วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ตลาดหุ้จีนแซงญี่ปุ่นขึ้นเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐ

จีนแซงญี่ปุ่นขึ้นเป็นตลาดหุ้นอันดับ2ของโลก

ต่างประเทศ วันจันทร์ที่ 01 ธันวาคม 2557 
ผู้เข้าชม : 4 คน 

บลูมเบิร์ก - จีนได้แซงหน้าญี่ปุ่นเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่สุดเป็นอันดับสองของโลก เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ท่ามกลางการความเชื่อมั่นที่เพิ่มมากขึ้นของนักลงทุนว่า ผู้กำหนดนโยบายในกรุงปักกิ่งจะฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการกระตุ้นนโยบายเงิน
จากการรวบรวมข้อมูลของบลูมเบิร์ก มูลค่าตลาดของจีนเพิ่มเป็น 4.48 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังจากที่เพิ่มขึ้น 33% ในปีนี้  แต่มูลค่าตลาดของตลาดหุ้นญี่ปุ่นลดลงเหลือ 4.46 ล้านล้านดอลลาร์ และได้ลดลง 3.2% นับตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม
ตลาดจีนเคยเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากตลาดสหรัฐฯ เป็นเวลาสั้นๆเมื่อเดือนมีนาคม 2554 หลังจากที่แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นทำให้หุ้นในโตเกียวปรับตัวลง
ในขณะที่การอ่อนตัวของเงินเยนมีบทบาทสำคัญที่ทำให้มูลค่าตลาดของญี่ปุ่นที่อยู่ในรูปดอลลาร์ลดลง  ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ของจีนได้ปรับตัวขึ้น 3 เท่าของดัชนีโทปิกซ์ในปีนี้  และยังมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (พีอี) ต่ำกว่าของญี่ปุ่น 21%
ดิกกี้ หว่อง  ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของคิงสตัน ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ในฮ่องกง กล่าวว่า ยังคงมีความมั่นใจมากต่อหุ้นจีน และมันกำลังซื้อขายโดยมีการประเมินมูลค่าต่ำ
การเติบโตของมูลค่าตลาดจีนได้รับแรงหนุนจากการให้มีการเสนอขายหุ้นไอพีโออีกครั้งหลังจากที่ได้ระงับมานานกว่าหนึ่งปี  และถือว่าเป็นการฟื้นตัวสำหรับตลาดหุ้นที่ถือว่ามีผลงานแย่ที่สุดในโลกตั้งแต่ปลายปี 2553 จนถึงกลางปีที่ผ่านมา และยังเกิดขึ้นในขณะที่ ทางการจีนยอมให้นักลงทุนต่างชาติเข้าถึงหุ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านการเชื่อมตลาดฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน
หุ้นจีนปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 7 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนีเซี่ยงไฮ้ สูงสุดในรอบสามปีเนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์และการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนอาจจะผ่อนคลายนโยบายเงินต่อ  และเมื่อวันพฤหัสบดีธนาคารกลางจีนหยุดขายข้อตกลงซื้อคืนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม  การเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากที่มีการประกาศเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนว่า จะลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้
ดัชนีตลาดเซี่ยงไฮ้ ปรับตัวขึ้นไป 27% ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นการดีดตัวรายปีที่สูงชันมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552  และดัชนีมีการซื้อขายที่ 12.8 เท่าของกำไร เทียบกับที่ดัชนีโทปิกซ์มีการซื้อขายที่ 16.2 เท่า
ธนาคารหลายแห่งเป็นบริษัทใหญ่สุดของจีน  จากการรวบรวมข้อมูลของบลูมเบิร์ก  อินดัสเทรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชน่า (ไอซีบีซี)เป็นบริษัทจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินใหญ่ โดยมีมูลค่าตลาด 223,100 ล้านดอลาร์
ส่วนอะกริคัลเจอรัล แบงก์ ออฟ ไชน่า และไชน่า เมอร์ชานส์ แบงก์ ติดอันดับสองและสาม
หุ้นไอซีบีซีในตลาดเซี่ยงไฮ้ ปรับตัวขึ้น 13% ในปี 2557 ในขณะที่หุ้นอะกรีแบงก์ ปรับตัวขึ้น 15% และไชนา เมอร์ชานส์ แบงก์  ปรับตัวขึ้น 12%
ดักลาส มอร์ตัน  หัวหน้าฝ่ายวิจัยเอเชียของบริษัท อะเวียต โกลบัล  แอลแอลพี แนะนำให้ซื้อหุ้นจีนต่อไป เพราะนี่เป็นครั้งแรกของปีนี้ที่รัฐบาลดำเนินนโยบายหนุนเศรษฐกิจเพื่อให้มีการเติบโตตามเป้าหมายทั้งปี และเมื่อมีการประกาศเป้าหมายการเติบโตของปีหน้าแล้ว คาดว่าจะมีนโยบายหนุนเศรษฐกิจออกมาอีกและจะมีการลดเกณฑ์กันสำรองขอธนาคารโดยทันที
ทั้งพรรคคอมมิวนิสต์ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิงและพรรครัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ได้กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในปีนี้  ดัชนีโทปิกซ์ได้ดีดตัวขึ้น 6.9%  ในปีนี้  ในขณะเดียวกัน เงินเยนอ่อนตัวลง 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์เนื่องจากนโยบายของอาเบะได้ผ่อนคลายนโยบายเงินและเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จีนได้แซงหน้าญี่ปุ่นเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกเมื่อปี 2553  ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนมีมูลค่า 9.2 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมากกว่าของญี่ปุ่นประมาณ 89%

