วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

พรุ่งนี้ JAS ลุ้นศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ โบรกฯชี้หากศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว กระทบราคาหุ้น-จัดตั้ง IFF สะดุด แต่ไม่กระทบสัดส่วนถือหุ้นใน TTTBB และผลการดำเนินงาน แต่หากศาลสั่งไม่คุ้มครอง จัดตั้ง IFF ดำเนินต่อ  

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: JASลุ้นพรุ่งนี้!
ศาลสั่งคุ้มครอง
หรือยกคำร้อง
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 08 กันยายน 2557
ผู้เข้าชม : 16 คน
พรุ่งนี้ JAS ลุ้นศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ โบรกฯชี้หากศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว กระทบราคาหุ้น-จัดตั้ง IFF สะดุด แต่ไม่กระทบสัดส่วนถือหุ้นใน TTTBB และผลการดำเนินงาน แต่หากศาลสั่งไม่คุ้มครอง จัดตั้ง IFF ดำเนินต่อ



นางสาวมินทรา รัตยาภาส รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด จำกัด เปิดเผยว่า กรณีบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) หรือ TT&T ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2557 ระหว่างการพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ พ.882/2557 ซึ่ง TT&T ยื่นฟ้องบริษัท อคิวเมนท์ จำกัด หรือ ACU ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ถือหุ้นอยู่ 100% ให้ ACU ขายหุ้น 70% ในบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด หรือ TTTBB ให้ผู้ถือหุ้น TT&T นั้น คาดว่า ศาลจะมีคำสั่งออกมาประมาณวันที่ 9 ก.ย. 2557

ทั้งนี้ หากศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว มองว่าจะกระทบต่อราคาหุ้น และกระทบต่อการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) สำหรับธุรกิจบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนสัดส่วนถือหุ้นใน TTTBB และผลการดำเนินงานตามปกติของ JAS ขณะที่หากศาลสั่งไม่คุ้มครองชั่วคราว ทาง JAS ก็สามารถดำเนินการในการจัดตั้งกองทุนฯได้ อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะพิจารณา เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ขายเข้ากองทุนฯอยู่

ขณะเดียวกัน แม้ศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่คุ้มครองชั่วคราวในวันที่ 9 ก.ย.นี้ แต่ศาลยังมีการพิจารณาคดีที่ TT&T ยื่นฟ้อง ACU ต่อไป โดยประเมินผลกระทบกรณี TT&T ยื่นฟ้องร้องเป็น 2 กรณี คือ 1.ผู้ถือหุ้น TT&T ได้สิทธิถือหุ้นใน TTTBB ราว 70 ล้านหุ้น หรือ 70% ของทุนจดทะเบียน 110 ล้านบาท ก่อนการเพิ่มทุนปี 2552 ทำให้ ACU จะถือหุ้นลดลงเหลือ 93.6% จากปัจจุบันถือหุ้น 99.2% ใน TTTBB รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ JAS โดยทำให้กำไรสุทธิลดลง 10% ตามสัดส่วนถือหุ้นที่ลดลง และกระทบมูลค่าเหมาะสม 1.00 บาท

และ 2.ผู้ถือหุ้น TT&T ได้สิทธิถือหุ้นใน TTTBB ราว 870 ล้านหุ้น หรือ 70% ของทุนจดทะเบียน 1,250 ล้านบาท เพิ่มทุนปี 2553 ทำให้ ACU จะถือหุ้นลดลงเหลือ 30% จากปัจจุบันถือหุ้น 99.2% ใน TTTBB รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ JAS โดยทำให้กำไรสุทธิลดลง 60% และกระทบมูลค่าเหมาะสม 6.50 บาท ทั้งนี้มองว่ากรณี 2 มีความเป็นไปได้น้อย ขณะที่ JAS ยืนยันการเพิ่มทุนของ TTTBB ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย และมีหลักฐานครบถ้วนเพื่อพิสูจน์ในชั้นศาล ทั้งนี้ ยังคงประเมินผลกระทบจาก TT&T ฟ้องทั้ง 2 กรณีโดยเฉลี่ยผลกระทบกรณีละ 50% คิดเป็นมูลค่า 3.75 บาท/หุ้น

ก่อนหน้านี้ ตัวแทนจากบริษัท วีระวงค์, ชินวัฒน์ และเพียงพนอ จำกัด ที่ปรึกษากฎหมายของ JAS กล่าวว่า ในระหว่างที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ACU ก็ไม่ต้องโอนขายหุ้น TTTBB ที่ถืออยู่ไม่ว่าจำนวนใดๆ และยังเป็นสิทธิออกเสียงและรับเงินปันผลในหุ้นที่มีการฟ้องร้องกันเช่นเดิมทุกประการ เว้นแต่กรณีที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ระหว่างการพิจารณาคดีจำกัดสิทธิดังกล่าวเป็นกรณีเฉพาะเจาะจง ตามคำร้องของ TT&T เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2557

โดยในขณะนี้ศาลอยู่ระหว่างสืบพยานของทั้ง 2 ฝ่าย คาดว่าศาลจะมีคำสั่งประมาณต้นเดือนก.ย.นี้ ซึ่งหากศาลสั่งคุ้มครองประโยชน์ก็จะต้องมาพิจารณาว่าคำสั่งดังกล่าวมีผลกระทบต่อสิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นใน TTTBB ของ ACU และจะมีผลกระทบต่อการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของก.ล.ต.หรือไม่ อย่างไร อีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม หากศาลมีคำสั่งยกคำร้องของ TT&T ก็จะทำให้การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเดินหน้าต่อไปได้ และ ACU ยังเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงและรับเงินปันผลในหุ้นที่มีการฟ้องร้องกันเช่นเดิมทุกประการ โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 7-10 ปี

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น