วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หลักการลงทุนของ Peter Lynch

หลักการลงทุนของ Peter Lynch



ช่วงนี้ หลายๆท่าน อาจจะเครียดกับการลงทุน
แต่ถ้าท่านยังเปิด web S2M อยู่
แสดงว่า ท่านยังสู้ต่อไป ไม่ยอมแพ้

งั้นเรามาดูกัน ว่า หลักการลงทุนของ Peter Lynch มีอะไรบ้าง

1. การลงทุน เป็นเรื่องที่น่าสนุก และตื่นเต้น
แต่มันก็เป็นเรื่องอันตราย หากคุณไม่ได้ศึกษาอะไรเลย
2. การลงทุนที่เหนือกว่าของคุณ ไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณได้มาจาก wall street
มันเป็นเรื่องที่คุณมีอยู่แล้วในตัว คุณสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้
หากคุณใช้มุมมองที่เหนือกว่าของคุณ ไปลงทุนกับกิจการที่คุณมีความเข้าใจเป็นอย่างดี
3. ตลอดเวลาสามทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นถูกครอบงำโดยเหล่านักลงทุนมืออาชีพ
มันอาจจะฟังดูขัดแย้งกับความเชื่อทั่วๆไป
แต่สภาพดังกล่าวมันกลับทำให้การลงทุนของนักลงทุนมือสมัครเล่น มันง่ายขึ้น
คุณจะสามารถเอาชนะตลาดได้โดยการละเลยฝูงชน
4. เบื้องหลังของหุ้นทุกตัวก็คือบริษัท จงค้นหาดูว่า บริษัทเหล่านั้นทำธุรกิจอะไรบ้าง
5. บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทมักจะไม่ไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทจะไปด้วยกัน ร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ
6. ก่อนจะทำการซื้อหุ้น คุณต้องรู้ว่า ทำไมคุณต้องซื้อมัน หุ้นตัวนี้กำลังจะขึ้นมันไม่ใช่เหตุผลการซื้อ
7. บริษัทที่ประสบปัญหา มักจะมีเหตุการณ์ที่ผิดคาดเกิดขึ้นอยู่เสมอ
8. การเป็นเจ้าของหุ้นคล้ายๆกับการมีลูก ดังนั้นอย่ามีมากตัวจนเกินไป ห้าตัว กำลังดี
เพื่อคุณสามารถติดตามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. หากคุณไม่สามารถค้นหาบริษัทที่น่าสนใจในการลงทุน การฝากเงินก็ไม่เห็นเสียหายอะไร
10. อย่าลงทุนในบริษัทใด โดยที่คุณยังไม่ได้เข้าใจฐานะการเงินของบริษัทนั้น
11. หลีกเลี่ยงหุ้นร้อน ในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง บริษัทชั้นเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ไม่มีการเติบโต
มักจะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ
12. สำหรับการลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก คุณควรจะรอให้มีผลกำไรที่ชัดเจนก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน
13. หากคุณจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังประสบปัญหา ให้เลือกบริษัทที่มีงบดุลแข็งแกร่ง
และจะสามารถอยู่รอดได้ และให้รอจนกว่าจะมีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน
อุตสาหกรรมรถม้าและวิทยุเป็นอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหา และมันก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
14. เงินลงทุนของคุณ 10,000 บาทในการซื้อหุ้น ทั้งหมดที่คุณจะขาดทุนได้ คือ 10,000 บาท
แต่คุณอาจจะได้กำไร 10,000 หรือ 50,000 หรือแม้กระทั่ง 100,000 บาท หากคุณมีความอดทน
นักลงทุนทั่วไปจะสามารถมุ่งเน้นไปที่บริษัทชั้นดีเพียงสองหรือสามแห่งเท่านั้น
คุณค่าของการลงทุนทั้งชีวิต จะอาศัยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น
15. ในทุกๆอุตสาหกรรมและในทุกๆพื้นที่ของประเทศ
นักลงทุนมือสมัครเล่นจะสามารถพบเจอบริษัทโตเร็วชั้นเยี่ยมได้ก่อนนักลงทุนมืออาชีพนานเลยทีเดียว
16. การตกต่ำของตลาดหุ้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเกิดพายุหิมะ
หากคุณมีการเตรียมตัวที่ดี มันจะไม่สามารถทำร้ายคุณได้
การตกลงของราคาหุ้น จะเป็นโอกาสของการซื้อมากกว่าโอกาสของการขาย
17. ใครๆก็มีสติปัญญาสูงพอที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสภาวะอารมณ์อันเหมาะสม
หากคุณมีแนวโน้มที่จะขายทุกสิ่งทุกอย่างออกไปในสภาวะของการตื่นตระหนก
คุณก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นซะ
18. มันมีบางสิ่งบางอย่างให้วิตกกังวลอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการคิดวิตกกังวลในช่วงสุดสัปดาห์
และจงละเลยการคาดการณ์การอันเลวร้ายตามรายการโทรทัศน์และรายกาวิทยุต่างๆ
จะขายหุ้นก็ต่อเมื่อกิจการของคุณมีพื้นฐานที่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง
หรือเมื่อราคามันขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล (overvalue) แต่ไม่ใช่ขายเพราะกลัวว่าฟ้าจะถล่ม
19. หากคุณทำการศึกษาบริษัท 10 แห่ง คุณจะพบบริษัทแห่งหนึ่งที่มีเรื่องราวที่ดีกว่าที่คุณคิด
และหากคุณศึกษา 50 แห่ง คุณก็มักจะพบบริษัท 5 แห่งที่ดีกกว่าที่คุณคิด
มันมีความประหลาดใจที่น่ายินดีให้เราได้ค้นหาเสมอในตลาดหุ้น
ผมหมายถึงบริษัทชั้นดีที่มักถูกมองข้ามโดยตลาด wall street
20. หากคุณไม่ได้ศึกษาบริษัทใดเลย
การลงทุนของคุณก็จะเหมือนกับการเดิมพันในการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ โดยที่ไม่ได้ดูไพ่
21. เวลาจะอยู่ข้างเดียวกับคุณ หากคุณลงทุนในบริษัทชั้นเยี่ยม คุณสามารถที่จะรอได้
กระทั่งว่าคุณพลาดการลงทุนในหุ้น wal-mart ในช่วงระยะเวลาห้าปีแรก
มันก็ยังเป็นหุ้นที่น่าซื้อยู่ในอีกห้าปีต่อมา
เวลาจะเป็นศัตรูกับคุณหากคุณซื้อ options
22. หากคุณพบว่าคุณเป็นคนที่มีภาวะอารมณ์ที่เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้น
แต่ไม่มีเวลาหรือไม่อยากที่จะทำการศึกษาบริษัท ก็สามารถลงทุนในกองทุนหุ้นได้
23. ไม่มีใครสามารถทำนายอัตราดอกเบี้ย ทิศทางเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นได้
เลิกฟังการคาดการณ์เหล่านั้น และมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทที่คุณกำลังลงทุนอยู่
24. ในระยะยาว portfolio ที่ประกอบด้วยหุ้นที่คัดสรรอย่างดี
จะให้ผลตอบแทนสูงกว่า portfolio ที่ประกอบด้วยตราสารหนี้หรือตลาดเงิน
แต่ portfolio ของหุ้นที่คัดสรรมาแบบแย่ๆ จะไม่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการเก็บเงินไว้ไต้พรม

'สิงห์'เล็งเข้าตลาดฯดันยอด2แสนล้านใน5ปี

 'สิงห์'เล็งเข้าตลาดฯดันยอด2แสนล้านใน5ปี

"สิงห์"เดินหน้าปรับโครงสร้าง 54 บริษัทในเครือ จัดทัพใหม่รับแผนบุกตลาดโลก เล็งเข้าตลาดฯ ระดมทุนหมื่นล้านขยายธุรกิจขวดแก้ว-โลจิสติกส์
ชื่อ:  00.jpg
ครั้ง: 832
ขนาด:  46.5 กิโลไบต์
ทุนไทยพรั่งพร้อมด้วยโนว์ฮาวและสายป่านทางธุรกิจต่างประกาศก้าวรุกขยายฐานตลาด "นอกบ้าน" ต่อยอดและเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจในประเทศ

นายปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการบริหาร บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยถึงนโยบายธุรกิจว่า จะผลักดันธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งเบียร์สิงห์ ลีโอ รุกขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายเพิ่มยอดขายใน 3-5 ปีข้างหน้าอีก "เท่าตัว" หรือมียอดขาย 2 แสนล้านบาท จากปัจจุบันกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มทั้งแอลกอฮอล์ และนอนแอลกอฮอล์ มียอดขายรวม 1.03 แสนล้านบาท

การขยายธุรกิจต่างประเทศ จะให้ความสำคัญในการทำตลาดเบียร์ และมุ่งสร้างแบรนด์ในตลาดอาเซียนมากขึ้น รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) มีประชากรกว่า 600 ล้านคน มีโอกาสทางการตลาดสูง เนื่องจากอัตราการดื่มเบียร์ของผู้บริโภคในอาเซียน ยังต่ำอยู่ที่ระดับ 15 ลิตรต่อคนต่อปี เทียบกับไทยอยู่ที่ 32-33 ลิตรต่อคนต่อปี และเมื่อเทียบกับสหรัฐ อยู่ที่ 50 ลิตรต่อคนต่อปี กับยุโรปอยู่ที่ 60 ลิตรต่อคนต่อปี

ทั้งนี้ บริษัทได้ทยอยเข้าไปลงทุนจดทะเบียนตั้งบริษัท และเตรียมเปิดสำนักงานในต่างประเทศหลายแห่ง เพื่อสร้างสัญลักษณ์ขององค์กรบุญรอด และ สิงห์ (Corporate Representative) เป็นที่รับรู้ในวงกว้างยิ่งขึ้น

ใน 1-2 เดือนข้างหน้าจะเปิดสำนักงานที่กัมพูชา และไตรมาสสี่นี้ จะเปิดสำนักงานที่ออสเตรเลีย รองรับการขยายธุรกิจของสิงห์ในทุกแขนงธุรกิจ ขณะที่พม่าจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด หลังจากมีข้อจำกัดทั้งด้านราคาที่ดินมีมูลค่าสูงมาก และพม่ายังไม่มีอาคารเชิงพาณิชย์ให้ตั้งสำนักงานได้

โดยสำนักงานดังกล่าวจะเป็นศูนย์กลางธุรกิจของสิงห์ ที่จะให้ข้อมูลแก่นักลงทุนต่างชาติที่สนใจมาเป็นพันธมิตรกับบริษัทในธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่เครื่องดื่ม เช่น ว่าจ้างให้บริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์แก้ว เป็นต้น

"รายได้ 2 แสนล้านบาท ภายใน 3-5 ปี มีความเป็นไปได้และไม่ใช่เรื่องไกล เพราะหากเออีซีเปิด ไม่มีกำแพงภาษี และสิงห์ขยายตลาดและเครือข่ายเข้าถึงผู้บริโภคได้ 200 ล้านคน หรือ 600 ล้านคน การเติบโตจะไม่ใช่แค่อัตราบวก แต่จะเป็นทวีคูณ รวมทั้งธุรกิจอื่นทั้งค้าปลีก การจำหน่ายเสื้อผ้า อาหารล้วนมีช่องทางการเติบโต ซึ่งบริษัทจะนำเข้าไปขยายในภูมิภาคอาเซียนด้วย"

จัดทัพธุรกิจ-ระดมทุนหมื่นล้าน

บริษัทยังมีแผนเพิ่มศักยภาพธุรกิจในเครือ ที่มีความหลากหลายของกิจการรวม 54 บริษัท อาทิ โรงงานผลิตสินค้า โรงงานบรรจุภัณฑ์ ธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร ธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจพืชผลทางการเกษตร เป็นต้น โดยจะมีการรวมธุรกิจเข้าด้วยกันเพื่อความคล่องตัว

โดยทั้ง 54 บริษัทในเครือ มีความแข็งแกร่ง และมีโครงสร้างธุรกิจที่ดีอยู่แล้ว แต่การผนึกกำลังกันครั้งนี้จะช่วยเสริมแกร่งในการดำเนินงานให้กับบริษัทได้มากขึ้น นอกจากนี้จะมีการสร้างกลยุทธ์ใหม่ๆ ในการขยายธุรกิจมากขึ้น

