทะเบียนที่ 10 ต.ค.2557 จากเดิมที่เคยถือหุ้น 260 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 2.62%

ขณะที่ ณ 19 ส.ค.2557 นายคีรี กาญจนพาสน์ ถือหุ้น 58 ล้านหุ้นคิดเป็น 0.60% ล่าสุด ไม่ปรากฏรายชื่อผู้ถือหุ้น 27 อันดับแรก

นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ กล่าวว่า มั่นใจว่าผู้ถือหุ้นเดิมจะใช้สิทธิเพิ่มทุนตามสัดส่วนที่ถือครอง ส่วนการปรับเปลี่ยนสัดส่วนถือหุ้นของกองทุนไม่สามารถควบคุมได้ แต่คิดว่าคนที่ถือหุ้นอยู่แล้วน่าจะมีความต้องการถือต่อไป กรณีนายคีรี กาญจนพาสน์ นั้น ตั้งแต่เดือนก.ย.ที่ผ่านมามีการประชุมร่วมกัน โดยส่วนตัวก็ได้ยืนยันจะใช้สิทธิเพิ่มทุน และปัจจุบันยังคงสัดส่วน 50 ล้านหุ้น และเชื่อว่าบุคคลดังกล่าวจะใช้สิทธิ์ตามที่ถือไว้

"ส่วนกรณีที่ให้ข้อมูลนักวิเคราะห์ไปปรากฏว่าผลตอบรับดีที่ดี ส่วนใหญ่มองว่า บริษัทแสนสิริและบริษัทบีทีเอส จะได้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งมีการปรับคำแนะนำดีขึ้นจากเดิม"นายวันจักร์กล่าว

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้เตรียมเดินหน้าเปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือ หุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น ควบคู่กับใบสำคัญแสดงสิทธิ ในอัตราส่วน 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ในราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 1.30 บาทต่อหุ้น ระยะเวลาการจองซื้อและรับชำระเงินค่าหุ้น 27 - 31 ต.ค. 2557 โดยแต่งตั้งให้บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ (SCBS) เป็นตัวแทนการรับจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท

ภายหลังการเพิ่มทุนเสร็จสิ้น บริษัทจะเดินหน้าตามแผนธุรกิจ Engineer for Growth อย่างเต็มรูปแบบ หลังจากแผนบางส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้วเริ่มเห็นผลสำเร็จอย่างรวดเร็วและ ชัดเจนจากกำไรในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่า แผนธุรกิจในระยะต่อไปจะทยอยส่งผลให้กำไรของบริษัท ปรับเพิ่มดีขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องเป็นรูปธรรม นอกจากนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากการโอนที่ดีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากแผนการโอนส่งมอบคอนโดมิเนียมเพื่อตอบรับความต้องการเข้าอยู่อาศัยของ ลูกค้าประมาณ 14 โครงการทั่วประเทศโดยคาดว่าจะมียอดโอนในช่วงไตรมาส 3 ถึงประมาณ 7,000 ล้านบาท

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่าการที่คีรีลดสัดส่วนการถือหุ้นเพราะได้เข้าร่วมทุนโดยตรงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรักษาสิทธิการถือครองหุ้นหรือรับหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ และภายหลังการทำสัญญาข้อตกลงกรอบความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท บีทีเอส โฮลดิ้งส์ (BTS) ในการเป็นเอ็กคลูซีฟ พาร์ทเนอร์ เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย บริษัท แสนสิริ (SIRI) มีโอกาสได้พัฒนาโครงการบนที่ดินว่างในทำเลเด่นทางกลยุทธ์อยู่หลายแปลง โดยไม่จำเป็นต้องถือที่ดินลงในงบดุล ดังนั้น การร่วมมือทางธุรกิจดังกล่าวจึงเป็นบวกต่อบริษัท

อนึ่ง ที่ดินของบีทีเอสประกอบไปด้วยที่ดินเนื้อที่ 16 ไร่ ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหมอชิต รวมถึงที่ดิน 3.5 ไร่ บริเวณพญาไท และ 319 ไร่ ใกล้ธนาซิตี้ กอล์ฟคลับ โดยที่ดินบางแปลงจะเป็นของบริษัท แนเชอรัล พาร์ค (NPARK) หลังจากมีการแลกหุ้นกับบริษัทลูกของบีทีเอส) หากโครงการแรกได้รับการตอบรับในเกณฑ์ดี คาดการร่วมมือทางธุรกิจดังกล่าวจะขยายผลไปสู่โครงการอื่นๆ อีกหลายโครงการ

นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส กล่าวว่า ผู้บริหารได้ปรับลดยอดขายปีนี้ แต่ตลาดคาดไว้แล้ว โดยยอดขายตั้งแต่ต้นปี ถึง 13 ต.ค. 2557 อยู่ที่ 7.8 พันล้านบาท จึงยากนักที่จะบรรลุเป้าขายปีนี้ที่ 3 หมื่นล้านบาท เพราะเป็นสัดส่วนเพียง 26% สาเหตุที่ยอดขายน้อย เพราะปัจจัยการเมืองไทยที่มารบกวน และการได้รับอีไอเอล่าช้า



ติดตามอ่านข่าวทางเฟสบุ๊คได้จาก...เม่าหัวหงอก..บอกข่าวเล่าหุ้น https://www.facebook.com/home.php

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Tesco slumps.

LONDON MARKETS: Tesco Slumps, Sends FTSE Lower For First Time In Three Days

By Sara Sjolin, MarketWatch 
LONDON (MarketWatch) -- Tesco PLC shares slumped on Thursday after a profit update, weighing on the benchmark stock index and dragging down other U.K. supermarkets. 
The FTSE 100 index slid 1.2% to 6,322.44, setting it on track to break a two-day winning streak. 
Falling to the bottom of the index, shares of Tesco (TSCDY) sank 5.6% after the supermarket chain said an investigation into its accounting practices showed the profit forecast for the first half had been overstated by 263 million pounds ($422 million). In September, the company said the accounting error was GBP250 million. Chairman Richard Broadbent will now step down, Tesco said. 
Other supermarkets tracked Tesco lower, with shares of Wm Morrison Supermarkets PLC and J Sainsbury PLC each down around 3%. 
Shares of Unilever PLC (UL) dropped 4%. The maker of Magnum ice cream and Dove shampoo, among other things, said sales growth slowed in the third quarter and warned of a tough outlook. 
Mining firms were also on the decline in London, as metals prices headed south. Shares of Rio Tinto PLC (RIO) lost 2.4% and BHP Billiton PLC (BHP) fell 2.3%. Anglo American PLC gave up 2%, despite reporting a rise in iron-ore production. 
Among few companies in positive territory, shares of GlaxoSmithKline PLC (GSK) rose 0.8% after Barclays lifted the drug maker to overweight from equal weight. 
 
Subscribe to WSJ: http://online.wsj.com?mod=djnwires

(END) Dow Jones Newswires
October 23, 2014 03:40 ET (07:40 GMT)
Copyright (c) 2014 Dow Jones & Company, Inc.

