‘ทัศพล’ขายบิ๊กล็อตAAV
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2556 ผู้เข้าชม : 9 คน
“ทัศพล” เทขายหุ้น AAV 235 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.8% รับทรัพย์ 1,527.50 ล้านบาท แจงนำเงินไปตั้งสายการบินใหม่ร่วมทุนกับมาเลเซีย ระบุเล็งจัดหาเครื่องบินบิ๊กไซด์ให้บริการเส้นทางระหว่างประเทศบินนานเกิน 4 ชั่วโมง
นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย และกรรมการ บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตนเองได้ทำการขายหุ้น AAV ที่ถืออยู่ออกไปจำนวน 235 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 4.8% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดผ่านการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot) ในราคาขายหุ้นละ 6.50 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 1,527.50 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปลงทุนในธุรกิจ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของสายการบินไทยแอร์เอเชียในอนาคต และนำไปลงทุนในธุรกิจส่วนตัวอื่นๆ รวมถึงจ่ายชำระภาระทางการเงินส่วนตัว
ทั้งนี้ หลังจากการทำรายการดังกล่าว ตนเองยังคงรักษาสัดส่วนในการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน AAV ที่ 28.2% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด และยังคงดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารต่อไป โดยการทำรายการดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการบริหารงาน และการดำเนินธุรกิจของบริษัท
นายทัศพล เปิดเผยต่อว่า เงินจากการขายหุ้นครั้งนี้จะนำมาต่อยอดใน 2 ธุรกิจ คือ การลงทุนจัดตั้งสายการบินใหม่ โดยร่วมทุนกับสายการบินแอร์เอเชียมาเลเซีย และตนเองจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีวัตถุประสงค์ที่จะจัดหาเครื่องบินขนาดใหญ่มาให้บริการเฉพาะเส้นทางบินระหว่างประเทศที่บินเกิน 4 ชั่วโมง เพื่อนำผู้โดยสารมาส่งต่อให้กับสายการบินไทยแอร์เอเชีย เสมือนเป็นการเอื้อประโยชน์กัน และจะไม่มีเส้นทางบินที่ทับซ้อนกัน ซึ่งเชื่อว่าปลายปีนี้สายการบินใหม่ดังกล่าวจะเริ่มให้บริการได้ นอกจากนี้ จะนำเงินส่วนหนึ่งมาพัฒนาธุรกิจโรงแรมระดับ 2-3 ดาว ที่ขณะนี้มีอยู่ 2 แห่งบริเวณถนนเพชรบุรี เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีน
“ผมจะนำเงินจากการขายหุ้นมาลงทุนใน 2 เรื่อง คือ โปรเจ็กต์โรงแรมที่ตอนนี้เราทำอยู่ 2 แห่ง ระดับ 2-3 ดาว ตรงถนนเพชรบุรี รองรับนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นหลัก และอีกโปรเจ็กต์หนึ่งคือผมจะตั้งสายการบินใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับไทยแอร์เอเชีย คือ ไม่ได้เป็นบริษัทลูกหรือร่วมทุนกัน แต่ผมจะร่วมทุนกับมาเลเซียโดยผมถือหุ้นใหญ่ เนื่องจากตอนนี้ไทยแอร์เอเชียมีแต่เครื่องบินเล็กที่บินนานเกิน 4 ชั่วโมงไม่ได้ ซึ่งสายการบินใหม่นี้จะใช้เครื่องบินใหญ่ขึ้น บินเฉพาะเส้นทางระหว่างประเทศที่บินเกิน 4 ชั่วโมง โดยใช้ไทยเป็นฐาน และนำผู้โดยสารมาส่งต่อให้ไทยแอร์เอเชีย เป็นการเกื้อหนุนกัน ไม่มีเส้นทางทับซ้อนกัน แต่ตอนนี้เราขออุบรายละเอียดไว้ก่อน บอกได้แค่ว่าปลายปีนี้จะเริ่มให้บริการได้” นายทัศพล กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2556 (เม.ย.-มิ.ย.) จะดีกว่าปีที่แล้วแน่นอน เพราะล่าสุดมีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารต่อเที่ยวบิน (Cabin Factor) 81-82% ขณะปีก่อนอยู่ที่ 78% ซึ่งปัจจัยหนุนที่สำคัญคือสถานการณ์ภายในประเทศสงบ และราคาน้ำมันไม่ผันผวน ส่วนช่วงครึ่งปีหลัง (ก.ค.-ธ.ค.56) เชื่อว่าการท่องเที่ยวภายในประเทศจะเติบโตดีที่ 20-25% ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจสายการบินเติบโตไปด้วย สำหรับไทยแอร์เอเชียแล้วทั้งปริมาณผู้โดยสารและรายได้ก็จะเติบโตในระดับ 20-25% ตามการท่องเที่ยวเช่นกัน ส่วนเรื่องเงินบาทแข็งค่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบแบบมีนัยสำคัญกับผลประกอบการ เพราะไทยแอร์เอเชียมีรายได้เป็นสกุลเงินบาทที่ 70%
“ไตรมาส 2 ปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้วแน่นอน เพราะ Cabin Factor เราเพิ่มขึ้นตอนนี้อยู่ที่ 81-82% เนื่องจากทุกอย่างนิ่ง น้ำมันนิ่งก็ทำให้ทุกอย่างออกมาดี ส่วนครึ่งปีหลังผมยังมองว่าการท่องเที่ยวในประเทศจะโตที่ 20-25% แน่นอนว่าธุรกิจสายการบินจะได้รับประโยชน์ ซึ่งผู้โดยสารและรายได้ของเราก็จะโตประมาณนี้เช่นกัน” นายทัศพล กล่าว
ส่วนกรณีที่นกแอร์มีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ประมาณปลายเดือนมิถุนายนนี้นั้น นายทัศพล ระบุว่า ไทยแอร์เอเชียมีปริมาณผู้โดยสารและเส้นทางบินที่มากกว่านกแอร์หลายเท่า โดยปัจจุบันมีเส้นทางบินต่างประเทศถึง 13 เส้นทาง ขณะที่นกแอร์ยังไม่มี ไทยแอร์เอเชียจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีคู่แข่ง แต่ถือเป็นเรื่องดีที่นกแอร์เริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะจะทำให้ตลาดการบินเติบโตมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น