นายปิติ กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีแผนจะนำบริษัทในเครือ เช่น บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมทุนนับหมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้ว ธุรกิจโลจิสติกส์ รองรับการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มในอนาคต รวมทั้งแผนการรับจ้างผลิตบรรจุภัณฑ์ จากปัจจุบันรับได้เพียง 20-30% เท่านั้น ขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์ ต้องการขยายเครือข่ายกระจายสินค้าให้ลูกค้าภายนอกมากขึ้นเป็น 20 แบรนด์ จากปัจจุบันมีเพียง 5-6 แบรนด์ เช่น ชาเขียวอิชิตัน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนดำเนินงานลดต่ำลงด้วย

ที่ผ่านมา บางกอกกล๊าส เผชิญปัญหาภาระหนี้สะสมสูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะจากการที่ยอดขายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของบริษัทมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเบียร์ แต่โรงงานไม่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ตามทันยอดขาย ทำให้ต้องขอสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อนำมาก่อสร้างโรงงานทุกปี ทั้งที่การดำเนินงาน และผลประกอบการของบางกอกกล๊าสอยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่อง สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ต้องนำบางกอกกล๊าสเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนก้อนใหญ่เพื่อขยายโรงงานบรรจุภัณฑ์แก้วรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
"การนำบางกอกกล๊าสเข้าตลาดฯ เพื่อระดมทุน จะผลักดันการเติบโตธุรกิจแบบก้าวกระโดด เพราะที่ผ่านมาบางกอกกล๊าสมีปัญหาเรื่องหนี้สะสม ขณะที่สิงห์เติบโตเร็วมาก แต่บริษัทผลิตแก้วโตไม่ทัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราต้องสร้างโรงงานใหม่ทุกปี ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on investment : ROI) จะอยู่ที่ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงงาน หนี้สะสมเลยสูง เพราะต้องกู้เงินมาสร้าง แต่ผลประกอบการต่อปีไม่มีปัญหา สิ่งที่เกิดขึ้นธุรกิจนี้ต้องเข้าไประดมทุนในตลาดฯ ธุรกิจโลจิสติกส์ก็เช่นกันขยายไม่ทัน และหากเรารับลูกค้าภายนอกบริษัทได้มากขึ้น ก็จะทำให้ผลประกอบการเราดีขึ้น"

อัดโกลบอลแคมเปญ

พร้อมกันนี้สิงห์จะใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านโกลบอลแคมเปญ ตอกย้ำความเป็น "โกลบอลแบรนด์" ของสิงห์ภายใต้ชื่อ “Singha day” กระตุ้นยอดขายทุกวันศุกร์ โดยร่วมกับพันธมิตรธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร สปอร์ตบาร์ต่างๆ เพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น

บริษัทยังมุ่งขยายฐานการผลิตเบียร์ในตลาดโลก ทั้งสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย เบื้องต้นได้เจรจากับพันธมิตรคาร์ลสเบอร์ก ลงนามสัญญาจ้างผลิต (OEM) เบียร์สิงห์ในประเทศอังกฤษ คาดดำเนินการได้ปี 2557 โดยบริษัทจะยกเลิกการจ้างผลิตในประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นฐานผลิตเบียร์ก่อนนำไปบรรจุในอังกฤษเพื่อจำหน่ายในสโมสรพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ส่วนรัสเซียได้ลงนามเซ็นสัญญากับโรงงานเบียร์ Baltika ของคาร์ลสเบอร์กเพื่อดำเนินการผลิตเบียร์สิงห์และจำหน่ายในรัสเซียและยุโรปปี 2557 จำนวน 5 แสนลิตร

ขณะเดียวกันเจรจากับคาร์ลสเบอร์กในการจ้างผลิตเบียร์ในจีนด้วย ซึ่งประเทศจีนถือเป็นฐานผลิตที่คาร์ลสเบอร์กเข้าไปลงทุนมากสุด ส่วนการทำตลาดสหรัฐอยู่ระหว่างการพิจารณาจ้างบริษัทเบียร์ในแคนาดา แทนบริษัท มูสส์เฮด หลังจากกฎหมายห้ามไม่ให้ทำการรับจ้างผลิต ส่วนฐานการผลิตในพม่า ยังคงหาทำเลในย่างกุ้ง


ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ใช้โฟมสร้างคอนโด ผนังมวลเบา นวัตกรรมใหม่ล่าสุดจาก บ.แสนสิริ

ใช้โฟมสร้างคอนโด ผนังมวลเบา นวัตกรรมใหม่ล่าสุดจาก บ.แสนสิริ

กระทู้สนทนา
Update นะครับ ทางแสนสิริออกมาแถลงแล้ว ว่าเป็นความเข้าใจผิดครับ เข้าใจคลาดเคลื่อน จากเนื้อข่าวบอกว่า

แสนสิริ รุดตรวจสอบคอนโดเดอะเบส สุขุมวิท 77 หลังถูกประจานยัดไส้โฟมแทนคอนกรีต แจงเป็นผลงานบริษัท RTH ผู้รับเหมารายย่อยที่รับช่วงต่อ ยันเกิดปัญหาแค่ห้องเดียว เตรียมขึ้นแบล็คลิสต์บริษัทชุ่ย

http://www.ryt9.com/s/iqry/1725455

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไปเจอมาใน fanpage ของแสนสิริครับ เพิ่งเห็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของที่นี่ เอาโฟมมาสร้างคอนโดครับพี่น้อง

อย่างที่ผู้บริหารเค้าว่าจริง ๆ เราไม่ได้ขายแค่อิฐ แค่ปูน เราขายโฟมด้วย

ประเด็นที่จะสื่อนะ รู้ครับว่าใช้โฟมเป็นฉนวนกันความร้อน กันเสียงมีมานานแล้ว คำถามคือจากรูป มันใช่โฟมที่ใช้ทำฉนวนหรือ??










ที่น่าสนใจ จากแปลนของโครงการนี้ ตรงรายละเอียดส่วนของผนัง ไม่มีตรงไหนระบุว่ามีโฟมนะครับ??


นี่ยังไม่รวมถึงส่วนกลางที่สร้างไม่ตรงแบบอีกนะครับเนี่ย ทางแสนสิริ ควรจะมีคำตอบให้กับลูกบ้านอีกหลายพันยูนิตนะครับ

SAT ลดเป้ารายได้เหลือโต 2-5% จาก 10% ตามอุตฯ, ไลน์ผลิตใหม่ปีเริ่มปี 57 ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556 11:59:44 น.

หุ้น SAT , ข่าว



SAT ลดเป้ารายได้เหลือโต 2-5% จาก 10% ตามอุตฯ, ไลน์ผลิตใหม่ปีเริ่มปี 57
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556 11:59:44 น.

น.ส.นภัสร กิตะพาณิชย์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายการเงินและบัญชี บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์เทคโนโลยี (SAT) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทปรับเป้ารายได้รวมในปี 56 เหลือเติบโตแค่ 2-5% จากเดิมตั้งเป้าเติบโต 10% เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ชะลอตัวมากกว่าคาด โดยต้นปีคาดการณ์ยอดผลิตรถยนต์ที่ 2.6-2.7 ล้านคัน แต่ขณะนี้ปรับลดลงมาเหลือ 2.5-2.55 ล้านคัน

"ส่งผลให้ยอดขายรวมจากเดิมวางไว้ 10% เหลือโต 2-5% จากครึ่งแรกยอดขายเกินเป้าสูงกว่าที่คาด 3% เพราะยอดผลิตรถยนต์ปิดที่ 1.3 ล้านคันเศษ ครึ่งหลังน่าจะ 1.2-1.25 ล้านคัน ทำให้ครึ่งหลังวอลุ่มจะต่ำกว่าครึ่งแรก"น.ส.นภัสร กล่าว

ด้านอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 17% ลดลงเล็กน้อยตามยอดขาย จากเฉลี่ยที่ 17-18% เพราะยอดขายจะเป็นตัวผลักดันกำไร แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากำไรสุทธิในปีนี้ไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไร 815 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปี 55 รายได้รวมอยู่ที่ 9,600 ล้านบาท ครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 4,915 ล้านบาท และมีกำไร 386 ล้านบาท

บริษัทตั้งงบลงทุนรวม 2 ปี 56-57)ไว้ที่ 1.6 พันล้านบาท คาดว่าจะใช้ปีนี้ 1.1 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในปี 57 โดยงบลงทุนในปีนี้เกือบทั้งหมดใช้ในการขยายไลน์การผลิตใหม่ คือ เพลาข้าง(Axle Shaft)สำหรับรถบรรทุกขนาดมากกว่า 1 ตัน จากเดิมที่ผลิตเฉพาะรถบรรทุกน้อยกว่า 1 ตัน คาดเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ปี 57

น.ส.นภัสร กล่าวว่า สายการผลิตใม่จะค่อยๆ เพิ่มยอดขายให้กับบริษัท เพราะตลาดส่วนใหญ่ของรถยนต์ในประเทศไทยยังเป็นรถกระบะและรถบรรทุกเป็นหลัก 60% แต่ในอุตสาหกรรมมีสัดส่วนเป็นรถบรรทุกขนาดมากกว่า 1 ตันอยู่ที่ 2-5% บริษัทคาดว่าสายการผลิตใหม่จะทำยอดขายเฉลี่ยที่ 250-300 ล้านบาท/ปี จะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาเข้าตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นไป โดยเครื่องจักรจะเข้ามาพ.ย.ที่จะเริ่มผลิต กำลังการผลิตกว่า 2 แสนชิ้น/ปี

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะมียอดขายจากการผลิตชิ้นส่วนรถแทรกเตอร์ให้กับคูโบต้าเข้ามาช่วย โดยสัดส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากปีก่อนอยู่ที่ 9% กำลังการผลิตในปีนี้อยู่ที่ 64,000 คัน สูงกว่าปี 55 ที่ผลิต 50,000 กว่าคัน และในปี 57 น่าจะใกล้ๆ 70,000 คัน แต่คูโบต้ายังจะมีความเสี่ยงในแง่ปริมาณคำสั่งซื้อที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งและราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ซึ่งยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป

"ไตรมาส 4 ยังจับตามองเดือนพ.ย.-ธ.ค.เพราะส่วนใหญ่ลูกค้ายังไม่คอนเฟิร์มวอลุ่ม ถึงแม้จะมีวอลุ่มถึง ธ.ค.แล้วแต่ยังไม่คอนเฟิร์ม ยังเหวี่ยงอยู่ ธ.ค.อาจจะมอเตอร์โชว์ แต่ก็ต้องดู sentiment ของตลาด ภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ความเชื่อมั่นลงไปมาก คอนซูเมอร์เล็กๆกำลังซื้อยังหด แต่ถึงแม้กำลังซื้อในประเทศหดจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงกับเรา แต่จะส่งผลกับ Car maker จะส่งออร์เดอร์ให้เรามากน้อยแค่ไหนอยู่ตรงนี้"น.ส.นภัสร กล่าว

ส่วนการอ่อนค่าของเงินบาทไม่ได้มีผลกระทบต่อยอดขายมากนัก เพราะมีสีดส่วนส่งออกโดยตรงแค่ 3% ส่วนการนำเข้าวัตถุดิบสามารถส่งผ่านต้นทุนไปที่ลูกค้าได้ คงมีเพียงการนำเข้าเครื่องจักรที่จะเสียประโยชน์โดยตรง แต่บริษัทก็มีการทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้แล้วในสัดส่วน 50% ของมูลค่าเครื่องจักร ส่วนที่เหลืออีก 50% จะใช้วิธีบริหารจัดการเอง โดยเครื่องจักรใหม่จะทยอยเข้ามาตั้งแต่เดือน พ.ย.56 ประมาณ 70%

"ครึ่งปีหลังคงไม่มีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนไตรมาส 2/56 เพราะไตรมาส 2 โดนหนักจากที่ไปซื้อฟอร์เวิร์ดทั้งโครงการทั้งหมดของปีที่แล้ว เพราะบริษัทมีซื้อเครื่องจักร แต่เครื่องจักรนำเข้ามาช่วงสกุลเงินเยนอ่อนค่ามาก เป็นผลทางบัญชี"น.ส.นภัสร กล่าว

อินโฟเควสท์

เปิดโผ10หุ้นที่คาดการณ์ว่า ณ สิ้นปีนี้มีอัตราปันผลสูงสุด 29 AUGUST 2556

 เปิดโผ10หุ้นที่คาดการณ์ว่า ณ สิ้นปีนี้มีอัตราปันผลสูงสุด

การที่ตลาดหุ้นตกลงมาหนักๆนั้น ในด้านกลับก็ทำให้อัตราการจ่ายปันผลต่อหุ้น(Dividen Yield)สูงขึ้นไปด้วย ต่อไปนี้เป็นการคาดการณ์หุ้นที่คาดว่าจะมี อัตราการจ่ายปันผลต่อหุ้นสูง ณ สิ้นปีนี้