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

MAX ขายหุ้นเพิ่มทุนราคาสูงกว่าหุ้นเดิม

วิมานเมฆของ ชำนิ จันทร์ฉาย

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2557 
ผู้เข้าชม : 14 คน 

ผมไม่เคยรู้จักผู้ถือหุ้นคนไหน หรือ เคยมี และมีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับราคาหุ้นบริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MAX จึงขออนุญาตที่จะต้องกล่าวถึงคุณภาพของนักลงทุนที่ถือหุ้นบริษัทนี้ ในฐานะผู้สังเกตการณ์วงนอก
วันก่อน นายชำนิ จันทร์ฉาย ประธานกรรมการ และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แถลงว่า คณะกรรมการมีมติให้เพิ่มทุนล่าสุดอีกเพื่อรุกคืบจากธุรกิจเหล็กไปสู่อสังหาริมทรัพย์
การเพิ่มทุนครั้งนี้ ก็จะเอาเงินสดที่ได้ไปถือหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อ “ไซมิส แอสเสท” ทั้ง 100% (ไม่ระบุว่า มูลค่าเงินลงทุนอยู่ที่เท่าใด) เพื่อขยายฐานธุรกิจและฐานรายได้ใหญ่กว่าเดิม โดยอ้างเหตุผลว่า จะช่วยผลักดันบริษัทมีรายได้-บุ๊คกำไรทันทีในปี 2557 เพราะในอนาคตอันใกล้ จะผุดคอนโดฯ อีกหลายโครงการมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท เพื่อหวังยืนแถวหน้าของวงการอสังหาฯเมืองไทย
คำแถลงอย่างนี้ แสดงท่าทีเสมือนหนึ่งผู้ถือหุ้นของบริษัทโง่เง่ายิ่งกว่าสัตว์บางประเภท ที่เชื่อว่า การเพิ่มทุน และซื้อกิจการ ซึ่งเป็นวิศวกรรมการเงินทำนอง “เปลี่ยนถ่ายไขกระดูก” นั้น ง่ายกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายชำนิ  ผู้ซึ่งช่ำชองกับการทำงานเช่นเดียวกัน นับแต่เป็นมือขวาของนายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง แห่งนครไทยสตีลเวิร์กในอดีต เคยให้ข่าวเช่นนี้ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ เขามักจะสัมฤทธิผลมากกว่าล้มเหลว และมีคนเชื่อมากกว่าไม่เชื่อต่อแผนธุรกิจที่ชวนเฟื่องฝัน
ในปีนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์   MAX เคยมีมติเพิ่มทุนครั้งมโหฬาร 12.6 เท่าของทุนชำระเดิม เพื่อขายแบบเฉพาะเจาะจงให้กับพันธมิตรใหม่ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้าง  หลังจากล้มเหลวจากการเพิ่มทุนโดยเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ก่อนหน้า ด้วยการเพิ่มทุนจากเดิม 1,833.26 ล้านบาท เป็นทุนใหม่ 24,976.12 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 23,142.85 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท โดยแบ่งเป็นขาย 1.8 หมื่นล้านหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง (PP) 3 คน ในราคาหุ้นละ 0.05 บาท (ราคาใกล้เคียงกับบุ๊คแวลูขณะนั้น) ส่วนอีก 5 พันล้านหุ้นเศษ เป็นการรองรับวอร์แรนต์ที่ยกให้ฟรีกับผู้ซื้อหุ้นทั้ง 3 ราย
กระบวนการเพิ่มทุน อ้างถึงแผนธุรกิจสวยหรูว่า พันธมิตรใหม่ทั้ง 3 ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้าง จะทำให้การขายเหล็กของบริษัทสะดวกขึ้น  ทำให้บริษัทกลายเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์ โดยไม่มีหลักประกันว่า แผนธุรกิจที่ว่านั้นจะสามารถเกิดขึ้นจริงหรือไม่  ได้บรรลุเป้าหมายเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา  เป็นมติผู้ถือหุ้นเรียบร้อย ชนิดที่เมินเฉยต่อเสียงทักท้วงของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ออกคำเตือนผู้ถือหุ้นให้รอบคอบในการลงมติ
