วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หุ้นไทยพักฐาน-แนวรับ 1,575 จุด

 

     
 
   

      
    หุ้นไทยพักฐาน-แนวรับ 1,575 จุด

              

     
  หุ้นไทยทำแสบร่วงหนัก กว่า 23 จุด หรือ 1.46% ก่อนหยุดยาว รวม 2 วันหลังสุด ร่วงแล้วกว่า 35 จุด หลังทั่วโลกกังวลเฟดส่งสัญญาณชะลอแผน QE ตัวเลขเศรษฐกิจจีนออกมาไม่ดี นักลงทุนเริ่มเทขายทำกำไร หลังดัชนีเข้าใกล้เป้าหมาย บวกกับข่าวผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นพุ่ง กดดันนิกเกอิรูดถึง 7.32% จนต้องสั่งหยุดการซื้อขายดัชนีนิกเกอิล่วงหน้า ด้านโบรกฯมอง P/E หุ้นไทยสูงเกินไป มองตลาดเข้าสู่การพักฐาน ดัชนีมีแนวรับที่ 1,575 จุด ส่วน SET50 Futures กูรูแนะอยู่ฝั่งขายปลอดภัยกว่า 
         
          ตลาดหุ้นไทยฝากรอยแผลลึกให้กับนักลงทุนก่อนวันหยุดยาว เพราะปรับลดลงแรงแบบไม่ทันตั้งตัว โดยระหว่างวันลงลึกถึง 48 จุด จากปัจจัยกดดันทั้งในและต่างประเทศเข้ามาถาโถม โดยเฉพาะความกังวลต่อการชะลอแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระดับโลกอย่างนโยบาย QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังจากนายนายเบน เบอร์นันเก้ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยว่าอาจจะยกเลิกมาตรากรดังกล่าวในการประชุมครั้งต่อไป หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ           ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ จากต่างประเทศ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่เข้ามากดดันตลาดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเลขดัชนี PMI ของจีน และฝรั่งเศส ที่ชะลอตัว ขณะที่ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดที่ระดับ 14,483.98 จุด ลดลง 1,143.28 จุด หรือ -7.32 % โดยเป็นการปรับลดลงมากที่สุดนับแต่เดือนมีนาคมปี 2011 ซึ่งเป็นช่วงเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1% เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี ทำให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงลดลง ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ บีโอเจอัดฉีดสภาพคล่อง 2 ล้านล้านเยน (19.4 พันล้านดอลลาร์) วันนี้เพื่อลดความผันผวนของตลาดพันธบัตรรัฐบาล          ส่วนปัจจัยในประเทศ ตัวเลขการส่งออก และดุลการค้าของไทยที่ออกมาน่าผิดหวังเป็นอีกหนึ่งข่าวร้ายที่เข้ามาซ้ำให้หุ้นไทยปรับลดลงแรง โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ หั่นเป้าส่งออกปีนี้ลงเหลือโต 7-7.5% จากเดิมคาดขยับ 8-9% ส่วนเดือน เม.ย.56 โต 10.52% จากเดือน มี.ค.56 ขยับ 4.55% ขณะที่นำเข้าเดือน เม.ย.56 โต 8.91 จากเดือน มี.ค.56 ลดลง 11.52% ด้านดุลการค้าเดือนเม.ย.56 ขาดดุล 2.85 พันล้านเหรียญ จากเดือนมี.ค.56 ขาดทุน 867.1 ล้านเหรียญ
*** หุ้นไทยดิ่ง 1.68% ต่างชาติเผ่นขนเงินหนี 3.1 พันลบ. 

          โดยดัชนีฯ ตลาดหุ้นไทย(23 พ.ค.) ปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,607.46 จุด ลดลง 23.81 จุด หรือ -1.46%มีมูลค่าการซื้อขาย 78,134.46 ล้านบาท โดยระหว่างวันดัชนีฯได้ปรับตัวลดลงหลุดระดับ 1,600 จุด โดยลงไประดับต่ำสุดของวันที่ 1,582.76 จุด หรือลดลง 48.51 จุด คิดเป็น -3.06 %           ขณะที่สรุปปริมาณการซื้อขายสุทธิรายกลุ่ม โดยนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 563.20 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 3,148.11 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 3,100.73 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไป ซื้อสุทธิ 6,812.05 ล้านบาท