หมายเหตุ:เป็นการประเมินและเผยแพร่ของบล.พัฒนสินครับ



ชื่อ:  001.PNG
ครั้ง: 3805
ขนาด:  113.3 กิโลไบต์

"คลัง" เปิดประเด็นร้อนเตรียมนัดถก "ก.ล.ต." ทบทวนเก็บภาษีกองทุนอสังหาฯและกอง REIT

"คลัง" เปิดประเด็นร้อนเตรียมนัดถก "ก.ล.ต." ทบทวนเก็บภาษีกองทุนอสังหาฯและกอง REIT

"คลัง" เปิดประเด็นร้อนเตรียมนัดถก "ก.ล.ต." ทบทวนเก็บภาษีกองทุนอสังหาฯและกอง REIT
ชี้เป็นช่องโหว่ให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่ต้องเสียภาษี แจงนโยบายเดิมเกิดจากวิกฤติปี"40 อสัง
หาฯมีปัญหาแต่ปัจจุบันไม่ใช่ สรรพากรขานรับหาช่องจัดเก็บใหม่ ฟาก บลจ.-ผู้ประกอบการอสัง
หาฯป่วน หวั่นทำลายตลาดลงทุน เผยมูลค่าพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์เฉียด 1.4 แสนล้าน

นางเบญจา หลุยเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า
ขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาทบทวนการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของกอง
ทุนอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate
InvestmentTrust : REIT) เนื่องจากกองทุนเหล่านี้มีลักษณะที่ไม่ใช่หน่วยภาษี ทำให้กรม
สรรพากรไม่สามารถเก็บภาษีได้ ที่ผ่านมาจึงมีผู้ที่ใช้ช่องทางดังกล่าวกันมาก เพื่อที่จะไม่ต้องเสีย
ภาษี

ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่ต้องการสนับสนุนให้มีการ
ลงทุนกันมากขึ้นจึงให้มีการยกเว้นการจัดเก็บภาษี แต่ปัจจุบันภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้มีปัญหา
เช่นในอดีต จึงต้องดูว่าในสถานการณ์ปัจจุบันยังจำเป็นต้องใช้มาตรการทางภาษีสนับสนุนการตั้ง
กองทุนประเภทนี้อยู่หรือไม่

"ต้องดูว่าในสถานการณ์ปัจจุบันยังต้องคงอยู่หรือไม่ เพราะมีการตั้งกันเยอะ อย่างมีตึกแทนที่จะ
ให้เช่าโดยตรง แต่เอามาตั้งเป็นพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ แล้วค่าเช่าก็ไม่ต้องเสียภาษี ตอนนั้นที่สนับ
สนุนให้ตั้งเพราะภาคอสังหาริมทรัพย์มีปัญหา ก็อยากให้คนมาลงทุนกันเยอะ ๆ แต่ตอนนี้ไม่มี
ปัญหา" นางเบญจากล่าว

รมช.คลังยอมรับว่า เมื่อไม่ใช่หน่วยภาษี ทำให้ไม่มีข้อมูลว่าหากเก็บภาษีจะได้เม็ดเงินเท่าใด
โดยส่วนนี้อาจต้องประสานขอข้อมูล และหารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาต่อไป

สรรพากรรับเป็นช่องโหว่

ด้านแหล่งข่าวจากกรมสรรพากร กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แนวคิด รมช.คลังที่จะทบทวน
เรื่องการยกเว้นภาษีให้กับการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เป็นเรื่องที่สมควรดำเนินการอย่างยิ่ง
เพราะปัจจุบันถือได้ว่าเป็นช่องโหว่อย่างมาก ทำให้มีการหลบเลี่ยงภาษีโดยการไปตั้งกองทุนดัง
กล่าวกันมาก เนื่องจากพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ไม่เป็นหน่วยภาษี

แหล่งข่าวกล่าวว่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีกองทุนอสังหาริมทรัพย์เดิม คือ ไม่ต้องเสียภาษี
นิติบุคคล ขณะที่ผู้ที่ลงทุนประเภทบุคคลธรรมดา หรือผู้ถือหน่วยลงทุน ไม่ต้องนำเงินปันผลมา
คำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ในบางกรณี เช่น กรณีบริษัทจดทะเบียนที่ลงทุนในหน่วยลง
ทุน โดยถือ 3 เดือนก่อนหน้า และ 3 เดือนหลังจากวันจ่ายเงินปันผล เป็นต้น

"สิทธิประโยชน์ทางภาษีพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ไม่มีเงื่อนไขเวลาว่ามาตรการจะหมดอายุเมื่อใด
ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าทางสำนักงาน ก.ล.ต.ให้จัดตั้งหรือเปล่า เพราะถ้าไม่ให้ตั้งก็เท่ากับไม่ได้รับ
สิทธิประโยชน์ ซึ่ง ก.ล.ต.ก็กำหนดว่าจะให้จัดตั้งภายในปี 2556 นี้เท่านั้น โดยปัจจุบันทางตลาด
ทุนจะสนับสนุนให้จัดตั้งเป็นกอง REIT หรือกองทรัสต์มากกว่า ก็เท่ากับว่าสิทธิประโยชน์ของ
พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์จะไม่ได้รับไปในปริยาย" แหล่งข่าวกล่าว

โดยในส่วนการจัดตั้งกอง REIT หรือกองทรัสต์นั้น ตัวกองทรัสต์ไม่เสียภาษีนิติบุคคล แต่ผู้ลงทุน
ประเภทบุคคลธรรมดาต้องนำเงินปันผลมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งในส่วนของตัว
กองทรัสต์ที่ไม่เสียภาษีขณะนี้กรมสรรพากรก็กำลังศึกษาหาช่องทางจัดเก็บ ซึ่งน่าจะสามารถเก็บ
ภาษีจากด้านอื่นได้

ก.ล.ต. แจงขอฟังแนวคิดก่อน

นายธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า กระทรวงการคลังยังไม่ได้หารือ ก.ล.ต.เรื่องดังกล่าว ยัง
ไม่ทราบรายละเอียด และไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีผลอย่างไรเกิดขึ้น ปัจจุบันหลักเกณฑ์การลง
ทุนในกองทุนอสังหาฯ (กองที่ 1) นั้น ได้ยกเว้นภาษีให้กับนิติบุคคลซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียน
(บจ.) ที่เข้ามาถือหน่วยลงทุนก่อนหน้าที่จะมีการจ่ายเงินปันผล 3 เดือน และหลังจากจ่ายเงินปัน
ผล 3 เดือน ส่วนนิติบุคคลที่ไม่ใช่ บจ.จะได้รับการยกเว้นภาษีจากเงินปันผลครึ่งหนึ่ง

บลจ.วอนรัฐทบทวน

แหล่งข่าวผู้บริหาร บลจ.รายหนึ่งกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะทำให้ความต้องการออก
กองทุนอสังหาฯปีนี้หมดทันที เพราะหากเก็บภาษีผลตอบแทนของกองทุนลดลงไปจากเดิมที่นัก
ลงทุนเคยได้รับเฉลี่ยที่ราว 7-8% ต่อปี จนทำให้ บลจ.ในฐานะผู้ออกกองทุนขายหน่วยลงทุนยาก
ขึ้น

นอกจากนี้ หากคำนวณในแง่ผลประโยชน์ที่รัฐบาลจะได้รับถือว่าไม่คุ้มค่า เนื่องจากปัจจุบันพบว่า
ไทยมีกองทุนรวมอสังหาฯ 30-40 กองทุน จ่ายปันผลรวมทั้งสิ้นราว 1 หมื่นล้านบาท ถ้ารัฐเก็บ
ภาษี 20% จะได้เงินคืนเพียง 2-3 พันล้านบาท ซ้ำร้ายจะเป็นการทำลายตลาดการลงทุนด้วย

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นคือ ความมั่นใจนักลงทุนต่างชาติที่อาจจะมีมุมมองว่า ไทยปรับเปลี่ยน
นโยบายปิดโอกาสสร้างผลตอบแทน ต่างจากเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษา
และพยายามปรับรูปแบบลงทุนให้มีโครงสร้างคล้ายกองทุนรวมอสังหาฯกอง 1 ของไทย เพื่อ
ประโยชน์นักลงทุน ดึงดูดเงินเข้าประเทศ

นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย กล่าว
ว่า บริษัทได้รับมอบหน้าที่ในการเป็นผู้จัดการในการออกกองทุนอสังหาฯของกลุ่ม "นายเจริญ สิริ
วัฒนภักดี" ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างวางแผนที่จะออกกองทุนอสังหาฯกองใหม่ที่มีโรงแรมสินทรัพย์
อ้างอิง มูลค่าราว 3 หมื่นล้านบาท หากหลักเกณฑ์ในเรื่องการออกกองทุนมีความเปลี่ยนแปลง
บริษัทก็ต้องกลับมาพิจารณาอีกครั้ง

เมเจอร์-แลนด์ฯ ร้องยี้

ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วย
อย่างยิ่งที่จะเก็บภาษี เพราะปัจจุบันการตั้งพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์มีข้อจำกัดเรื่องขนาดกองทุนอยู่แล้ว
กองทุนควรจะต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท แต่ถ้ารัฐมีนโยบายจะเก็บภาษี ทำให้ผู้
ประกอบการที่เตรียมจัดตั้งกองทุนจะต้องคำนวณภาระภาษีเข้าไปอยู่ในหน่วยลงทุนซึ่งจะเป็น
อุปสรรคในการจัดตั้งพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ที่เวลาเหลือแค่ถึงสิ้นปีนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษานำ
โรงแรมมาราเกช หัวหิน ตั้งพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ มูลค่า 1,000 ล้านบาท แต่ถ้ารัฐจะจัดเก็บภาษีจริง
อาจทบทวนเรื่องราคาหน่วยลงทุน

ขณะที่นายอดิศร ธนนันท์นราพูล รองกรรมการผู้จัดการ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผยว่า
ภาษีที่ได้รับยกเว้นคือเรียกเก็บจากเงินปันผล ถ้าคลังจัดเก็บภาษีก็จะจูงใจการลงทุนน้อยลง
เพราะสิทธิพิเศษไม่แตกต่างจากกอง REIT ที่มีข้อดีคือ สามารถกู้เงินขยายขนาดกองทุนให้ใหญ่
ขึ้นได้อีก 30-35% ของมูลค่ากองทุน ขณะที่พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์มีข้อจำกัดกู้เงินขยายได้สูงสุดไม่
เกิน 10%

"ต้องรอดูว่าแนวคิดจะกลายเป็นนโยบายหรือไม่ แลนด์มีแผนจะตั้งพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ปลายปีนี้
คงต้องเร่งออกก่อนมีนโยบายใหม่ ๆ โดยเตรียมนำทรัพย์สิน 2 รายการ คือ เทอร์มินัล 21 กับโฮ
มโปรบางสาขา จัดตั้ง มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท"

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนระบุว่า ณ สิ้นปี 2555 มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ
พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์อยู่ที่ 139,527.88 ล้านบาท คิดเป็น 6% ของกองทุนรวมทั้งระบบ มีทั้งหมด 43
กองทุน ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างใช้ช่องทางการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาฯเพื่อรับสิทธิ
ประโยชน์ยกเว้นภาษี อาทิ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาฯ CPN รีเทล โกรท, กองทุนรวมสิทธิ
การเช่าอสังหาฯเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์สไตล์, กองทุนรวมสิทธิการเช่าตลาดไท, กองทุนรวม
อสังหาฯควอลิตี้ เฮ้าส์, กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาฯและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา รวมทั้งกอง
ทุนรวมอสังหาฯ ไทย คอมเมอร์เชียล อินเวสเม้นต์ (TCIF) ของกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เป็น
ต้น

CR : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detai...sid=1377749650

ข่าว true ครับ กรุงเทพธุรกิจ (24สค.56)

ข่าว true ครับ

กรุงเทพธุรกิจ (24สค.56) : TRUE_เลื่อนขอมติ ตั้งกองอินฟรา - อาจ... " เพิ่มทุน "
TRUE แจ้งเลื่อนประชุมผุ้ถือหุ้น ขอมติตั้งกองอินฟราฟันด์ , ชี้มีต้องศึกษารายละเอียดก่อน , นักวิเคราะห์ เผย TRUE กังวล กสท.ฟ้อง คาดอาจเพิ่มทุน

