Mเทรดวันนี้วิ่งเหนือจอง
พื้นฐานแกร่งโตไม่หยุด
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2556 ผู้เข้าชม : 10 คน
“เอ็มเค เรสโตรองต์” มั่นใจเทรดวันแรกคึกคัก ราคาเกินจอง 49 บาท มองภาพธุรกิจเติบโตชัดเจน ตามแผนขยายสาขา ผู้ถือหุ้นยืนยันถือหุ้นยาว วงการเงินคาดราคาวิ่งทะยานระดับ 62-65 บาท
แหล่งข่าววงการเงิน กล่าวว่า วันนี้ (15 ส.ค.) หุ้นบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก โดยเมื่อดูจากผลประกอบการราคาหุ้น M น่าจะอยู่ที่ประมาณ 62-65 บาท ที่อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ 25 เท่า ขณะที่ราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 49 บาท
สำหรับภาพรวม SET คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่ง หากสามารถยืนที่ระดับ 1,445 จุดได้ ก็มีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปที่ 1,480 จุด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้น ส่วน M ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการบริโภค ประกอบกับการขยายสาขา จะส่งผลให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากราคาหุ้น M ปรับขึ้นเกิน 65 บาท หรือราคาหุ้นเกินระดับ P/E ที่ 25 เท่า ควรระมัดระวังในการลงทุน
นายฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารภายใต้เครื่องหมายการค้า “MK Restaurants” เปิดเผยว่า วันที่ 15 ส.ค. 56 หุ้นของบริษัทจะเข้าทำการซื้อขายวันแรก ในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในฐานะผู้บริหารมีความเชื่อมั่นว่า นักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันจะให้การต้อนรับและสนใจลงทุนหุ้น M เป็นอย่างดี และคาดว่าความต้องการลงทุนหุ้น M ส่วนหนึ่งจะเข้ามาลงทุนซื้อขายวันแรกคึกคัก จากความต้องการลงทุนของนักลงทุนที่ต้องการร่วมเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท
"ผมมีความเชื่อมั่นในนักลงทุนว่า จะให้การต้อนรับหุ้น M อย่างดี เหมือนกับช่วงที่เราเปิดจองไอพีโอ เมื่อวันที่ 5-7 ส.ค. 56 ที่ผ่านมา ซึ่งมียอดจองเข้ามาจำนวนมาก แม้ว่าภาวะตลาดจะถูกกระทบจากปัจจัยภายนอกบ้าง แต่สิ่งสำคัญคือนักลงทุนมีความเข้าใจในตัวธุรกิจของเราเป็นอย่างดี เป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน รวมทั้งเรามีแผนการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนมาก น่าจะทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัท นอกจากนี้ ผมยังให้ความมั่นใจกับนักลงทุนได้ว่า ครอบครัวผมซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัททุกรายรวมทั้งผู้บริหารซึ่งถือหุ้นรวม 720 ล้านหุ้น คิดเป็น 79.5% (ไอพีโอ 185.85 ล้านหุ้น หรือ 20.5%) มีความตั้งใจจะถือหุ้นทั้งหมดเป็นลงทุนระยะยาวและไม่มีแผนจะลดสัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มเราอย่างแน่นอน แม้ว่าตามเกณฑ์ตลาดฯ จะติด Silent period เพียง 55% ที่เหลือกลุ่มเราจะถือไว้ยาว" นายฤทธิ์ กล่าว
ก่อนหน้านี้ นายฤทธิ์ กล่าวว่า หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ M 3 รายแรก ได้แก่ นางยุพิน และนายฤทธิ์ ธีระโกเมน ถือหุ้น 37.4% นายสมชาย หาญจิตต์เกษม ถือหุ้น 18.1% และนายสมนึก หาญจิตต์เกษม ถือหุ้น 18.1% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 49 บาทต่อหุ้น พิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio) ที่ 22.2 เท่า
โดยคำนวณจากกำไรสุทธิปี 2555 หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญภายหลังการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ 925.85 ล้านหุ้น (รวมการใช้สิทธิแปลงสภาพของใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จัดสรรให้ผู้บริหารและพนักงาน) เท่ากับ 0.22 บาท โดย P/E ratio ของผู้ประกอบการอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ 34 เท่า (ระหว่างวันที่ 27 มิ.ย.-28 ก.ค. 56)
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น M กล่าวว่า หุ้น M นับเป็นอีกหนึ่งหุ้นไอพีโอที่นักลงทุนรอคอยในสภาวะตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูงเช่นนี้ เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งมาก และผลประกอบการอยู่ในระดับที่ดีมาก มีการขยายสาขาเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
รวมถึงการระดมทุนไอพีโอจำนวน 9,100 ล้านบาทในครั้งนี้ เพื่อจะรองรับการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจให้บริษัทได้เป็นอย่างมาก ประกอบการให้นโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและสำรองตามกฎหมาย
"หุ้น M ถือเป็นหนึ่งในหุ้น Growth Stock และ Dividend Stock และผ่านวงจรเศรษฐกิจขึ้นลงมาตลอด 28 ปีตั้งแต่ก่อตั้ง เป็นการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของแบรนด์และทีมบริหาร แม้ว่าตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ยังอยู่ในภาวะผันผวน แต่ด้วยความโดดเด่นของ M ผมเชื่อว่าจะสามารถช่วยสร้างสีสันให้ตลาดหุ้นไทยได้เป็นอย่างดี" ดร.ก้องเกียรติ กล่าว
นายประวิทย์ ตันติวศินชัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชีและการเงิน M กล่าวว่า ในไตรมาส 2/56 บริษัทมีกำไรสุทธิ 481 ล้านบาท ลดลง 57 ล้านบาท หรือลดลง 10.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 538 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการขายและบริการ 3,599 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 256 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.7% เนื่องจากมีการขยายสาขาของร้านสุกี้ และร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงบริษัทมีการปรับราคาขายเพื่อชดเชยกับต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มีการปรับตัวสูงขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น