‘เอเชีย เวลท์’ชี้ปีหน้าหุ้นรุ่ง
การเงินการคลัง วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2557 บล.เอเชีย เวลท์ วางเป้าดัชนีหุ้นไทยปีหน้า 1,850 จุด มองกลุ่มค้าปลีกและค้าส่ง กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มอาหาร เด่นสุด คาดกำไร บจ. พลิกกลับมาเติบโตได้ 15.3%
ดร.พิชิต อัคราทิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าดัชนีหุ้นไทยในปี 2558 ระดับ 1,850 จุด โดยมองกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2558 จะมีอัตราเติบโตที่ 15.3% บวกกับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 3.4% ซึ่งจะเท่ากับ 18.7% ที่ระดับ P/E ratio ที่ 15.3 เท่า
ด้านการแนะนำการลงทุน สำหรับผู้เน้นลงทุนในหุ้น บริษัทแนะนำให้ Overweight ในหุ้นกลุ่มรับเหมา กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มธนาคาร ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนภาครัฐ และกลุ่มค้าปลีกและค้าส่ง กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มอาหารที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจภาพรวม
“การจัดพอร์ตการลงทุนในกองทุนรวมปีหน้า บริษัทแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทย และหุ้นในกลุ่มเอเชีย และแบ่งสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนในประเทศ และตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงของสหรัฐ (US high yield bond) และแนะนำลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ โดยเลือกกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 7% และมีสภาพคล่อง” ดร.พิชิต กล่าว
ดร.พิชิต กล่าวว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ในระดับ 3.8% มีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของผู้นำเศรษฐกิจโลกอย่างสหรัฐ ที่คาดว่าจะเติบโตได้ที่ 3.1% เนื่องจากยอดจ้างงานล่าสุดที่เพิ่มขึ้น และอัตราการว่างงานยังลดลงมาอยู่ที่ 5.8% ต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ในปี 2552
ประกอบกับแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปลายปีหน้า หลังจากที่ Fed ยกเลิก QE3 ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม เนื่องจากจะผลักดันให้ตัวเลขการส่งออกของทุกประเทศในโลกที่เป็นคู่ค้าของสหรัฐเติบโตขึ้น
อีกทั้งในปีหน้าญี่ปุ่นจะใช้มาตรการ QE เพื่ออัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 80 ล้านล้านเยนต่อปี ซึ่งเท่ากับ 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จนกว่าภาวะเงินฝืดในญี่ปุ่นจะดีขึ้น ซึ่งถือเป็นปริมาณเม็ดเงินที่สูงมากหากเปรียบเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ
ขณะที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการของญี่ปุ่น ประกาศที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นอีก 1 เท่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นญี่ปุ่น นอกจากนี้ เศรษฐกิจของเอเชียที่กำลังพัฒนาจะเป็นตัวนำการเจริญเติบโตของโลกเช่นกัน โดยคาดว่าจะเติบโตได้ถึง 6.6% ในปีหน้า ตามมาด้วยกลุ่มประเทศในอาเซียน ที่คาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 4.7% ในปีหน้า
แม้บริษัทมีมุมมองเป็นบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตามและอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนอยู่บ้าง เช่น เศรษฐกิจจีน ยังมีความกังวลเรื่องราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำมาก และปริมาณหนี้เสียของธนาคารจีน อย่างไรก็ดี ตลาดคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนมีการควบคุมสถานการณ์ได้ดี และภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีที่เริ่มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยคาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจยุโรปจะเติบโตอยู่ที่ 1.3%
ด้านเศรษฐกิจไทย คาดว่าสามารถเติบโตได้ที่ 5.1% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากตัวเลขการส่งออกไปยังสหรัฐ การเติบโตของเศรษฐกิจโลก และการลงทุนภาครัฐจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมทั่วประเทศ 3 ล้านล้านบาทในระยะเวลา 8 ปี ซึ่งในปีหน้าจะใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 4.5 แสนล้านบาท
การลงทุนภาครัฐนี้จะเป็นตัวกระตุ้นการลงทุนในภาคเอกชน และคาดว่าในปี 2-3 ปีข้างหน้ามีความเป็นไปได้สูงว่า เม็ดเงินลงทุนจะสามารถไปสู่จุดสูงสุดก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น