ศจ.พิเศษอธึก อัศวานันท์ รองปธ.กก. & หน.คณะผู้บริหารด้านกฎหมาย บ.มจ TRUE เปิดเผยว่า...
ตามที่ บริษัทได้กำหนดให้มีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2556 ในวันที่ 12 กย. 56 เพื่อพิจารณาการเข้าทำธุรกรรม ในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของบริษัท , โดยกำหนดให้วันที่ 7 สค. 56 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุม (Record Date) & วันที่ 8 สค. 56 เป็นวันรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้น โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น ตาม ม.225 แห่ง พรบ. 2535 & ที่แก้ไขเพิ่มเติม (วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น) ความละเอียดปรากฏตามหนังสือที่อ้างถึงนั้น
บริษัท พบว่า... การเข้าทำธุรกรรมกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก & เพื่อให้ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ มีเวลาเพียงพอ ที่จะทำการศึกษาเพื่อให้ความเห็น ต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เกี่ยวกับธุรกรรมการได้มา&จำหน่ายไป ซึ่งสินทรัพย์อันเนื่องมาจาก การเข้าทำธุรกรรมกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบริษัทฯ จึงเห็นควรให้เลื่อนวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2556 ออกไปก่อน

ทั้งนี้ ภายในเดือน กย. 56 บริษัทจะทำการกำหนดวันที่จะจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2556 ครั้งใหม่
รวมถึงข้อสรุปเกี่ยวกับวัน Record Date & วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น & จะแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทราบต่อไป

บล. TRINITY วิเคราะห์ว่า..
Trend_แนวโน้ม กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ของTRUE อาจจะต้องเลื่อนออกไป ซึ่งจากการสอบถามข้อมูลจากนักลงทุนสัมพันธ์ ของTRUE ในเบื้องต้น พบว่า คณะอนุญาโตตุลาการ มีคำสั่งยกฟ้องกรณี บ.จก กสท โทรคมนาคม หรือ กสท (CAT_เหมี๊ยววววว) เรียกร้องกรรมสิทธิ์ในเสาโทรคมนาคมจำนวน 4,500ต้น จากเสาทั้งสิ้นราว 13,000ต้น ที่ TRUE เตรียมนำเข้า นำทรัพย์สินเข้าไว้ในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม กสท. ยังมีโอกาสยื่นฟ้อง อีกครั้ง หลังหมดสัมปทาน & สนง.กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังคงให้น้ำหนักประเด็น ความชัดเจนในกรรมสิทธิ์ของเสาโทรคมนาคม ส่งผลให้คาดว่า แผนการจัดตั้งกองทุน มีแนวโน้มเลื่อนออกไปอย่างน้อยหลังหมดสัมปทาน ในวันที่ 15 กย. & จนกว่าจ ะได้ความชัดเจนในกรรมสิทธิ์ของเสาโทรคมนาคม

ด้านบล.Asia Plus กล่าวว่า...
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 นั้น TRUE มีการขาดทุนสุทธิ 3.1พันล้านบ. มากขึ้นถึง 3เท่า_จากไตรมาสที่1 เป็นผลมาจากการอัดฉีดงบโฆษณา ที่สูงขึ้น โดยธุรกิจ TRUE Mobile ขาดทุนปกติเพิ่มขึ้น 28%_จากไตรมาสก่อน เนื่องจาก การใช้งบโฆษณาสู้กับคู่แข่ง ขณะที่รายได้ค่าบริการทรงตัว ตามผลของช่วง Low Season , TRUE Online กำไรยังคงทรงตัว แม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 1.8%_จากไตรมาสก่อน ตามการเติบโตของสมาชิกใหม่ แต่ในส่วน TRUE Vision ขาดทุนเพิ่มขึ้น 71ล้านบ._จากไตรมาสก่อน จากรายได้ค่าสมาชิกลดลง
ส่งผลให้ TRUE ขาดทุนทั้งปี ในปีนี้ประมาณ7.7พันล้านบ. แต่จะสามารถ ลดการขาดทนได้ในปี2557 75% โดยคาดว่า การขาดทุนของทรูนั้นน่าจะลดลงในช่วงไตรมาสที่2 & รายได้ค่าบริการไตรมาสที่3 นั้นจ ะดีขึ้นจากไตรมาสที่2 & จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม สำหรับผลจากการขาดทุนของทรู ในปี '56 & Trend_แนวโน้ม ที่จะขาดทุนต่อเนื่อง ในปี '57 นั้น
จะเป็นตัวฉุด ให้ส่วนของผู้ถือหุ้นในสิ้น ปี '57 ติดลบ(-) & ะอาจส่งผลให้ TRUE เข้าข่ายบริษัทฯ ที่ต้องฟื้นฟูกิจการ ทันที! ทำให้คาดว่า...
TRUE ต้องเร่งตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานให้ได้ ในปีนี้ หรือต้นปีหน้า เพื่อรับรู้กำไรพิเศษจากการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน มาพยุงส่วนของผู้ภือหุ้นให้เป็นบวก(+) แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากไม่สามารถจัดตั้งกองทุนได้...

เลขาฯอังค์ถัดลั่นลด'คิวอี'ไม่กระทบไทย

เลขาฯอังค์ถัดลั่นลด'คิวอี'ไม่กระทบไทย

ชื่อ:  001.PNG
ครั้ง: 522
ขนาด:  267.6 กิโลไบต์

"ศุภชัย"ชี้"เฟด"ลดคิวอีกระทบไทยน้อย ระบุส่งผลดีช่วยป้องกันฟองสบู่เอเชีย เผยหุ้น-บอนด์ กว่า 80% เป็นผลจากสภาพคล่อง แนะปรับสมดุลลดพึ่งพาจีน

ความกังวลจากการลดขนาดการใช้มาตรการเชิงผ่อนคลาย หรือ คิวอี สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลก โดยเฉพาะเสถียรภาพค่าเงินของประเทศในเอเชีย ที่มีวิกฤติซ้อนขึ้นมาจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสะสมเป็นจำนวนมาก


อย่างไรก็ดี ในส่วนของประเทศไทยนั้น นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) กลับมองว่า ไทยไม่มีความจำเป็นต้องห่วงการลดคิวอีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแน่นอน เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทย รวมถึงในภูมิภาคเอเชีย พึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศมากเกินไป จนทำให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้น นำไปสู่ความเสี่ยงด้านฟองสบู่ในภาคต่างๆ ได้

"ผมคิดว่าถ้าเราจะห่วง ควรต้องเป็นห่วงในแง่ที่ว่า หากมีการใช้คิวอีต่อไปนานๆ อาจทำให้เกิดฟองสบู่แน่นอน เพราะช่วงที่ผ่านมาการขึ้นราคาของกระดาษทั้งหลาย ที่เป็นตัวพันธบัตรหรือในหุ้นเข้าใจว่า กว่า 80% มาจากเรื่องสภาพคล่อง ที่เหลืออีก 20% มาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภายในประเทศ ดังนั้นเราไม่ควรหวังพึ่งพาเงินเหล่านี้มากไป" นายศุภชัย กล่าว

ชี้พื้นฐานเศรษฐกิจไทยแกร่ง

เขาเชื่อว่า การที่เฟดลดขนาดการใช้คิวอีลง อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยบ้าง แต่คงไม่สร้างความเปราะบางทางพื้นฐานของเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เพราะโดยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแล้วถือว่ามีความแข็งแกร่ง และถ้าดูความสามารถการแข่งขันของไทยช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะภาคการส่งออก จะเห็นว่า แม้เศรษฐกิจยุโรปจะเข้าสู่ภาวะซบเซา แต่การส่งออกไทยที่ไปยุโรปยังเติบโตได้

เศรษฐกิจไทยหากจะเปราะบางคงไม่ได้อยู่ที่ความสามารถในการแข่งขัน แต่อยู่ที่กฎระเบียบ หรือกระบวนการทางกฎหมาย รวมถึงในเรื่องการบริหารจัดการด้านธรรมาภิบาลมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของวัตถุ

"ถ้าเขาเริ่มชะลอ และดึงเงินพวกนี้กลับไปบ้าง ผมคิดว่าเป็นเรื่องดี แม้จะกระทบเราบ้าง มันเหมือนกับว่า เราเป็นคนอ้วน เป็นเบาหวาน ดังนั้นเราก็ต้องกินน้อยลง การกินน้อยลงอาจทำให้ผอมลงบ้าง หรือเดินช้าลงบ้าง แต่เราจะแข็งแรงขึ้น" นายศุภชัย กล่าว

ขณะที่เศรษฐกิจในกลุ่มภูมิภาคเอเชียนั้น มีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจของกลุ่มเอเชีย โดยเฉพาะจีนในช่วงที่ผ่านมา มีการเติบโตที่สูงมาก และเป็นการเติบโตที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพนัก เนื่องจากรัฐบาลเน้นการอุดหนุนที่ค่อนข้างมาก รวมทั้งมีการสร้างกำลังการผลิตที่มากเกินไป ทำให้ต้องพึ่งพาการค้าขายระหว่างประเทศกัน ซึ่งจะมีผลเสียในกรณีที่เศรษฐกิจโลกชะลอ

แนะไทยควรลดการพึ่งพาจีน

นายศุภชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาจีนเริ่มมองเห็นความจำเป็นในเรื่องนี้บ้างแล้ว โดยจีนได้เริ่มลดการพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศลง สะท้อนผ่านการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงเหลือ 2% จากที่เดิมซึ่งเคยเกินดุลสูงถึง 9% ซึ่งการลดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของจีนนั้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน เพราะเป็นกลุ่มลูกโซ่เดียวกัน คือ มีการผลิตสินค้าเข้าไปขายในจีนมาก

"สำหรับไทยแล้ว แม้จะยังค้าขายกับจีนต่อไปได้ แต่ต้องคิดให้ดีว่า การพึ่งพาเศรษฐกิจใดมากเกินไป ก็ควรต้องทำให้มีความสมดุลมากขึ้น ผมคิดว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้มีความสมดุลที่ดีพอสมควร แต่อันดับต่อไปเราต้องขยายห่วงลูกโซ่อันนี้มาเป็นของเราเองที่มากขึ้น โดยเราต้องพยายามทำการวิจัยและพัฒนา หรือลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ตลอดจนการทำให้เกิดความสะดวกในการค้าชายแดน การขนส่งที่มากขึ้นด้วย" นายศุภชัย กล่าว

เขายังกล่าวถึง ระดับหนี้สาธารณะของรัฐบาลด้วยว่า ภาระหนี้ที่ 45% ของจีดีพีนั้น ถือว่าไม่สูง เพียงแต่แนวโน้มมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม ที่สำคัญต้องดูว่าเรามีหนี้สินระยะสั้นที่ต้องชำระพร้อมกันในเวลาเดียวหรือไม่ เพราะตรงนี้อาจส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทได้

เตือนรัฐเลิกกระตุ้นด้วยหนี้


นอกจากนี้ การลงทุนของภาครัฐนั้น เขาเห็นว่า รัฐบาลควรลงทุนในสิ่งที่ภาคเอกชนเอาไปทำงานต่อได้ เช่น การลงทุนในเรื่องเทคโนโลยี หรือลงทุนด้วยการอุดหนุนการฝึกแรงงาน โดยเฉพาะการพัฒนาแรงงานไร้ฝีมือ ซึ่งพวกนี้แม้จะใช้เวลาบ้าง 1-2 ปี แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ

"การลงทุนที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพการผลิต ทำให้เกิดการลงทุนต่อ และทำให้มีการศึกษาที่ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งพวกนี้ไม่ได้เป็นปัญหา แม้จะทำให้ระดับหนี้ต่อรายได้ประชาชาติขึ้นไปถึง 50-60% ก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นหนี้ที่ยั่งยืน ซึ่งหนี้พวกนี้เป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ เกิดการจ้างงาน" นายศุภชัย กล่าว

ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเป็นหนี้มากๆ นั้น เขากล่าวว่า เป็นวิธีที่ต้องระมัดระวัง เพราะไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ซึ่งวิธีการกระตุ้นการบริโภคที่ถูกต้อง ควรต้องบริโภคจากรายได้ที่มากขึ้น ส่วนการกระตุ้นการบริโภคด้วยหนี้นั้น เคยเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งวิกฤติซับไพร์มของสหรัฐ

การลงทุนในโครงการ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลนั้น นายศุภชัย กล่าวว่า สิ่งสำคัญสุด คือ เมื่อได้โครงการที่ชัดเจนแล้วต้องลงมือทำเลย เพราะเรื่องนี้เงินไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาอยู่ตรงที่โครงการซึ่งทำการศึกษาอยู่ในขณะนี้ไม่ชัดเจน