*** ASP มองหุ้นปรับฐานระยะกลาง หลังหลุด 1,647 จุด แนะเก็งกำไร 

          นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า จากกรณีที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงเบื้องต้นคาดว่าเป็นการปรับฐาน หลังจากก่อนหน้านี้ดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างเร็วและแรง โดยมีค่า P/E ที่สูงถึงระดับ 17.7 เท่า โดยปกติแล้ว P/E จะต้องอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 16 เท่า           ขณะเดียวกันยังมีประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะประเด็นความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) หากเศรษฐกิจของประเทศปรับตัวดีขึ้น จึงทำให้นักลงทุนวิตกกังวลกับข้อจำกัดที่จะเกิดขึ้น ส่งผลให้มีแรงขายออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯได้สะท้อนประเด็นดังกล่าวไปแล้ว ต่อเนื่องมายังตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งก็รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย           ทั้งนี้ ในเชิงของเทคนิคเชื่อว่าหากดัชนีได้ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,647 จุด และเป็นการปรับลงค่อนข้างแรงถือเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก และอาจจะเป็นการปรับฐานของตลาดหุ้นไทยในระยะกลาง แต่ก็ถือว่าการปรับฐานนั้นเป็นเรื่องที่ปกติเพราะก่อนหน้านี้ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูง ซึ่งหากประเมินลดค่า P/E ลง 1 เท่า ดัชนีหุ้นไทยจะลดลงราว 104 จุด           ด้านกลยุทธ์การลงทุน ยังคงใช้คำแนะนำเดิมที่ให้นักลงทุนเก็งกำไร โดยที่ผ่านมาก็กำหนดจุดกรอบการซื้อขาย ซึ่งเชื่อว่าหากนักลงทุนปฏิบัติตามก็จะไม่ติดหุ้นในช่วงที่ตลาดปรับฐานแต่อย่างใด ซึ่งในภาวะตลาดแบบนี้ยังคงให้นักลงทุนเก็งกำไร อาทิหุ้น CPALL PS BH โดยกำหนดกรอบดัชนีในระยะสั้น แนวรับ 1,575 จุด และแนวรับถัดไป 1,550 จุด โดยมีแนวต้านที่ 1,612 จุด 
*** กสิกรไทย แนะหาจังหวะสะสม มั่นใจพื้นฐานยังแจ่ม 

          นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงเกือบ 50 จุดในช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ว่ามาจากปัจจัยกดดันในต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วกว่าที่คาด รวมถึงการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของจีนเมื่อเช้านี้ ดัชนี PMI เดือนเมษายนลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50 จุดเเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี สะท้อนถึงภาวะหดตัวในภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลง ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ตลาดหุ้นไทยเพียงแห่งเดียวที่ปรับลงแรงในบ่ายวันนี้           ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาหลายสำนักต่างคาดการณ์ดัชนีปีนี้ไว้ที่ 1,700 จุด ดังนั้นในช่วงที่ดัชนีฯ เข้าใกล้ระดับดังกล่าวอยู่ที่บริเวณ 1,620-1,650 จุด จึงเป็นจังหวะที่นักลงทุนจะขายทำกำไรมากกว่าที่จะเข้ามาซื้อ เพราะราคาหุ้นค่อนข้างแพงแล้ว ประกอบกับมีปัจจัยจากต่างประเทศมากดดันทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงแรง           อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้บริษัทฯได้มีการเตือนนักลงทุนให้ระวังในช่วงที่ดัชนีอยู่บริเวณ 1,620 จุด เพราะจะเป็นช่วงที่ทริกเกอร์ฟันด์หลายกองครบกำหนดอายุกองทุนจึงต้องขายหุ้นออกมา ซึ่งก็เป็นไปตามที่บริษัทคาดการณ์           สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในระยะกลาง นักลงทุนสามารถทยอยซื้อสะสมได้ที่แนวรับ 1,580 จุด แนวรับถัดไป 1,550 จุด โดยเชื่อว่าสุดท้ายแล้วดัชนีจะปรับตัวขึ้นมาได้อีก เนื่องจากการปรับลดลงในครั้งนี้เป็นการขายของนักลงทุนต่างชาติ ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง           บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ธนชาต ระบุว่า SET อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นควร ”ลดพอร์ต” จำกัดความเสี่ยง แม้จะมีมุมมองเป็นบวกในทางพื้นฐาน ด้วยเป้าหมายระยะสัปดาห์ที่ 1,665 จุด และปลายปีที่ 1,700 จุด แต่การปรับลดลงแรงของ SET หลุดแนวรับบริเวณ 1,624 จุด ทำให้มีความเสี่ยงจากการ “พักฐาน” แรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยกดดันจาก 1) ค่าเงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ( Fed) มีแผนลดวงเงินซื้อพันธบัตร ซึ่งการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ฯ ถือว่าเป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้นๆ 2) ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง สูงกว่าระดับ 30 บาท/ดอลลาร์ฯ จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศ “ล็อกกำไร”           จากการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น 3) ตลาดหุ้นหลักๆ ทั่วโลก เกิดสัญญาณ “ขาย” ทางเทคนิคระดับวัน (Daily Chart) พร้อมๆกัน จึงแนะนำ “ลดพอร์ต” เพื่อลดความเสี่ยงจากการพักฐานระยะสั้นไปก่อน โดยมีจังหวะ ซื้อหุ้นคืนที่บริเวณ 1,560-1,570 จุด หรือต่ำกว่า 
*** ตลาดล่วงหน้าไทย - เทศ กอดคอกันร่วงหนัก 

