วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

‘วิชัย’ซื้อBTS13ล้านหุ้น


‘วิชัย’ซื้อBTS13ล้านหุ้น

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 16 คน 

“วิชัย ทองแตง” โผล่ถือหุ้น BTS รวดเดียว 13 ล้านหุ้น คาดต้นทุนเฉลี่ย 9 บาท ใช้เงิน 117 ล้านบาท วงการเชื่อต้องเห็นอะไรดีๆ ใน BTS เหตุเม็ดเงินไม่ใช่น้อยๆ ด้าน “คีรี” โชว์ผลประกอบการปี 55 กำไร 2.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 22% พร้อมปันผลผู้ถือหุ้นระยะยาว

            แหล่งข่าวจากวงการตลาดทุน เปิดเผยว่า นายวิชัย ทองแตง ผู้บริหารและนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้น เข้าซื้อหุ้นบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ BTS เพื่อการลงทุน จำนวน 13 ล้านหุ้น โดยจากที่ก่อนหน้านี้ นายวิชัยไม่เคยเข้ามาถือหุ้น BTS มาก่อน
                “นายวิชัยเข้ามาถือหุ้น BTS ก่อนหน้าที่จะมีการปิดสมุดทะเบียนของ BTS โดยเข้ามาถือหุ้นจำนวน 13 ล้านหุ้น ซึ่งคาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 110 ล้านบาท โดยคิดค่าเฉลี่ยต้นทุนที่ราคาหุ้นละ 9 บาท ซึ่งเชื่อว่าการเข้าถือหุ้นครั้งนี้ต้องมองเห็นอะไรบางอย่างใน BTS ถ้าไม่เช่นนั้น คงจะไม่ยอมสละเงินจำนวนดังกล่าวเข้ามาถือหุ้น BTS เพราะตัวเลขดังกล่าวเป็นเม็ดเงินจำนวนไม่ใช่น้อย”
                ทั้งนี้ เชื่อว่าการเข้าถือหุ้น BTS ของนายวิชัยคงต้องหวังผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างแน่นอน ถ้าไม่เช่นนั้นคงจะไม่ยอมใส่เงินเข้ามาเพื่อถือหุ้น
นายคีรี  กาญจนพาสน์  ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร  บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ BTS  เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2555 (เม.ย. 54-มี.ค. 55) ว่า BTS มีกำไรสุทธิ 2,736.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.4% จากปีก่อน และกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น 2,488.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.2% ซึ่ง BTS จะจ่ายเงินปันผลรวม 4,3591.1 ล้านบาท ในอัตรา 0.045 บาทต่อหุ้น โดยมีกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 9 สิงหาคมนี้
ทั้งนี้ BTS มีรายได้จากการดำเนินงานรวม  10,375.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.4% เนื่องจากมีการรับรู้รายได้ที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำจากการจำหน่ายเงินลงทุนของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลักของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดินที่กรุงเทพฯ และภูเก็ต) ประกอบกับรายได้ธุรกิจระบบขนส่งมวลชน ธุรกิจสื่อโฆษณา และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น
                โดย BTS มีรายได้ธุรกิจระบบขนส่งมวลชนปี 2555 จำนวน 6,015.5 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 19.5% จากปีก่อน  เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากรายได้ค่าโดยสารเพิ่มขึ้น 13.9% อยู่ที่ 4,895.5 ล้านบาท เพราะจำนวนผู้โดยสารและอัตราค่าโดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อน เป็น 24.8 บาทต่อเที่ยว โดยมีปริมาณผู้โดยสารรวม 197.2 ล้านเที่ยวคน เพิ่มขึ้น 12% ถือเป็นสถิติสูงสุดนับแต่ BTS เปิดดำเนินงานมา ซึ่งผู้โดยสารเฉพาะวันธรรมดาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 11.4% อยู่ที่ 603,534 เที่ยวคน  ปัจจัยหนุนคือ การเติบโตตามธรรมชาติอย่างต่อเนื่องของธุรกิจ ความนิยมในการเดินทางโดยระบบรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า  การเปิดให้บริการเต็มปีในส่วนต่อขยายอ่อนนุช-แบริ่ง เมื่อเดือนสิงหาคม 2554 และจำนวนรถไฟฟ้าที่ให้บริการเพิ่มขึ้น โดยสายสุขุมวิทได้เปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าแบบ 4 ตู้ต่อขบวนทั้งหมด
                สำหรับต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายและบริการของธุรกิจระบบขนส่งมวลชน เพิ่มขึ้น 14.8% หรือ 463.0 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากผู้โดยสารเพิ่มขึ้น โดยต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายและบริการหลัก ได้แก่ ค่าเสื่อมราคาจากผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น, ระบบอาณัติสัญญาณใหม่ และจำนวนรถที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นที่ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มพนักงานสาหรับส่วนต่อขยาย อ่อนนุช-แบริ่ง รวมไปถึงนโยบายการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ
ด้านธุรกิจสื่อโฆษณามีรายได้รวม 2,794.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 835.8 ล้านบาท มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 40% เนื่องจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทุกธุรกิจ โดยมีรายได้จากสื่อโฆษณาใน BTS จำนวน 1,379.4 บาท เพิ่มขึ้น 22.6% เพราะรายได้จากสื่อโฆษณาในขบวนรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ทั้งสื่อโฆษณาภาพนิ่งและสื่อดิจิตอลบนรถไฟฟ้าขบวนเดิมและบนรถไฟฟ้า 12 ขบวนที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี 2554 การเพิ่มขึ้นของรายได้จากสื่อโฆษณาบนสถานีรถไฟฟ้าจากการใช้พื้นที่โฆษณาเพิ่มขึ้น และการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าเช่าพื้นที่ร้านค้าบนสถานีรถไฟฟ้า
รายได้จากสื่อโฆษณาในโมเดิร์นเทรด อยู่ที่ 1,249.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.7% หรือ 495.5 ล้านบาท เพราะบริษัทมีรายได้จากสื่อโฆษณาภาพนิ่ง การรับจ้างผลิตสื่อโฆษณา และจากรายได้จากสื่อวิทยุ ณ จุดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากสัญญาให้สิทธิโฆษณาเพิ่มเติมบนพื้นที่ Sales Floor ของ Big C และ Tesco Lotus ที่ได้รับสิทธิเพิ่มเติมตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2554 (เม.ย. 53-มี.ค. 54) และผลประกอบการในปี 2554 ที่ต่ำกว่าปกติจากสถานการณ์น้ำท่วม ขณะรายได้จากสื่อโฆษณาในอาคารสำนักงานและสื่ออื่นๆ อยู่ที่ 165.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107.0% หรือ 85.7 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมอนุมัติการจ่ายปันผล  สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีถัดไปอีก 3 รอบ ได้แก่ รอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2557-31 มีนาคม 2559 บริษัทฯ มีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นจากกำไรสุทธิ และ/หรือกำไรสะสม เป็นจำนวนดังต่อไปนี้ 1.ไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท  สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่  31 มีนาคม 2557
2.ไม่น้อยกว่า 7,000 ล้านบาท  สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่  31 มีนาคม 2558 และ 3.ไม่น้อยกว่า 8,000 ล้านบาท  สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่  31 มีนาคม 2559
ทั้งนี้ ความสามารถของบริษัทฯ ในการจ่ายเงินปันผลเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า  21,000 ล้านบาท ใน 3 รอบระยะเวลาบัญชีนั้น จะมาจากกำไรจากการดำเนินงานและกำไรพิเศษจากธุรกรรมกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น