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ก๊วน5สตางค์ขายMAX บิ๊กล็อต1.6พันล้านหุ้น

ก๊วน5สตางค์ขายMAX
บิ๊กล็อต1.6พันล้านหุ้น

ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2557 


ลือสนั่น! ก๊วนเพิ่มทุน 5 สตางค์ เทขายบิ๊กล็อตหุ้น MAX จำนวน 1,600 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.80 บาท มูลค่ารวม 1,280 ล้านบาทให้กับกองทุน ขณะผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 อันดับต่างปฏิเสธไม่ได้ขายพร้อมโยนคนอื่นทำ ด้าน “อนุกูล” ยันไม่ได้ขาย

รายงานหลังปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวานนี้ (27 พ.ย. 57) พบว่ามีการทำรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่ (BIG LOT) หลักทรัพย์ของบริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MAX จำนวน 20 รายการ จำนวน 1,600 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.80 บาท มูลค่ารวมสูงสุดถึง 1,280 ล้านบาท
โดยผู้สื่อข่าว "ข่าวหุ้นธุรกิจ" ได้มีการสอบถามไปยังผู้ถือหุ้นใหญ่ของ  MAX ใน 3 อันดับที่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ในราคาหุ้นละ 0.05 บาท เกี่ยวกับการทำรายการบิ๊กล็อตดังกล่าวดังกล่าว ทุกรายต่างปฏิเสธว่าไม่ได้ทำการขายบิ๊กล็อตดังกล่าว พร้อมกับต่างโยนว่าเป็นการทำรายการของคนอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองแต่อย่างใด
ขณะที่แหล่งข่าวจากที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยกับ "ข่าวหุ้นธุรกิจ" ว่า การทำรายการขายบิ๊กล็อตที่เกิดขึ้นวานนี้ จำนวน 1,600 ล้านหุ้น คาดว่าน่าจะเป็นการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งถือหุ้นติด 1 ใน 3 อันดับแรกของ MAX ซึ่ง
เคยขายออกมาแล้วก่อนหน้านี้  และน่าจะเป็นการขายให้กับนักลงทุนสถาบัน (กองทุน) เพราะก่อนหน้านี้ผู้ถือหุ้นใหญ่รายดังกล่าวได้เคยเปรยออกมาว่า มีกองทุนสนใจจะเข้ามาซื้อหุ้นที่เขาถืออยู่ จึงน่าจะตัดสินใจขายบิ๊กล็อตออกมาจำนวนดังกล่าว
ด้านนายอนุกูล บุญทิพย์ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองของ MAX และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เข้ามาด้วยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบPP ในราคาหุ้นละ 0.05 บาท เปิดเผยกับ "ข่าวหุ้นธุรกิจ" ว่า ยืนยันตนเองไม่ได้ทำการขายบิ๊กล็อตหุ้น MAX จำนวน 1,600 ล้านหุ้นเมื่อวานนี้  แต่ได้ทำรายการขายหุ้นของ MAX ออกไปเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 จำนวน 15 ล้านหุ้นเท่านั้น
สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้น MAX วานนี้ เปิดตลาดที่ราคา 0.83 บาท โดยการซื้อขายระหว่างวันที่ราคาต่ำสุด 0.83 บาท และสูงสุดที่ 0.90 บาท ซึ่งเป็นราคาปิดของวานนี้  เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 0.07 บาท หรือปรับเพิ่มขึ้น 8.43% มูลค่าการซื้อขาย 1,453,74 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 อันดับแรก ณ ปิดสมุดทะเบียนวันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 ประกอบด้วย อันดับหนึ่ง นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ถือหุ้น 12,000 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 60.50% อันดับสอง นายอนุกูล บุญทิพย์ ถือหุ้น 2,630 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 13.26% และอันดับสาม UOB KAY HIAN PRIVATE LIMITED ถือหุ้น1,100.07 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 5.55%
ทั้งนี้ สัดส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 อันดับดังกล่าว เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านี้ที่ปิดสมุดทะเบียนวันที่ 7 มีนาคม 2557 ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 อันดับ ประกอบด้วย อับดับหนึ่ง น.ส.ปัญญดา พลอยประพัฒน์ ถือหุ้น 287.71 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 15.69% อันดับสอง นายศิริวัฒน์ อนันต์คูศรี ถือหุ้น 164 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 8.95% และนายชำนิ จันทร์ฉาย ถือหุ้น 100 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 5.45%
ขณะเดียวกันสัดส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MAXล่าสุด มีการเปลี่ยนแปลงภายหลังการเพิ่มทุน จำนวน 18,000 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.05บาท ที่ขายให้กับนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 3 ราย คือ 1.นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ จำนวน12,000 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนถือหุ้น 60.50%,  2.นายอนุกูล บุญทิพย์  จำนวน 4,000 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนถือหุ้น 20.17% และ 3.นายสุทธิพจน์ อริยสุทธิวงศ์ จำนวน 2,000 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนถือหุ้น 10.08% ซึ่งดำเนินการเพิ่มทุน และชำระเงินงวดสุดท้ายเมื่อเดือนมิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม นายอนุกูลยังได้ทำการขายหุ้น MAX จำนวน 270 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 3.06% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ  และเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2557 นายอนุกูล บุญทิพย์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 2 ได้ขายหุ้นของ MAX จำนวน 1,100 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 5.55% ในราคาขายที่หุ้นละ 1.05 บาท และ 1.10 บาท ซึ่งในขณะนั้นทำให้นายอนุกูลยังมีกำไรจากการขายหุ้นไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 1 บาทภายหลังจากได้ต้นทุนมา 0.05 บาท