          ด้านสินค้า SET50 Futures ที่ซื้อขายในตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าของไทย (TFEX) ได้ปรับตัวลดลงอย่างหนักเช่นเดียวกับดัชนีฯตลาดหุ้นไทย           โดยสัญญา S50M13 เดือนมิถุนายน 2556 ซึ่งเป็นสัญญาที่มีการซื้อขายมากที่สุด ปรับตัวลดลง 19.40 จุด หรือ -1.79% อยู่ที่ระดับ 1,065.00 จุด ซึ่งระหว่างวันปรับลดลงต่ำสุดถึง 36.30 จุด หรือ -3.46% มาอยู่ที่ระดับ 1048.10 จุด มีปริมาณการซื้อขาย 31,258 สัญญา ส่วนปริมาณการซื้อขายรวมทุกสัญญาของ SET50 Futures อยู่ที่ระดับ 34,354 สัญญา           ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวจากต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์โอซากาประเทศญี่ปุ่น ประกาศระงับการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าของดัชนีนิกเกอิเนื่องจากดัชนีดิ่งลงอย่างรุนแรง โดยนักลงทุนเทขายทำกำไรออกมาหลังดัชนีทะยานขึ้นอย่างมากในช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่วันนี้ตลาดถูกกดดันจากตัวเลขภาคการผลิตที่อ่อนแอของจีน ทั้งนี้ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดดิ่งลง 7.32% สู่ระดับ 14,483.98 ทรุดตัวลงมากที่สุดในรอบ 2 ปี ขณะที่ผลสำรวจเบื้องต้นของเอชเอสบีซีพบว่าภาคการผลิตของจีนหดตัวลง เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนในเดือนพ.ค. ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าส่งออกใหม่ร่วงลง ซึ่งเพิ่มความวิตกที่ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนกำลังหยุดชะงัก          ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ขั้นต้นประจำเดือนพ.ค. ของเอชเอสบีซี ร่วงลงสู่ระดับ 49.6 โดยลดลงต่ำกว่าระดับ 50 ที่แบ่งแยกระหว่างการขยายตัวและการหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค. ขณะที่ดัชนี PMI ขั้นสุดท้ายประจำเดือนเม.ย.อยู่ที่ระดับ 50.4 ส่วนดัชนีย่อยหมวดยอดสั่งซื้อใหม่โดยรวม ร่วงลงสู่ระดับ 49.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2012 ซึ่งบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะชดเชยอุปสงค์ที่ชะลอตัวในต่าง 
*** กูรู TFEX มองแนวรับ SET50 Futures รอบนี้ 1,046 จุด แนะลุยฝั่งขาย 

          นางสาวชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้จัดการแผนกวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PST เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าภาพรวมของดัชนี SET50 Futures ปรับตัวลดลงแรงซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนกังวลประเด็นมาตรการ QE อาจจะชะลอตัวลงเร็วขึ้น หลังจากเมื่อคืนนี้ถ้อยแถลงของนายเบน เบอนันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ระบุว่าหากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้น มีโอกาสที่จะชะลอ QE ส่งผลให้นักลงทุนกังวลในการประชุมเฟดครั้งถัดไปวันที่ 18-19 มิถุนายน ด้านตัวเลขเศรษฐกิจในต่างประเทศออกมาชะลอตัว อาทิตัวเลขดัชนี PMI ของจีน และฝรั่งเศส โดยปัจจัยที่กล่าวมากดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวอาทิ ญี่ปุ่น, ฮั่งเส็ง และดาวโจนส์ล่วงหน้า ปรับตัวลดลงแรงตามกัน           นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีวันหยุดยาวเนื่องในวันวิสาขบูชา ส่งผลให้นักลงทุนขายทำกำไรหุ้นออกมากดดันจิตวิทยาการลงทุนประกอบกัน ซึ่งภาพรวมของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,600 จุด โดยทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET50 Futures ในรอบนี้มีโอกาสปรับตัวลดลงมีแนวรับแรกที่ 1,046 จุด แนวรับถัดไป 1,025 จุด แนวต้าน 1,070-1,075 จุด ในสัญญา S50M13 เดือนมิถุนายน 2556 กลยุทธ์แนะเปิดสถานะขาย (Short)          ทั้งนี้นักลงทุนควรติดตามปัจจัยภายในประเทศหลายด้านด้วยกัน ได้แก่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ในวัน 29 พฤษภาคม และประเด็นการเมืองอาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเปิดสภาเพื่อหารืองบประมาณ เป็นต้น 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น