ชี้สหรัฐ-ยุโรปดีแค่ช่วงสั้น

นายศุภชัย ได้ขึ้นกล่าวในงานสัมมนาไทยแลนด์โฟกัส 2013 หัวข้อ "ผลกระทบของการปรับตัวสู่สมดุลของจีนที่มีต่อไทยและ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม)" ว่า แม้หลายคนจะเชื่อสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐและกลุ่มยุโรปจะเริ่มดีขึ้น แต่โดยส่วนตัวไม่เชื่อเช่นนั้น เพราะอาจเป็นการดีขึ้นเพียงช่วงสั้น และกลับลงไปอีก ดังนั้นการที่เงินทุนไหลออกจากเอเชีย เพื่อกลับไปลงทุนในภูมิภาคเหล่านั้น โดยเฉพาะในสหรัฐน่าจะต้องคิดให้ดี

"จากที่ได้พูดคุยกับผู้ที่มีหน้าที่ประเมินเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) หรือหน่วยงานอื่นๆ ต่างก็ยังเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจเอเชียยังคงเติบโตต่อไป มีความแข็งแกร่งมากกว่าภูมิภาคอื่นโดยเปรียบเทียบ" นายศุภชัย กล่าว

การที่เศรษฐกิจเอเชียเติบโตลดลง โดยเฉพาะจีนถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีภาวะวิกฤติทางการเงินการคลังในยุโรปหรือสหรัฐหรือไม่ เนื่องจากเอเชียจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาภายในตัวเอง ทุกประเทศต้องผ่านการปรับเศรษฐกิจให้มีความสมดุลอยู่เสมอ แม้แต่ยุโรปและสหรัฐ รวมถึงญี่ปุ่นก็ผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว

คาดสิ้นปีบาทกลับมายืนที่ 31.50


นายจิมมี่ โค หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนและวิจัยของธนาคารยูโอบี สิงคโปร์ กล่าวว่า การผ่อนคลายคิวอีของสหรัฐ จนเกิดภาวะเงินทุนไหลออก จนส่งผลต่อเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนในเอเชีย เห็นจากการอ่อนค่าของเงินอินโดนีเซีย ค่าเงินมาเลเซีย รวมถึง ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงตั้งแต่เดือนพ.ค. ที่ผ่านมา โดยเฉพาะค่าเงินบาทไทยลดลง 10% ต่อดอลลาร์ จากเดือนเม.ย. จนถึงปัจจุบัน

ความผันผวนรุนแรงเกิดขึ้น เป็นผลกระทบจากกระบวนการ ในการเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจแบบเดิม เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่มีมาตรการคิวอี โดยคาดจะเห็นค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อสิ้นสุดไตรมาส 3 แต่เชื่อเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนจะกลับมา โดยสิ้นปีนี้จะเห็นอัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพมากขึ้น และกลับมาอยู่ที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ใกล้เคียงกับปัจจุบัน

ชี้ ศก.ไทยซบยาว 1 ปีข้างหน้า

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวในงานสัมมนา "พลิกวิกฤติ สร้างโอกาส รับมือเศรษฐกิจไทยในอนาคต" ว่า ในเดือนก.ย. จะการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะเป็นช่วงเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มทยอยลดทอนการเข้าซื้อตราสารทางการเงิน หรือการทำ คิวอี ทำให้เงินทุนไหลออกไปมาก ส่งผลต่อค่าเงิน และตลาดหุ้นผันผวน

นอกจากนี้ ยังมี 2 ปัจจัยใหม่ที่ต้องเฝ้าติดตาม คือ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศเพื่อนบ้านเริ่มมีสัญญาณ โดยเฉพาะ อินเดีย และ อินโดนีเซีย เงินอ่อนค่ามาก ส่วนเกาหลีเริ่มมีสัญญาภาวะฟองสบู่ หลังมีตัวเลขหนี้ครัวเรือนสูงมากและอีกปัจจัยใหม่วิกฤติการเมืองซีเรีย กดดันให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น แต่หวังว่าเหตุการณ์จะไม่ยืดเยื้อยาวนาน

"เศรษฐกิจไทยถึงจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่เมื่อมีมาเจอภาวะเงินทุนไหลออก เศรษฐกิจอินโดนีเซียและอินเดีย ปัญหานี้จะอยู่กับเราอีกอย่างน้อย 1 ปีข้างหน้า แต่เศรษฐกิจปีนี้ยังโตได้ถึง 4% แต่หากมีเหตุการณ์รุนแรงในซีเรีย จะโตแย่ที่สุด คือ 3%"

กิมเอ็งชี้ไม่ซ้ำรอยวิกฤติปี 2540

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ว่า ขณะนี้นักลงทุนมีความกังวลความไม่ชัดเจนของนโยบายคิวอี ส่งผลให้ทิศทางการลงทุนผันผวน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจในแถบเอเชีย ซึ่งเคยเป็นภูมิภาคที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดี แทนที่สหรัฐกับยุโรป แต่ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวในหลายประเทศ และอีกหนึ่งปัจจัยวิกฤติการเมืองซีเรีย อาจทำให้นักลงทุนมีความตื่นตระหนก แต่คาดว่าไม่ใช่ปัญหาระยะยาว

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการลงทุนตอนนี้ ยังไม่น่ากังวลว่าจะซ้ำรอยเหมือนปี 2540 เพราะปัจจุบันหนี้สินต่อทุนของบริษัทส่วนใหญ่ อยู่ในภาวะต่ำคือ 2:1 เท่า ขณะที่ช่วงปี 2540 บริษัทยักษ์ใหญ่มีหนี้สินต่อทุนสูงถึง 1:3 เท่า

"หากไตรมาส 4 รัฐบาลมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ จะยังขับเคลื่อนต่อไปได้ และฟันธงว่าประเทศไทยจะไม่กลับไปสู่วิกฤติต้มยำกุ้งอย่างแน่นอน"


Tags : คิวอี • เฟด • ศุภชัย พานิชภักดิ์ • อังค์ถัด

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โบรกแนะเลือกซื้อ 8 บจ.ส่งสัญญาณรุ่งดัชนีลุ้นไปต่อ จับตาตัวเลขศก.ธปท. เก็งโบรกแนะเลือกซื้อ 8 บจ.ส่งสัญญาณรุ่งดัชนีลุ้นไปต่อ จับตาตัวเลขศก.ธปท. เก็ง 8 หุ้นLaggard Friday, 30 August 2013 8 หุ้นLaggard Friday, 30 August 2013

โบรกแนะเลือกซื้อ 8 บจ.ส่งสัญญาณรุ่งดัชนีลุ้นไปต่อ จับตาตัวเลขศก.ธปท. เก็ง 8 หุ้นLaggard


Friday, 30 August 2013



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้านี้ ณ เวลา 9.43 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 32.10 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียมีทั้งปรับตัวอยู่ในแดนบวกและแดนลบ นักวิเคราะห์คาดหุ้นไทยวันนี้มีลุ้นฟื้นตัวต่อ ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในรอบ 10 วัน แต่มูลค่าการซื้อขายเบาบาง วันนี้ต้องรอมูลค่าการซื้อขายว่าหนาแน่นเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่ไม่เน้นไล่ราคา จับตาตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ค.ของธปท. ในช่วงบ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคการบริโภค และการลงทุน เลือกซื้อ THRE, TTA, PTT, KKP, SCC, ASP, BGH, TICON และเก็งกำไรหุ้น cyclical ที่ laggard ได้แก่ TUF IRPC ESSO SCC SRICHA TTA IVL KCE