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หุ้นเสี่ยงโดนฮุบกิจการ!!

หุ้นเสี่ยงโดนฮุบกิจการ!!
รายงานพิเศษ วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน 2557 


บริษัทยักษ์ใหญ่มักมีกลยุทธ์ที่หลากหลายในการนำบริษัทเล็กๆ มาถือครองให้เป็นกรรมสิทธิ์เป็นของตนเอง ที่เรียกว่า “บริษัทย่อย” ถือเป็นการสร้างอาณาจักรของตัวเองให้ยิ่งใหญ่ขึ้น แบบที่ต้องการขยายธุรกิจออกไป เพื่อที่จะไม่เป็นแค่เพียงบริษัทด้านหนึ่งด้านใดเท่านั้น จึงมองหาบริษัทที่มีปัญหาแล้วนำมา “แต่งตัวใหม่” โดยใช้กลยุทธ์หลักการ 3 รูปแบบ ดังนี้
1) การควบกิจการ (Mergers) หมายถึง การที่กิจการหรือบริษัทตั้งแต่สองแห่งขึ้นไปตกลงรวมกิจการกันเป็นกิจการเดียว ซึ่งมักจะเป็นกรณีที่บริษัทหนึ่งดูดกลืนอีกบริษัทหนึ่งหรือมากกว่า โดยทั่วไปแล้ววิธีการควบกิจการ (Mergers) มี 3 รูปแบบ : รูปแบบที่ 1 คือการใช้เงินหรือตราสารเปลี่ยนมือ (Negotiable instrument) ซื้อสินทรัพย์ของบริษัทอื่น รูปแบบที่ 2 คือ การซื้อหุ้นของบริษัทอื่น
รูปแบบที่ 3 คือ ออกหุ้นใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทอื่นเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิทธิในหุ้นเดิมที่มีอยู่ ซึ่งทำให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินและหนี้สิน จุดเด่นของการควบรวมกิจการอยู่ที่ฝ่ายที่ถูกควบรวมกิจการจะสูญเสียความเป็นนิติบุคคลหรือมีการเปลี่ยนแปลงสภาพของนิติบุคคล
2) การซื้อกิจการ (Acquisition) หมายถึง การที่กิจการหนึ่งนำเงินหรือพันธบัตร (debenture, bond) หรือหุ้นเพื่อมาซื้อหุ้นหรือทรัพย์สินของอีกกิจการหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการควบคุมกิจการนั้น โดยจุดเด่นของการซื้อกิจการ (Acquisition) อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงอำนาจในการควบคุมกิจการของบริษัทที่ถูกซื้อกิจการ แต่ความเป็นนิติบุคคลของบริษัทที่ถูกซื้อกิจการไม่ได้สูญหายไป
โดยการซื้อกิจการ (Acquisition) มีรูปแบบที่สำคัญสองรูปแบบ รูปแบบที่ 1 คือ การที่บริษัทหนึ่งเข้าไปซื้อทรัพย์สินของอีกบริษัทหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยบริษัทที่ขายทรัพย์สินยังคงดำเนินการต่อไปได้ การซื้อกิจการลักษณะนี้ เรียกว่า “Asset Acquisition” รูปแบบที่ 2 คือ การที่บริษัทเข้าไปซื้อทรัพย์สินและหนี้สินของอีกบริษัทด้วยการซื้อหุ้น จนเป็นผลให้ผู้ถือหุ้นเดิมสูญเสียอำนาจในการบริหาร การซื้อกิจการลักษณะนี้เรียกว่า “Share Acquisition”
3) การเทกโอเวอร์ (Take over) หมายถึง การที่กิจการ (บริษัท) หนึ่งซึ่งมีผู้ถือหุ้นเดิมที่มีอำนาจในการควบคุมบริษัท (โดยทั่วไปแล้วหมายถึง ผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นมากที่สุดในบริษัทนั้น) ถูกอีกบริษัทหนึ่งกว้านซื้อหุ้น ไม่ว่าด้วยการจำหน่ายหุ้น โอนหุ้น จนกระทั่งผู้ถือหุ้นเดิมสูญเสียอำนาจในการออกเสียงและอำนาจในการควบคุมกิจการไป
