วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

GPSCกำไรปีนี้2พันล. จ่อปันผลระหว่างกาล :โบรกฯเชียร์ซื้อเป้า 33 บาท ยีลด์สูงเกิน 3%

GPSCกำไรปีนี้2พันล.
จ่อปันผลระหว่างกาล
:โบรกฯเชียร์ซื้อเป้า 33 บาท ยีลด์สูงเกิน 3%

2015-05-19 

"GPSC" เหมาะถือลงทุนระยะยาว ธุรกิจมีแนวโน้มเติบโต ผู้บริหารลั่นกำไรปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท เล็งพิจารณาจ่ายปันผลระหว่างกาลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิ โบรกฯเชียร์ซื้อ คาดปันผลยีลด์ปีละ 3.5-4.5% เป้าราคา 33 บาท

นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT  และประธานกรรมการ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC กล่าวว่า สำหรับราคาหุ้นในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (SET) ที่เปิดต่ำกว่าราคาไอพีโอ เนื่องด้วยปัจจัยภายนอกโดยตลาดทุนไม่ดี แต่หุ้นมีความโดดเด่น โดยเป็นหุ้นที่น่าลงทุนในระยะยาว จากการดำเนินธุรกิจและมีผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ซึ่งจากการที่ GPSC อยู่ในกลุ่มปตท.จึงเป็นหุ้นพื้นฐานที่มีผลตอบแทนสม่ำเสมอ
ขณะเดียวกัน GPSC มีสินทรัพย์ที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งจะมีโครงการที่จะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ ด้านสัดส่วนการลงทุนประมาณ 30% เป็นการลงทุนต่างประเทศ และ 20% เป็นการลงทุนด้านพลังงานทดแทน จึงเป็นหุ้นอนาคตที่มีรายได้สม่ำเสมอ
ดังนั้น ปีนี้คาดว่าผลการดำเนินงานจะไม่ต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งในไตรมาส 1/58 ออกมาดี ส่วนในไตรมาส 2/58 เนื่องจากภาวะอากาศที่ร้อน ความต้องการใช้ไฟฟ้าน่าจะสูงมาก ก็น่าจะส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรกมีผลการดำเนินงานที่ดี และมีการจ่ายปันผลได้ โดยตามนโยบายเงินปันผลที่ไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิ
นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปีนี้ บริษัทน่าจะมีกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยน่าจะไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท หลังจากที่ไตรมาส 1/58 มีกำไรเติบโต 531 ล้านบาท เติบโตกว่า 400% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยขณะนี้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 1,300 เมกะวัตต์ คาดว่าสิ้นปีจะทยอยเพิ่มขึ้นเป็น 1,400 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 600-1,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2562 ซึ่งเน้นการเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้า ลงทุนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยขณะนี้มีเจรจาอยู่ประมาณ 2 ราย คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ โครงการในอนาคตของบริษัทประกอบด้วย โครงการบริหารจัดการขยะครบวงจร จ.ระยอง รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะพัฒนาและร่วมลงทุนในโรงไฟฟ้าประเภทต่างๆ ทั้งในประเทศ และภูมิภาคใกล้เคียง เช่น เมียนมาร์ (พม่า), สปป.ลาว, กัมพูชา และอินโดนีเซีย
“ขณะนี้บริษัทได้มีการเข้าไปลงทุนโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นประมาณ 100 เมกะวัตต์ รวมถึงยังเตรียมที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าในประเทศพม่ามูลค่าโครงการหลายแสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมประมูลโครงการดังกล่าวหลายราย อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าจะสามารถสรุปความคืบหน้าของโครงการในพม่าได้เร็วๆ นี้”
สำหรับราคาหุ้นที่เปิดต่ำกว่าราคาไอพีโอเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุน ซึ่งในระยะยาวราคาหุ้นน่าจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงตามแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอนาคต ซึ่งสะท้อนจากไตรมาส 1/58 และโครงการต่างๆ จะทยอยแล้วเสร็จ ประกอบกับการจ่ายปันผลในอัตราที่ไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ โดยจะพิจารณาการจ่ายปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้น เพื่อให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (18 พ.ค. 58)  GPSC เปิดตลาดที่ 26.25 บาท ระหว่างวันปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 27.25 บาท ก่อนปิดตลาดที่  26 บาท ลดลง 1 บาท หรือปรับลดลง 3.70% จากราคาไอพีโอที่ 27 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 3,538 ล้านบาท 
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในปี 2558 บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 1,974 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3%  เมื่อเทียบกับปีก่อน รับรู้กำไรจากโครงการ IRPCCP–I  และในปี 2559 เริ่มรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้านวนคร (NNEG) จะทำให้มีกำไรสุทธิ 2,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนปี 2560 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2,660 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5%  เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเริ่มรับรู้กำไรจากโครงการ IRPCCP–II, NL1PC และ BIC2 ที่จะเริ่มเปิดดำเนินการในปี 2560 นอกจากนี้โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี (XPCL) จะเริ่มผลิตไฟฟ้าในปี 2562 ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 3,847 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน  
อย่างไรก็ตาม ได้ประเมินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 33 บาท โดยแต่ละโครงการตามประเภทและขนาดของโรงไฟฟ้าทั้งหมด 10 โครงการ (ขนาดกำลังการผลิต 1,851 เมกะวัตต์) ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจะได้มูลค่าเหมาะสมตามปัจจุบันพื้นฐาน 33 บาทต่อหุ้น และยังให้อัตราผลตอบแทนของเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยปีละ 3.5-4.5% นอกจากนี้ยังไม่รวมอัพไซด์ (Upside) จากมูลค่าโครงการโรงไฟฟ้าที่ได้เซ็น MOU ทั้งในพม่าและระยองและอื่นๆ อีก 600-1,000 เมกะวัตต์

:PTT ลั่น Q2 พลิกสต๊อกเกน
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT คาดว่า ในไตรมาส 2/58 บริษัทจะพลิกกลับมามีกำไรจากการสำรองน้ำมัน หากราคาน้ำมันดิบยังอยู่เหนือระดับ 60 เหรียญต่อบารเรลล์  ส่วนแผนการนำบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจโรงกลั่นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะมีการยื่นไฟลิ่งในช่วงครึ่งปีหลัง และเข้าซื้อขายได้ทันภายในปีนี้ 
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมแผนเพื่อแยกธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและกลุ่มธุรกิจ non-oil อย่างธุรกิจร้านสะดวกซื้อออกมาเป็นอีกบริษัทหนึ่ง เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างทางธุรกิจให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/58 ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่เนื่องจากยังมีประชาชนจำนวนหนึ่งมองว่า ปตท.มีกำไรระดับ 20,000 ล้านบาท มาจากธุรกิจการขายน้ำมันสำเร็จรูป ทั้งที่จริงแล้วกำไรส่วนใหญ่มาจากบริษัทย่อยต่างๆ ที่ทำธุรกิจน้ำมันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น