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ฟื้นตัวเป็นวันแรกในรอบ 11 วันทำการ ปิดบวก 1.31% มาอยู่ที่ 1,292.53 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 37,335 ล้านบาท
แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 10 วันทำการ แต่ก็เพียง 379 ล้านบาท แต่คงการ Short สุทธิใน Index Futures เป็นวันที่ 2 อีก 1,091 สัญญา และขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 8 อีก 2,833 ล้านบาท สะท้อนกระแสเงินทุนต่างชาติยังมีความเปราะบาง
MBKET ประเมินภาพ SET INDEX วันนี้จะไต่ระดับขึ้นเป็นวันที่ 2 เพื่อทดสอบ 1,300/10 จุดระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย จากภาวะการลงทุนที่ขาดปัจจัยลบใหม่เข้ากดดันการลงทุน อีกทั้งต่างชาติวานนี้กลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง ช่วยลดความกังวลของนักลงทุนภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม Upside Gain ยังคงจำกัด ด้วยความเปราะบางทางเศรษฐกิจของไทย
วันนี้ นักลงทุนควรติดตามตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ค.ของธปท. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคการบริโภค และการลงทุนภายในประเทศ ชะลอตัวเพิ่มเติมจาก 2Q56 หรือไม่ ซึ่ง MBKET เชื่อว่าจะยังเป็นทิศทางชะลอตัวต่อเนื่อง จะเป็นข้อมูลพื้นฐานเชิงลบต่อนักลงทุนต่างชาติ พร้อมกับผลการพิจารณาศาลปกครองต่อคำร้องฉุกเฉินเรื่องการขึ้นราคาก๊าซ LPG
ขณะที่การประชุมระหว่าง กลต – ตลท. วันนี้ต่อการหารือแนวทางการจัดตั้ง Thailand Fund อาจมีความคืบหน้า แต่ยังต้องใช้เวลาในการวางกรอบการลงทุน และการระดมทุนไม่น้อยกว่า 1.0 เดือน
ดังนั้น นักลงทุนระยะสั้นที่เข้าเก็งกำไรวานนี้ตามคำแนะนำ หรือ เข้าเก็งกำไรมาก่อนหน้านี้ การฟื้นตัวของ SET INDEX สู่ 1,300/10 จุด เป็นโอกาสของการขายทำกำไร และกลับมาถือเงินสด หรืออาจเป็นซื้อเก็งกำไรจบภายในวัน
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: MBKET แนะนำ ซื้อเก็งกำไรจบในวัน” ในหุ้นKKP
กลยุทธ์ทางเลือกวันนี้(S50U13): MBKET แนะนำ “วันนี้ท้ายสัปดาห์ ถ้าจะเน้นการเล่นรอบจบในวัน พอร์ตว่าง สังเกตระดับเปิด กรณีดึงเปิดดีดข้ามแนวต้าน 885 จุด” อาจดึงเพื่อรอไปเปิด Short ด้านบน 892-897 จุด
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า SET น่าจะฟื้นตัวต่อ หลังจาก 1,275 จุด (Expected P/E 13 เท่า) เป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง และถือว่าสะท้อนต่อข่าวร้ายไปมากพอควร กลยุทธ์ยังแนะให้ปรับพอร์ตถือหุ้น Global + Domestic Plays เลือก PTT (FV@B384) และ SCC (FV@B545) เป็น Top Picks
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ตลาดเริ่มบวกกลับซึ่งลุ้นต่อถึงสัปดาห์หน้าได้ ดังนั้นยังเน้นถือ-รอทำกำไร 
กลยุทธ์ : SET เริ่มบวกกลับทำให้ยังตามเทรดดิ้งต่อเนื่องได้ แต่ควรแบ่งส่วนขายทำกำไรช่วงบวกด้วย เพราะยังต้องระวังแรงขายกดดันให้ปรับตัวย้อนลงใหม่อีกครั้ง ส่วนพอร์ตลงทุนยังเน้นถือต่อเนื่องได้ แต่ถ้าจะซื้อเพิ่มพอร์ตยังไม่จำเป็นต้องซื้อในลักษณะไล่ราคา โดยแนะนำให้รออ่อนตัวค่อยซื้อเพิ่มดีกว่า
หุ้นเด่นทางเทคนิค :  THRE, TTA, IVL (SBL)
แนวโน้ม : ตลาดหุ้นต่างประเทศเช้านี้ยังค่อนข้างสดใส หลังได้รับแรงหนุนจากตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐที่ประเมินครั้งใหม่ดีขึ้นเกินคาด ประกอบกับนักลงทุนเริ่มคลายความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ในซีเรียลง โดยวานนี้เรายังเห็นแรงซื้อในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง รวมทั้งแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศที่เริ่มบางตาลง ทำให้ FSS คาดว่า SET ยังมีโอกาสแกว่งบวกขึ้นต่อ และมีลุ้นบวกไปจนถึงสัปดาห์หน้าด้วย อย่างไรก็ตามในจังหวะบวกขึ้นก็ยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีออกมากดดันเป็นระยะ ซึ่งจะทำให้ SET มีลักษณะแกว่งตัวผันผวนไว้ด้วย เนื่องจากคาดว่านักลงทุนบางส่วนยังต้องการรอดูความชัดเจนจากการตรวจสอบของ UN เกี่ยวกับกรณีการใช้อาวุธเคมีในซีเรีย และแนวทางการตอบโต้ของประเทศพันธมิตรอีกครั้ง รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของสหรัฐอาจเพิ่มแรงกดดันให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอมาตรการ QE ในการประชุมเฟดที่กำลังจะมาถึงได้ (ประชุมเฟด 17-18 ก.ย.)
แนวรับ  1290-1285 , 1280-1276 จุด  แนวต้าน  1296-1300 , 1306-1312 , 1322  จุด
บล.ไทยพาณิชย์ ระบุว่า SET พลิกกลับขึ้น จาก Sentiment บวก ไล่ตั้งแต่ GDP ฟิลิปปินส์ ซึ่งโตสูงกว่าคาด ขณะที่อินโดฯ เพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพื่อสกัดการอ่อนค่าของเงินรูเปียห์ และบ้านเรา จากประเด็นเตรียมจัดตั้ง Thailand fund ด้านแนวโน้มราคา เรามองวันนี้ช่วงแรกจะพลิกขึ้นได้ต่อ แต่ให้ระวังแนวต้านที่ 1308 และ 1315 จุด ตามระลอกการปรับตัวลงในภาพรวม ซึ่งดูเหมือนยังไม่จบ รวมถึงมีความกังวลต่อการเข้าโจมตีซีเรียในช่วงสุดสัปดาห์นี้ จะกระตุ้นแรงขายออกมาได้ กลยุทธ์ ไม่ต้องรีบ นักลงทุนรอการอ่อนตัวเพื่อเข้าซื้อตามแนวรับ ด้านหุ้นแนะนำ ได้แก่ ASP และ BGH
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ที่ขายแล้วเมื่อวาน ให้รอดูสถานการณ์ KGI มอง SET วันศุกร์บวกกรอบแคบ แนะรอ หลังให้ลดพอร์ตเมื่อวาน ปัจจัย 1. ความเสี่ยงเรื่องซีเรีย ลดลงในช่วงสั้นมาก หลังรัฐสภาฯ อังกฤษไม่อนุมัติการใช้กำลังทหาร ส่วนสหรัฐฯ รอผลตรวจอาวุธจาก UN ค่อยตัดสินใจ วันนี้หุ้นพลังงานอาจพัก เพราะราคาน้ำมันลงกว่า 1% 2. ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อนข้างดี ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด ส่วน GDP ไตรมาส 2 ที่ปรับปรุงใหม่โต 2.5% จากครั้งแรกโต 1.7% แต่ก็ทำให้ตลาดกังวลเรื่องชะลอ QE อีก โดยสัปดาห์หน้าจะมีตัวเลขว่างงาน และดัชนี ISM ชี้ทิศ QE อีก ส่วนบ่ายนี้ ธปท. รายงานเศรษฐกิจไทยเดือน ก.ค. หากเครื่องชี้บริโภค-ลงทุนอ่อนมาก จะกดดัน SET กลยุทธ์: ที่ขายหุ้นแล้ว แนะถือเงินสดเพื่อรอจังหวะซื้อ คาดสัปดาห์หน้ายังผันผวนหนัก
บล.กสิกรไทย ระบุว่า ขึ้นต่ออาจต้องเริ่มเน้นเสี่ยงขาย เก็งกำไรให้หมุนตัว/กลุ่มแนวโน้มตลาด: หุ้นไทยฟื้นตัวหลัง สศค. คาด GDP 3Q56 เติบโตเกิน 3% และเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และการส่งออก ก.ค. เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น ทั้งนี้ตลาดหุ้นโดยรวมเป็นบวก หุ้นตลาดเกิดใหม่โดยรวมฟื้นตัวเป็นบวก ตามทิศทางการฟื้นของค่าเงินที่ส่วนใหญ่ฟื้นจากจุดต่ำสุดในรอบหลายปี หลังธนาคารกลางหลายแห่งออกมาตรการเพื่อชะลอการอ่อนค่าอย่างรวดเร็วของสกุลเงินตนเอง ขณะเดียวกันหุ้นทางยุโรปปิดบวก อย่างไรก็ตามในระยะสั้นการบวกต่อของหุ้นโลกอาจเริ่มเจออุปสรรคจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาดี (อาทิ การรายงาน GDP 2Q56 ครั้งที่ 2 เมื่อคืนนี้ ซึ่งขยายตัว 2.5% YoY จากประมาณการครั้งแรกที่1.7%) กระตุ้นความกังวลต่อการชะลอ QE ที่อาจเริ่มตั้งแต่การประชุม FOMC 17-18 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ดังนั้นเรากำลังเข้าสู่ช่วงที่มีโอกาสเผชิญความผันผวนสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาหุ้นรายตัวเราเชื่อว่าหุ้นจำนวนมากปรับตัวลงจนเริ่มต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเป็นผลจากภาวะตลาดและการบังคับขายหุ้นจากบัญชีมาร์จิ้น (Forced sell) ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนจึงควรติดตามและทำการบ้านหุ้นที่สนใจให้ดี สำหรับนักเก็งกำไร 1) ถึงแม้กลุ่ม cyclical จะ Outperform ในรอบดีดตัวนี้ แต่การเก็งกำไรต่อยอดหลังหุ้นปรับขึ้นมา 2 วัน และน้ำมันเริ่มชะลอความร้อนแรงหลังประเด็นทำสงครามซีเรีย ติดอุปสรรคจากรัฐสภาอังกฤษไม่อนุมัติการใช้กำลังทางทหาร ทำให้ควรหมุนหาตัวที่ยัง laggard มากกว่าไล่ 2) หุ้นสื่อสารฟื้นตัวจากภาวะขายมากเกินมีแนวโน้มฟื้นต่อ แต่ประเมินระดับความปลอดภัยในการเก็งกำไรอีกราว 3-5% จากปัจจุบัน โดยรวมอาจเริ่มเห็นการหมุนกลุ่มหรือตัวหุ้นไปยัง laggard มากขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน: “มีโอกาสฟื้นต่อ แต่ควรเสี่ยงขายทำกำไรบ้าง ในระดับเกิน1300 โดยเฉพาะใกล้ 1320” การปรับลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และการกลับมาแข็งค่าของบาท ทำให้ตลาดยังมีโอกาสลุ้นฟื้นต่อ โดยอาจใช้ค่าเงินบาท 31.6-31.90 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ประกอบการวางกลยุทธ์ หุ้นแนะนำ TICON และเลือกเก็งกำไรหุ้น cyclical ที่laggard ได้แก่ TUF IRPC ESSO SCC SRICHA TTA IVL KCE
สำหรับนักลงทุนระยะกลาง: คงน้ำหนักการลงทุนที่ 60% หลังลดไป 20% ใน 2 ครั้ง (22ก.พ. และ 20 มี.ค.) จากที่วางแผนจะปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนขึ้น เราขอชะลอเพื่อประเมินภาพความผันผวนที่เกิดขึ้นจากการที่นักลงทุนให้พรีเมียมกับการลงทุนลดลง (de-rating) ก่อนปรับน้ำหนักการลงทุนอีกครั้ง (หุ้นสะสมระยะกลาง KTB SAT TNH SMK PTTGC AP)

อะไรจะยับยั้งสถานการณ์ในตลาดเกิดใหม่ได้? ต่างประเทศ วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556

อะไรจะยับยั้งสถานการณ์ในตลาดเกิดใหม่ได้?

ต่างประเทศ วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 5 คน 

ในขณะที่มีการสังหารหมู่ในตลาดเกิดใหม่ยังคงดำเนินต่อไป นักวิเคราะห์กล่าวว่า ผู้กำหนดนโยบายอาจจะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องดำเนินมาตรการที่รุนแรงมากขึ้นเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินที่ถูกทุบของพวกเขา ทางเลือกที่ผู้กำหนดนโยบายของประเทศเหล่านี้มีได้แก่ ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในขณะเดียวกันก็กำลังมีการพูดถึงมาตรการควบคุมเงินทุนเพื่อยับยั้งไม่ให้เงินทุนของต่างชาติไหลออก เมื่อวันพุธที่ผ่านมา บราซิลขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 9% สูงสุดในรอบ 16 เดือนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นอีกครั้งต่อเศรษฐกิจใหญ่สุดในอเมริกาใต้ ในขณะเดียวกัน คาดว่าอินโดนีเซียซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะทำตามเช่นกันเมื่อธนาคารกลางอินโดนีเซียประชุมฉุกเฉินในวันพฤหัสบดี (29 ส.ค.) บราซิลและอินโดนีเซีย อินเดีย ตุรกี และแอฟริกาใต้ ได้เป็นประเทศที่รับผลกระทบมากที่สุดเมื่อเกิดแรงเทขายในตลาดเกิดใหม่ นักวิเคราะห์กล่าวว่า การควบคุมเงินทุนเป็นทางเลือกหนึ่งที่ตลาดในตลาดเกิดใหม่อาจจะพิจารณา โดยมันถูกมองว่าเป็น หนทางสุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกด้านนโยบายเงินที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นในวิกฤติได้ บอริส ชลอสเบิร์ก กรรมการผู้จัดการบริษัท บีเค แอสเซ็ต แมเนจเมนต์ กล่าวว่า ได้เห็นเงินทุนหนีออกไปเป็นจำนวนมากจากไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และชาติเหล่านี้ได้ใช้มาตรการควบคุมเงินทุนเพื่อควบคุมมันหลายครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปในขณะนี้คือ ประเทศในตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่มีทุนสำรองดีมาก ดังนั้น จึงมีโครงสร้างด้านการคลังที่ดีกว่าเมื่อก่อน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในขณะนี้อันตรายมาก เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เงินรูปีอ่อนตัวลงมากกว่า 3% โดยทำสถิติต่ำสุดครั้งใหม่และเงินรูเปียอินโดนีเซียอ่อนตัวลงเหลือ 10,950 รูเปียต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 4 ปี แม้ชาทิบ บาสรี รัฐมนตรีคลังอินโดนีเซีย กล่าวว่า อินโดนีเซียไม่ได้พิจารณาควบคุมเงินทุน เพราะสถานการณ์ในขณะนี้แตกต่างกับวิกฤติเมื่อปี 2551 แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่า เมื่อความรู้สึกที่มีต่อวิกฤติในตลาดเกิดใหม่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเกิดความวุ่นวายขึ้นมาใหม่ทุกวัน จึงมีความจำเป็นมากขึ้นที่จะต้องควบคุมเงินทุน เจนส์ นอร์ดวิก หัวหน้าฝ่ายสกุลเงินทั่วโลกของโนมูระ กล่าวว่า ในเดือนมิถุนายนเมื่อเกิดคลื่นเทขายครั้งแรกในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก มันยังเร็วเกินไปที่จะแทรกแซง แต่ในขณะนี้มันเริ่มใกล้ถึงเวลามากขึ้นที่จำเป็นต้องเข้าแทรกแซงอย่างรุนแรง อินเดียได้ถูกโจมตีเป็นพิเศษที่ไม่ได้ดำเนินการมากกว่านี้เพื่อรองรับเศรษฐกิจจากความเป็นไปได้ที่จะมีการเข้มงวดสภาพคล่องทั่วโลก โดยในปีนี้เงินรูปีได้อ่อนตัวลงมากว่า 25% และตลาดหุ้นในท้องถิ่นได้ปรับตัวลง 7% เฉพาะในเดือนนี้เพียงเดือนเดียว ธนาคารกลางอินเดียกล่าวเมื่อวันพุธว่า จะจัดเตรียมเงินดอลลาร์ให้กับบริษัทน้ำมันโดยตรง ซึ่งเป็นความพยายามล่าสุดที่จะสนับสนุนค่าเงินรูปี นอกเหนือจากการเคลื่อนไหวเมื่อเร็วๆ นี้ เช่น ขึ้นภาษีนำเข้าทองคำและเงิน และเข้มงวดระเบียบเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ประชาชนและบริษัทในท้องถิ่นสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดเกิดใหม่อาจออกคำเตือนอย่างจริงจังต่อตลาดเหมือนกับที่มาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางสหรัฐทำเมื่อปีที่แล้วเมื่อความวิตกเกี่ยวกับปัญหาการเงินของสเปนก่อให้เกิดความวุ่นวายในตลาดยุโรป มีร์ซา เบก หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนของบีเอ็นเอ ปาริบาส กล่าวว่า หากธนาคารกลางอินเดีย ธนาคารกลางอินโดนีเซีย บราซิลหรือตุรกีทำแบบที่ดรากีทำ และกล่าวว่า “เราจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อปกป้องค่าเงินของเรา” มันอาจจะได้ผลหนึ่งหรือสองสัปดาห์ แต่ต้องเสียเงินเท่าไหร่? “การนำเงินสำรองมาปกป้องค่าเงินอย่างส่งเดช จะทำให้ประทศเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะถูกลดเกรดและสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงในระยะกลางนี้”