กลยุทธ์ข้างต้นอาจเปรียบดัง “ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก” ที่บริษัทยักษ์ใหญ่กำลังหาหุ้นขนาดเล็กที่เริ่มอ่อนแอ ซึ่งมักเกิดกับบริษัทที่มีปัญหาด้านผลประกอบการที่เริ่มขาดสภาพคล่อง ประกอบการมูลค่าทางตลาดไม่ใหญ่มาก!!
ข่าวหุ้นธุรกิจ” จึงมีการรวบรวมข้อมูลบริษัทที่อาจเป็นเป้าหมายการถูกซื้อกิจการในอนาคต โดยดูจากภาพรวมของผลประกอบการของบริษัทที่ย่ำแย่ ทำให้บริษัทเกิดการเพิ่มทุนบ่อยครั้ง เพื่อความปลอดภัยและความอยู่รอดในการนำเงินไปขยายธุรกิจต่อไป แต่อาจเป็นเป้าหมายสำคัญแก่บริษัทใหญ่ๆ ที่จะเข้ามาฮุบกิจการ เพราะไม่อย่างนั้นบริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะโดนถอดถอนออกจากตลาดหุ้นได้
สำหรับหุ้นที่มีโอกาสโดน “การควบกิจการ” “การซื้อกิจการ” และ “การเทกโอเวอร์” อาทิ RPC, KDH, NPP, TSF, ACD, BIG, WAT, AQ และ E ส่วนรายระเอียดมีดังนี้
บริษัท อาร์พีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ RPC เป็นบริษัทที่ดำเนินการกลั่นคอนเดนเสทเรสซิดิว (CR) เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ได้แก่ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเตา และเคมีภัณฑ์ โดยมีโรงกลั่นตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง และจัดจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปทั้งเบนซิน ดีเซล แก๊สโซฮอล์ ผ่านสถานีบริการน้ำมัน “เพียว” โดยมีคลังน้ำมัน 1 แห่ง ได้แก่ คลังน้ำมันระยอง
ถือว่าเป็นธุรกิจที่มีความน่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่ผลประกอบการออกมาผิดหวัง โดยดูได้จากปี 2555 ถึงปัจจุบัน ในปี 2555 บริษัทขาดทุน 133.59 ล้านบาท ต่อมาในปี 2556 บริษัทขาดทุน 139.54 ล้านบาท และงวดไตรมาส 3/57 ขาดทุน 107.53 ล้านบาท การขาดทุนดังกล่าวเป็นผลจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หยุดส่งวัตถุดิบให้แก่บริษัท ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555
ขณะที่บริษัทมีหนี้สินรวม 1,763.01 ล้านบาท แต่ส่วนของผู้ถือหุ้นมีเพียง 1,507.53 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 1.17 เท่า พบว่าบริษัทเริ่มมีหนี้สินเข้ามารบกวน จึงเป็นเหตุที่บริษัทมีการเพิ่มทุน 2 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 56-57 จึงอาจเป็นบริษัทที่มีโอกาสถูกบริษัทยักษ์ใหญ่เข้าซื้อกิจการได้