การเพิ่มทุนครั้งแรกของปีครั้งนั้น ได้เงินสดมาจิ๊บจ๊อย และมีส่วนทำให้บริษัทรอดปลอดภัยระดับหนึ่ง เพราะส่วนผู้ถือหุ้นเดิมที่ร่อยหรอมานานหลายปีจนเหลือแค่ 56.99 ล้านบาท เพิ่มเป็น 400.28 ล้านบาท แต่ยังไม่ทันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตามแผนธุรกิจที่อ้างเพื่อเพิ่มทุน ก็เกิดมีมติเพิ่มทุนระลอกใหม่อีกแล้วล่าสุด ซึ่งแปลกไปกว่าเดิม
ที่น่าสนใจก็คือ ก่อนการเพิ่มทุนครั้งมโหฬารนั้น วันที่ 30 มกราคม 2557 ราคาหุ้น MAX อยู่ที่ 0.15 บาท  ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่กรรมการบริษัทมีมติเพิ่มทุน ราคาหุ้นวิ่งมาอยู่ที่ 0.29 บาท แล้วก็วิ่งขึ้นมาเรื่อย ไม่ใส่ใจกับผลประกอบการจริง โดยล่าสุดเมื่อวันพุธ 22 ตุลาคม ราคาหุ้นอยู่ที่ 1.14 บาท  พร้อมกับมติเพิ่มทุนครั้งล่าสุด ที่แปลกกว่าเดิม
มตินี้เกิดขึ้นพร้อมกับวาระการประชุมอนุมัติงบการเงินงวด 9 เดือนที่มีตัวเลขขาดทุนสุทธิ 7 ล้านบาทเศษ เพราะแทบไม่มีธุรกรรมอะไร เนื่องจากขาดสภาพคล่องไม่มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอไปซื้อเหล็กมาผลิตขาย
ที่ว่าแปลกก็เพราะการเพิ่มทุนอีก 1,983.32 ล้านหุ้น (ประมาณ 8% ของหุ้นเดิม) ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาทเหมือนเดิม ได้เสนอขายแบบ RO ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ในราคาใหม่ หุ้นละ 1.30 บาท แถมเงื่อนไขว่า หากผู้ถือหุ้นเดิมไม่ซื้อ จะเอาไปขายแบบ PP ให้พันธมิตรแทน
เงื่อนไขที่ว่า สำหรับคนที่ช่ำชอง ย่อมรู้ทันทีว่า “อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่” เพราะมันคือการเปิดช่องให้กับธุรกรรม ฮุบกิจการแบบย้อนศร(Reversed Takeover) เพื่อเอาหุ้นที่จะเพิ่มทุน ไปแลกกับสินทรัพย์ของบริษัท ไซมีส แอสเส็ท นั่นเอง เป็นการควบรวมกิจการโดยไม่ต้องใช้เงินสด ที่กำลังฮิตกันยามนี้ในบรรดาที่ปรึกษาการเงินเมืองไทยธรรมดาๆ
เหตุผลที่นำมาอ้าง ดูมีตรรกะดี แต่ก็น่าหัวร่อ เพราะที่ว่า การขยายธุรกิจแขนงใหม่ด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยที่ธุรกิจหลักเดิมคือการค้าผลิตภัณฑ์เหล็ก ยังคงดำเนินการตามปกติ จะสร้างพลังผนึกหรือ  Synergy ระหว่างกันได้ ทั้งที่โดยพฤตินัยแล้ว การกระทำดังกล่าว คือการ “ผูกเชือกเดินสามขา” ที่คนในแวดวงธุรกิจเข้าใจ และไม่ทำกัน
คำถามใหญ่ตามมา 2 ข้อคือ
-                ผู้ถือหุ้นเดิมที่ไหนจะบ้าหรือคลั่งซื้อหุ้นที่เคยขายเพียง 0.05 บาท ในราคาใหม่ 1.30 บาท ที่สูงกว่าราคากระดานล่าสุดเสียอีก
-                หากผู้ถือหุ้นเดิมไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุน แล้วเอาหุ้นไปแลกกับทรัพย์สินบริษัทเป้าหมาย ผู้ถือหุ้นบริษัทดังกล่าวจะโง่หรือบ้ามากพอที่จะยอมแลกหุ้นที่ตีราคาเกินจริงเช่นนี้ แทนที่จะถือเอาราคาในบุ๊คแวลูที่ระดับ 0.05 บาท
หากมติของกรรมการ MAX และเหตุผลอ้างอิงการเพิ่มทุนครั้งนี้บรรลุเป้าหมาย ก็คงต้องยอมรับว่า พวกเขาเก่งเหลือเกินกับการสร้างวิมานเมฆ เก่งกว่า ม.มธุการี หลายร้อยเท่า