หุ้นเอเชียมีเสถียรภาพขึ้น ต่างประเทศ วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556

หุ้นเอเชียมีเสถียรภาพขึ้น

ต่างประเทศ วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 6 คน 

วอลล์สตรีท เจอร์นัล - อารมณ์ในตลาดหุ้นเอเชียมีเสถียรภาพขึ้นเมื่อวานนี้หลังมีสัญญาณว่าอาจจะมีการชะลอการโจมตีทางทหารต่อซีเรีย  แต่ตลาดส่วนใหญ่ยังต้องดูแลความบอบช้ำอย่างหนักที่เกิดจากความวิตกที่ว่าสหรัฐใกล้จะลดมาตรการกระตุ้นทางการเงินอย่างรุนแรงแล้ว โดยในเดือนสิงหาคม  ตลาดอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ปรับตัวลงมากสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติปี 51

                 แรงเทขายที่เกิดขึ้นทั่วเอเชียในเดือนสิงหาคมได้ส่งผลกระทบหนักที่สุดต่อหุ้นในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ทำให้เป็นเดือนที่เลวร้ายที่สุดสำหรับสองตลาดนี้นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินทั่วโลกเมื่อปี 2551 โดยในเดือนสิงหาคมซึ่งเหลือการซื้อขายอีกแค่วันเดียว  ดัชนีหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ได้ปรับตัวลง 11.4% และ 10.5% ตามลำดับ  ส่วนตลาดหุ้นไทยได้ถูกทุบไป 9.6% ในเดือนนี้ แม้ว่าจะแย่ยิ่งกว่านั้นในช่วงเดือนกันยายน 2554
                สามประเทศที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ที่เรียกว่าเศรษฐกิจ “TIP”  ได้มีแรงซื้อเพิ่มขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมาจนส่งผลให้การประเมินมูลค่าสูงเสียดฟ้า และทำให้ตลาดหุ้นของสามชาตินี้ มีผลงานดีที่สุดในเอเชียเมื่อต้นปีนี้   อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำนวนมากยังคงมองในด้านบวกว่า หุ้นได้ดีดตัวรวดเร็วและไกลเกินไปจึงเป็นธรรมดาที่จะต้องถดถอยลง
                เมื่อวานนี้ ตลาดฟิลิปปินส์รีบาวด์ขึ้น 3.6% หลังจากที่แถลงว่าจีดีพีในช่วงไตรมาสสองโต 7.5% ตามที่คาดและช่วยลดความวิตกที่ว่าเศรษฐกิจฟิลิปปินส์กำลังชะลอตัวลง
                ในขณะเดียวกัน อินเดียก็เป็นศูนย์กลางของพายุเช่นกันเพราะมีความวิตกเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นเงินรูปีที่อ่อนค่าลงในปีนี้ 12%   ส่วนหุ้นอินเดียปรับตัวลงแค่ 6% ในปีนี้
                ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดแรงเทขายคือผลตอบแทนสินทรัพย์ดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายในอนาคตของธนาคารกลางสหรัฐที่ได้ทำให้นักลงทุนทั่วโลกตื่นตระหนก  ซึ่งได้ทำให้ตลาดที่มีความเสี่ยงมีเสน่ห์น้อยลงและทำให้เกิดการถอนเงินออกจนทำให้เกิดหายนะสำหรับตลาดเกิดใหม่
                พันธบัตรก็ถูกทุบเช่นกัน โดยพันธบัตรดอลลาร์ของอินโดนีเซียที่ผู้จัดการกองทุนต่างชาติถือกันอย่างกว้างขวาง   ได้ปรับตัวลง 9.2% ในเดือนนี้ และจนถึงขณะนี้ปรับตัวลงไปแล้ว 18.8% ในปีนี้ ซึ่งอยู่ในอันดับที่แย่ที่สุดในภูมิภาค  ส่วนพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นก็ปรับตัวลง 4.2% ในเดือนนี้ และลดลง 16.4% ในปีนี้  ส่วนในฟิลิปปินส์ พันธบัตรดอลลาร์ปรับตัวลงเกือบ 3% ในเดือนสิงหาคม และลดลง 9.3% ในปีนี้ 
                สัปดาห์นี้ เอเชียได้รับผลกระทบตัวใหม่เมื่อมีความวิตกเพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเพราะมีสัญญาณว่า สหรัฐอาจจะโจมตีซีเรียหลังจากที่ใช้อาวุธนิวเคมีทำร้ายประชาชนในสัปดาห์ที่ผ่านมา  นักวิเคราะห์วิตกว่า การโจมตีทางทหารอาจส่งผลกระทบต่อชาติที่ผลิตน้ำมันอื่นๆ ในภูมิภาคและทำให้สหรัฐเข้าสู่สงครามที่ใช้เงินมากอีกครั้ง  อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แสดงท่าทีระมัดระวังเมื่อคืนวันพุธที่ไม่ตัดสินใจว่าจะโจมตีหรือไม่   จึงทำให้ตลาดโล่งใจขึ้น
                ราคาน้ำมันจึงปรับตัวลงเล็กน้อยเมื่อวานนี้ประมาณ 1.2% เหลือ 108.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในตลาดเอเชีย และเงินเยนก็อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในชั่วข้ามคืน จึงช่วยให้ดัชนีนิกเกอิ ปรับตัวขึ้น 0.9%
                ส่วนในตลาดหุ้นอื่นๆ  ดัชนีคอสปิของเกาหลีใต้ ปรับตัวขึ้น 1.2%  ดัชนี  S&P/ASX 200 เพิ่มขึ้นแค่ 0.1%  และในตลาดจีน ดัชนีฮั่งเส็งปรับตัวขึ้น  0.84% ขณะที่ดัชนีคอมโพสิต เซี่ยงไฮ้ ปรับตัวลง 0.2%
                ความวิตกที่ลดลงเกี่ยวกับซีเรียช่วยให้หลายตลาดมองไปที่ข้อมูลเศรษฐกิจ ซึ่งดัชนียอดขายบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จของสหรัฐ ลดลงเป็นเดือนที่สอง  แต่การแถลงผลประกอบการในจีนและออสเตรเลียกำลังเสร็จสิ้นลง และมีการรับข่าวเกี่ยวกับบริษัทใหญ่ๆ แล้ว 


เล็กเซียวหงส์ คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556

เล็กเซียวหงส์

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 6 คน 

เล็กเซียวหงส์ : หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม - อาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ.2556 หุ้นไทยปิดตลาด 1,292.53 จุด บวก 16.77 จุด มูลค่าซื้อขาย 37,334.76 ล้านบาท ถือเป็นการฟื้นตัวที่อยู่ภายใต้ความกังวลกับการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ ด้วยคำถามที่ว่า “แรงขายสะเด็ดน้ำหรือยัง.!?”
......................................................................
หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม - อาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ.2556 หุ้นไทยปิดตลาด 1,292.53 จุด บวก 16.77 จุด มูลค่าซื้อขาย 37,334.76 ล้านบาท ถือเป็นการฟื้นตัวที่อยู่ภายใต้ความกังวลกับการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ ด้วยคำถามที่ว่า “แรงขายสะเด็ดน้ำหรือยัง.!?” ”***หากย้อนดูดัชนีเฉลี่ยระดับ 1,270-1,300 จุด นับเป็นช่วงเริ่มต้นของเม็ดเงินทุนต่างชาติ ที่ไหลบ่าเข้ามาตลาดหุ้นไทย นั่นก็หมายถึงคำตอบกลายๆ ว่า “แรงขายเริ่มสะเด็ดน้ำ” แล้ว จึงเป็นการเลือกสรรหุ้นเข้าพอร์ตได้แล้ว แต่ต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด****หุ้น TMB ย่อตัวลงมามากจนต้องบอกว่าใครมีเงินเย็นๆ น่าเก็บเข้าพอร์ตเหลือเกิน เพราะดูแล้วเป็นหุ้นที่ปรับตัวลงมากสุดในกลุ่มแบงก์ และหากดูปัจจัยพื้นฐานกลางถึงยาว ถือว่าโดดเด่นไม่แพ้ใครเลยทีเดียว****หุ้น SMT เป็นอีกตัวที่น่าจับตาการรุกตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่RFID Tag ว่ากันว่าเป็นมากกว่าบาร์โค้ดธรรมดาที่ “เฮียพลศักดิ์” บอกว่า “นี่คือสินค้าตัวใหม่” ที่จะเป็นตัวทำกำไรให้กับ SMT ในอนาคตอย่างแน่นอน นอกเหนือจากสินค้า MMA และ IC ที่เป็นอยู่ขณะนี้****หุ้น JAS เริ่มกลับมาหลังเจอแรงขาย จนทำให้ข่าวดีเรื่อง “กองทุนโครงสร้างพื้นฐานจัสมิน 50,000-70,000 ล้านบาท” ถูกลืมไปชั่วขณะ แต่ความคืบหน้า ล่าสุดมีการตั้ง“บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง” เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าไม่เกินปลายปีนี้ “ไฟลิ่ง” น่าจะเสร็จสิ้นและเปิดขายหน่วยลงทุนต้นปีหน้า มีการประเมินตัวเลขแบบหยาบๆ ว่ากำไรจากกองทุนฯนี้ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับหุ้น JAS เฉลี่ย 3-5 บาท เลยทีเดียว นั่นหมายถึงราคาเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 10 บาทนั่นเอง****หุ้น INTUCH เรียกว่าเตรียมเข้าสู่ “ธุรกิจมีเดียและทีวี” อย่างชัดเจน หลังล่าสุดจัดตั้ง 2 บริษัท คือบริษัท อินทัช มีเดีย จำกัดและบริษัท ทัช ทีวี จำกัด น่าสนใจอย่างยิ่งว่าการรุกคืบของค่ายชินครั้งนี้ จะยิ่งใหญ่เหมือนธุรกิจมือถืออย่างที่เป็นอยู่หรือไม่...น่าติดตามจริงๆ****ปิดท้ายเช่นเคย พบกับข่าวหุ้นออนทีวี ช่วงวันจันทร์-ศุกร์ เวลา หรือว่าจะดูย้อนหลังผ่านhttp://www.springnewstv.tv/program/insidestock ละรายงานสถานการณ์หุ้น ช่วงเปิดตลาดเช้า Skype กันสดๆ จากกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ ผ่านรายการ “บันทึกเศรษฐกิจ : Economic Journal” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.20-10.30 น. การันตีข้อมูลข่าวสารแน่นเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง.! เพราะทุกโจทย์เรื่องหุ้น หาตอบโจทย์ได้ที่ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” เท่านั้น..!!!