ตลาดเอเชียลดลงจากข้อมูลจีนและราคาน้ำมันดิบที่ลดลง

ข้อมูลจีนและราคาน้ำมันกดดันหุ้นเอเชีย

ต่างประเทศ วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2557 
ผู้เข้าชม : 2 คน 

ซีเอ็นบีซี - หุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลงเมื่อวานนี้ นักลงทุนให้ความสนใจต่อข้อมูลในภาคผลิตของจีนในขณะเดียวกัน และราคาน้ำมันลดลง วอลล์สตรีทก็ปรับตัวลงเมื่อคืนวันพุธ และการยิงต่อสู้ในแคนาดาก็สร้างความวิตกให้แก่นักลงทุน
                ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของจีน (พีเอ็มไอ) ที่เอชเอสบีซีได้ทำออกมาใหม่เพิ่มสูงสุดในรอบสามเดือนโดยอยู่ที่ 50.4 ในเดือนตุลาคม ซึ่งดีกว่าค่า 50.2 ที่อ่านครั้งสุดท้าย เมื่อเดือนที่แล้ว แม้ว่าดัชนีพีเอ็มไอดีขึ้น แต่รายงานนี้ย้ำให้เห็นถึงปัญหาของเศรษฐกิจจีนที่อัตราผลผลิตของโรงงานลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบห้าเดือน
                ข้อมูลนี้ออกมาท่ามกลางการคาดการณ์ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นการเติบโตเพิ่มอีก หลังจากที่การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสสาม ต่ำสุดในรอบกว่าห้าปี
                ฮองบิน คู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และผู้อำนวยการร่วมฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจเอเชียของเอชเอสบีซี กล่าวว่า ในขณะที่ภาคการผลิตน่าจะมีเสถียรภาพในเดือนตุลาคม เศรษฐกิจจีนยังคงแสดงสัญญาณว่ามีดีมานด์ที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ นี่เป็นการรับประกันว่าจะมีการผ่อนคลายนโยบายอีก และคาดว่าจะมีมาตรการผ่อนคลายทั้งด้านการเงินและการคลังในเดือนที่จะมาถึง
                บริษัทพลังงานทั่วภูมิภาคปรับตัวลงเมื่อราคาน้ำมันดิบสหรัฐปรับตัวลงต่อเมื่อวานนี้  โดยเข้าใกล้ระดับต่ำสุดในรอบสองปีหลังจากที่การสำรองน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สอง
                ในขณะเดียวกันการยิงต่อสู้ในแคนาดาก็ทำให้นักลงทุนเกิดความหวาดวิตก มือปืนคนหนึ่งได้โจมตีอาคารรัฐสภาและทหารแคนาดาคนหนึ่งถูกยิงที่อนุสรณ์สถานสงครามในกรุงออตตาวาเมื่อวันพุธ ตำรวจได้ยิงมือปืนที่อยู่ในรัฐสภาเสียชีวิต โดยมีการระบุว่าเป็นชายอายุ 32 ปีที่ได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนา แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยืนยันว่าการโจมตีทั้งสองเหตุการณ์นี้เป็นฝีมือของคนเดียวกันหรือไม่
                หุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลงในช่วงต้นแต่สามารถกลับมาดีดตัวได้หลังจากที่เมื่อวันพุธปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบสัปดาห์ครึ่ง ดัชนีนิกเกอิจึงปิดลดลง 0.37% ดัชนีนิกเกอิได้ผันผวนอย่างรุนแรงในสัปดาห์นี้ โดยปรับตัวขึ้น 4% ในวันจันทร์ จากนั้นปรับตัวลง 2% ในวันอังคาร และฟื้นตัว 2.6% ในวันพุธ
                อารมณ์ในตลาดญี่ปุ่นคึกคักขึ้นหลังจากที่กิจกรรมในภาคผลิตขยายตัวในเดือนตุลาคม โดยอยู่ในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 7 เดือน แต่บริษัททากาตะ ผู้ผลิตถุงลมนิรภัยปรับตัวลง 5% เพราะมีข่าวว่าอัยการสหรัฐกำลังสอบสวนบริษัท เนื่องจากถุงลมนิรภัยมีข้อบกพร่อง
                ตลาดเซี่ยงไฮ้ปรับตัวลง 1% ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิตลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งสัปดาห์ โดยปรับตัวลงต่อเป็นวันที่สามหลังจากที่ปรับตัวลงต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือนเมื่อวันพุธ         บริษัทผู้ผลิตน้ำมันปรับตัวลงเนื่องจากราคาน้ำมันดิบลดลง  ส่วนตลาดฮ่องกงปรับตัวลง 0.77% หลังจากที่ดีดตัวกว่า 1% ในวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นการดีดตัวรายวันที่ดีที่สุดในรอบกว่าหนึ่งเดือน
             ตลาดออสเตรเลียปรับตัวลง 0.05% จากที่ปิดสูงสุดในรอบหนึ่งเดือนในวันพุธ และปรับตัวลงหลังจากที่ปรับตัวขึ้นนาน 7 วัน บริษัท บอร์ต ลองเยียร์ บริษัทที่ให้บริการขุดเจาะน้ำมันปรับตัวขึ้น 40% หลังจากที่ตกลงปรับโครงสร้างกับเซนเตอร์บริดจ์ พาร์ตเนอร์ส เพื่อลดหนี้
             ตลาดเกาหลีใต้ปรับตัวลงเช่นเดียวกับตลาดอื่นๆ ในเอเชีย เนื่องจากหุ้นบริษัทต่อเรือปรับตัวลง ซัมซุงเฮวี่ และแดวู ชิปบิลดิ้ง ปรับตัวลงบริษัทละ 3% ในขณะที่ฮุนได เฮวี่ ปรับตัวลงเกือบ 4%
             มีข่าวผลกำไรในเกาหลีใต้ บริษัท แอลจี ดิสเพลย์ ดีดตัวขึ้น 2% หลังจากที่กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบสองปีในช่วงไตรมาสเดือนกรกฎาคม-กันยายน
             ในขณะที่โฟกัสในการปรับตัวลงของตลาดส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในแคนาดา พัฒนาการอีกอย่างหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นเช่นกันคือราคาน้ำมัน ตัวเร่งที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงคือ กระทรวงพลังงานของสหรัฐรายงานว่า มีการสำรองน้ำมันมาก ส่งผลให้น้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส อินเตอร์มีเดียต ปรับตัวลงทันที จาก 82.50 ดอลลาร์ เหลือ 81.70 ดอลลาร์
             แม้ว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างข่าวแคนาดาและการปรับตัวลงของราคาน้ำมัน แต่มีความชัดเจนว่าการปรับตัวลงของราคาน้ำมันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นปัญหาใหญ่สำหรับหุ้น แม้ว่าการปรับตัวลงของราคาน้ำมันเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แต่มันได้กลายเป็นตัวแทนของภาวะเงินฝืดและดีมานด์ที่ชะลอตัวลงทั่วโลก และมีการมองกันว่ามีความน่าวิตกในระดับหนึ่ง