ความเน่าเฟะธนาคารอเมริกัน คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556

ความเน่าเฟะธนาคารอเมริกัน

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 4 คน 

มีตัวเลขเชิงสถิติที่น่าสนใจ ที่บอกให้รู้ว่า ปัญหาธรรมาภิบาลที่พวกตะวันตกเคยใช้กับธุรกิจในประเทศกำลังพัฒนานั้น เป็นแค่คำพูดสวยหรูที่มีเจตนาเหยียดหยามแฝงอยู่อย่างชัดเจน
                นับตั้งแต่เกิดวิกฤตซับไพรม์เมื่อ 5 ปีก่อน จนกระทั่งถึงปัจจุบัน มีข้อมูลเปิดเผยล่าสุดว่า ธนาคารพาณิชย์ และวาณิชธนกิจระดับหัวแถว 6 แห่งของสหรัฐประกอบด้วย JPMORGAN CHASE & CO, BANK OF AMERICA, CITIGROUP INC., WELLS FARGO & COMPANY, GOLDMAN SACHS และ MORGAN STANLEY (เจ้าของดัชนี MSCI) จ่ายเงินค่าประนีประนอมยอมความ หรือค่าปรับไปแล้วรวมกัน 1.03 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการกระทำความผิดกฎกติกาสารพัดที่ถูกกล่าวหาโดยเจ้าหน้าที่หรือลูกค้า
                ข้อเท็จจริงดังกล่าว ถูกเปิดโปงเพิ่มเติมอีกว่า วงเงินที่จ่ายไปมหาศาลดังกล่าวเป็นคดีเพียงประมาณ 40% ของคดีทั้งหมดที่ถูกกล่าวหา หรือสถาบันการเงินทั้ง 6 ตกเป็นจำเลย ดังนั้น หากคำนวณดูจากความยุ่งยากของคดีที่เหลือหรือคั่งค้าง เชื่อได้เลยว่า มูลค่าที่จะต้องจ่ายชำระค่าคดีความต่างๆ อาจจะเพิ่มทวีมากกว่า 2 เท่าของที่จ่ายไปแล้วดังที่ปรากฏ
                อย่างน้อยที่สุด อัยการหรือเจ้าหน้าที่ของทางการสหรัฐหลายรัฐก็ยังมีการระบุเพิ่มเติมอีกว่า จะมีเรื่องอีกจำนวนมากที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมากล่าวหาสถาบันการเงินหรืออดีตผู้บริหารของสถาบันการเงินเหล่านี้เพิ่มเติมอีกในอนาคต นับหมื่นคดีเลยทีเดียว
ตัวเลขดังกล่าว เกิดขึ้นมาจากการสังเคราะห์งบการเงินของสถาบันการเงินทั้ง 6 แห่งที่กลับมาทำกำไรได้งดงาม จากการอุ้มชูของมาตรการ QE ทั้งหลายของเฟด ไม่รวมถึงสถาบันการเงินทั้งหลายที่งบถูกผู้ตรวจสอบบัญชีตั้งคำถาม หรือยังคงมีขาดทุนปรากฏให้เห็น หรือกำไรไม่แน่ไม่นอน
                เงินจำนวนดังกล่าว มีมูลค่าสูงกว่าเงินปันผลที่ธนาคารเหล่านี้จ่ายไปให้กับผู้ถือหุ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเสียอีก โดยที่ยังไม่รวมถึงคดีความที่ยังคาราคาซังไม่ถึงที่สุดตามกระบวนการอีกจำนวนมากมายกว่าที่ยุติไปแล้ว
                คำถามก็คือว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับความผิดจำนวนมหาศาลดังกล่าว สะท้อนธรรมาภิบาลของธนาคารและวาณิชธนกิจเหล่านี้ ซึ่งว่าไปแล้วยังมีเกรดสูงในเรตติ้งของ S&P  หรือ Moody’s ว่าต่ำเพียงไหน
                ยิ่งไปกว่านั้น หากเทียบกับปัญหาทั้งระบบของสถาบันการเงิน และบริษัทเอกชนที่ออกตราสารหนี้มาขายในท้องตลาด ซึ่งมีอีกนับหมื่นรายในสหรัฐ ก็จะยิ่งเข้าใจดีว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับการแก้ความบกพร่องที่ต้อง “ล้างชำระ” กันอย่างขนานใหญ่ในระบบการเงินและองค์กรธุรกิจของอเมริกันทั่วประเทศนั้นมหาศาลเพียงใด
                แล้วก็ไม่ควรแปลกใจว่าเหตุใด มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน หรือ QE ที่มีมาตั้งแต่ 1-4 จะได้ผลค่อนข้างต่ำ และเป็นที่มาของข้อถกเถียงว่า การยกเลิกหรือลดหย่อนมาตรการดังกล่าวที่กองทุน ETFs ทั้งหลายพากันหวาดผวาแล้วถอนเงินกลับจากตลาดเอเชียชนิดขายไม่ยั้งมันรุนแรงเพียงใด
                5 ปีผ่านไป คดีความที่เกิดจากข้อกล่าวหาว่า ชักชวนลูกค้าให้หลงผิดในการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือตราสารอนุพันธ์ ความผิดในการบิดเบือนอัตราดอกเบี้ยเลือกปฏิบัติ และปั่นราคาหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอนุพันธ์ในตลาดโภคภัณฑ์ ยังคงกองเป็นปึกๆ รอการรื้อฟื้นคดีขึ้นสู่ศาลโดยเจ้าหน้าที่และลูกค้าของสถาบันการเงินทั่วสหรัฐ
สถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่งระบุในหมายเหตุประกอบงบการเงินว่า ได้สำรองเงินสำหรับจ่ายค่าคดีความครึ่งหลังของปีนี้อีกจำนวนหนึ่ง เช่น Citigroup สำรองไว้ 1.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วน JPMorgan เตรียมสำรองไว้อีก 6.8 พันล้านดอลลาร์ Bank of America สำรองไว้อีก 2.8 พันล้านดอลลาร์ เป็นต้น
                 ปรากฏการณ์เช่นนี้ บ่งบอกชัดเจนว่า ธรรมาภิบาลที่พวกชาติตะวันตกเคยอ้างว่าเหนือกว่าชาติกำลังพัฒนาในตลาดเมื่อตอนวิกฤตต้มยำกุ้งในไทย และชาติอื่นๆ อย่างแพร่ระบาดเมื่อ 15 ปีก่อนโน้น เป็นเพียงข้อกล่าวหาที่ไร้สาระ เพราะกระบวนการตรวจสอบ กำกับดูแล และพฤติกรรมทางการเงินทั้งหลาย เข้าข่ายทำชั่วชนิด “เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำ” ทั้งสิ้น
                ความเสียหายของชาติกำลังพัฒนาที่กระทำโดยสถาบันการเงิน กลายเป็นเรื่องเล็กๆ ไปโดยปริยายเมื่อเทียบกับกระบวนการ และมูลค่าของความผิดที่กระทำโดยสถาบันการเงินอเมริกันทั้งระบบ และกลายเป็นคำอธิบายได้ชัดเจนว่าเหตุใดมาตรการ QE  จึงยังคงมีความสำคัญต่อพวกเขาอยู่ต่อไป
                แล้วก็ยิ่งเข้าใจนัยของความหมายที่ลึกซึ้งมากขึ้นไปอีกเมื่อมีนักวิเคราะห์ หรือสื่อจำนวนไม่น้อยพยายามกล่าวหาว่า การหยิบยกเรื่องข้อกล่าวหาทางด้านคดีความขึ้นมากล่าวหาสถาบันการเงินเหล่านี้ เป็นการกลั่นแกล้งราคาหุ้นที่กำลังวิ่งฉิวอย่างแข็งแกร่งในดัชนีดาวโจนส์
                ที่สำคัญกว่านั้นคือ ในระหว่างการช่วยเหลือทั้งหลายที่รัฐบาลอเมริกัน และเฟดได้กระทำเพื่อความอยู่รอดเต็มที่นั้น ไม่ได้ทำให้เกิดกระบวนการและพฤติกรรมที่โปร่งใสขึ้นกี่มากน้อย ซึ่งเป็นคำถามตามมาถึงความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจการเงินอเมริกันในปัจจุบันอย่างยิ่ง

อย่าใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556

อย่าใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 5 คน 

บ้านนี้เมืองนี้มืดมนสิ้นหวังจริงๆ หนอ กระทั่งสื่อระดับโลกอย่างนิวยอร์คไทม์ส ยังโดนทักษิณซื้อไปแล้ว (ฮา)

จาก “เราเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา” กลายเป็นประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่ในสภา ว่าแล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็เดินสายจับมือม็อบ หน้าเก่าๆ เดิมๆ ที่ตีโป่งว่ามีตั้ง 1 โหลกลุ่ม ประกาศจะรวมคนเป็นแสนไล่รัฐบาล แต่ขณะเดียวกันก็คาดการณ์ว่ารัฐบาลจะยุบสภา ให้เลือกตั้งใหม่ปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า

เอ๊ะ เอาไงแน่ คาดว่ารัฐบาลจะยุบสภา แทนที่จะเตรียมตัวหาเสียง กลับระดมม็อบมาล้มรัฐบาล แปลว่าไม่เชื่อการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตามวิถีทางประชาธิปไตย แปลว่านิวยอร์คไทม์สเข้าใจไม่ผิด

เลือกตั้งทีไรก็แพ้ แต่ ปชป.โทษซื้อเสียง ประชานิยม ชาวบ้านจน โง่ ไม่มีศีลธรรม

ปชป.ไม่เคยชะโงกดูตัวเองในกะโหลกกะลา ว่าเพราะเล่นการเมืองแบบนี้ จึงหนีห่างผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง น่าเสียดายที่ ปชป.ผูกขาดคะแนนคนใต้ และคนเกลียดทักษิณ ทำตัวยังไงก็เลือก ปิดโอกาสที่จะมีพรรคทางเลือกใหม่ เพราะรัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้ดีเด่อะไร ปัญหากำลังผุดขึ้นมาพะเรอเกวียน ถ้ายุบสภาจริง ก็คือยุบหนีปัญหาปากท้องและราคาข้าว ถ้าเป็นการเมืองในสถานการณ์ปกติ ไม่แน่นะ เพื่อไทยอาจจะแพ้

แต่เล่นการเมืองแบบ ปชป.กลับทำให้เพื่อไทยเข้มแข็ง เพราะบังคับให้คนเลือกว่าจะเอาประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง หรือจะเอาแมลงสาบ

ซึ่งก็มีคำตอบแล้วจากเอแบคโพลล์ล่าสุด 82% เชื่อมั่นระบอบประชาธิปไตย และ 73% ยังให้โอกาสรัฐบาลทำงานต่อ

ปชป.หาเสียงกับคนเกลียดทักษิณ เกลียดเสื้อแดง เพื่อไทยก็หาเสียงกับคนเกลียดมาร์ค เทือก เกลียด ปชป.แต่เพื่อไทยได้เปรียบ เพราะอิงระบอบประชาธิปไตย ขณะที่ ปชป.กลับไปปกป้องอำนาจลากตั้ง

การเมือง Dead Lock อย่างนี้ Dead เสียจนปิดโอกาสของพรรคทางเลือกที่ 3 ที่ 4 กระทั่งความคิดปฏิรูป ปชป.หรือ Primary Vote ในเพื่อไทย ก็เกิดไม่ได้

ในความขัดแย้งเช่นนี้ คนที่น่าสงสารคือชาวบ้าน ผู้เดือดร้อนกลุ่มต่างๆ ที่เรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งไปๆ มาๆ ก็ถูกม้วนเข้าไปในกระแสล้มรัฐบาล

ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือม็อบสวนยาง ซึ่งต้องยอมรับว่าเดือดร้อนจริง ราคายางแผ่นรมควัน กก.ละ 60-70 บาท แต่ถ้าไล่ดูความเป็นมาทั้งหมด สถานการณ์ไม่น่าบานปลายถึงเพียงนี้

ตอนแรกที่ชุมนุมกัน ชาวสวนยางเรียกร้อง กก.ละ 91 บาท รัฐบาลจะให้ 80 บาท ซึ่งชาวสวนส่วนหนึ่งยอมรับ ถ้าใครไม่พอใจก็เจรจาต่อรองกันต่อไป แต่กลับมีกลุ่มที่จะเอา 120 บาท ปิดถนนปิดรถไฟ ทำให้คนใต้ด้วยกันเองเดือดร้อน

ผมก็ไม่อยากกล่าวหาง่ายๆ ว่าฝ่ายค้านอยู่เบื้องหลัง เพราะชาวสวนเดือดร้อนจริง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ตัวแทนสวนยางต้องไปประกาศปิดถนนที่ร้านกาแฟประชาธิปัตย์ ขณะเดียวกันก็ไม่อาจปฏิเสธว่า พวกจ้องไล่รัฐบาลฉวยม็อบไปกระพือ ทั้งฝ่ายค้าน สื่อ ยุยงส่งเสริม จนทำให้ม็อบชาวสวนยางตกไปอยู่ใต้ร่มธงล้มรัฐบาล ชาวสวนเขาเสียหายนะครับ และเสียความชอบธรรมไปด้วย

เช่นกัน มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค มีสิทธิที่จะเคลื่อนไหวคัดค้านการขึ้นราคา LPG โดยควรจะโต้แย้งกันอย่างมีเหตุผล แต่ไปๆ มาๆ ก็ถูกผสมโรงทั้งพวก “ทวงคืน ปตท.” และกองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ ชูป้ายประเทศไทยเป็นเศรษฐีน้ำมัน ให้ชาวโลกหัวร่อด้วยความสมเพช ค้านแบบนี้ มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง

นี่คือเรื่องที่น่าห่วง อย่าทำให้การใช้สิทธิเรียกร้องในระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นเครื่องมือของพวกไม่เอาประชาธิปไตย เพราะความเดือดร้อนจะตกไปอยู่ที่ประชาชนเสียเอง