ถัดมา บริษัท ธนบุรี เมดิเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ KDH ประกอบธุรกิจให้บริการทางการแพทย์ภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลสมิติเวช ธนบุรี (เดิมชื่อ โรงพยาบาลกรุงธน 1) โดยให้บริการด้านการแพทย์แก่ผู้ใช้บริการตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงให้คำปรึกษา วินิจฉัยโรค และรักษาโดยทีมแพทย์เฉพาะทางแก่ผู้ป่วย
นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังมีศูนย์แพทย์เฉพาะทางต่างๆ และหน่วยบริการพิเศษไว้บริการผู้ป่วย เช่น สถาบันเต้านมสมิติเวช ศูนย์กล้ามเนื้อกระดูกและข้อ ศูนย์จักษุกรรมและเลสิก ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและลำไส้ ศูนย์สุขภาพ และแผนกฉุกเฉิน เป็นต้น
ทั้งนี้ เชื่อว่าหุ้นตัวนี้หลายคนกำลังมองที่จะเข้าเทกโอเวอร์อยู่แน่นอน เนื่องจากเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มโรงพยาบาลซึ่งมักถูกเทกโอเวอร์ ยิ่งไปกว่านั้นหากดูผลประกอบการของบริษัทในปี 56 บริษัทขาดทุน 60.28 ล้านบาท ส่วนในไตรมาส 3/57 บริษัทขาดทุน 29.38 ล้านบาท
ส่วน บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BIG ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ อีกทั้งบริษัทมีธุรกิจใหม่ คือ บริษัท บิ๊ก คาเมร่า จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายกล้องถ่ายรูป ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพ โทรศัพท์เคลื่อนที่ และให้บริการล้างอัดภาพ มีสาขาทั่วประเทศกว่า 250 สาขา ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีสินทรัพย์สุทธิจำนวน 317 ล้านบาท โดยผลจากการได้มาซึ่งธุรกิจดังกล่าวตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไปจัดว่าเป็นการรวมธุรกิจแบบย้อนกลับ
ดังนั้น ผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2557 ของบริษัทฯ จะสะท้อนผลการดำเนินงานของบริษัท บิ๊ก คาเมร่า จำกัด เป็นหลัก รวมทั้งข้อมูลที่นำมาแสดงเปรียบเทียบเป็นผลการดำเนินงานของบริษัท บิ๊ก คาเมร่า จำกัด เช่นเดียวกัน เนื่องจากว่าการรวมธุรกิจแบบย้อนกลับดังกล่าวจะทำให้เกิดค่าความนิยมจำนวน 42 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผู้บริหารของบริษัทฯ พิจารณาแล้วว่าค่าความนิยมดังกล่าวไม่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตแก่บริษัทฯ ได้ จึงพิจารณารับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าสำหรับค่าความนิยมดังกล่าวทั้งจำนวน เป็นการส่งผลให้ผลการดาเนินงานในงวดปีนี้แสดงเป็นผลขาดทุน
สิ่งสำคัญเมื่อไปดูหนี้สินรวมของบริษัทมากถึง 1,154.61 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น 348.21 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ  3.32 เท่า แสดงว่าบริษัทมีปัญหาหนี้สินจริงๆ จึงไม่แปลกใจที่มีรายการเพิ่มทุนตั้งแต่ปี 56-57 มากถึง 7 ครั้งอีกด้วย
(บริษัทที่เหลือดูได้จากตาราง)
ข้อมูลข้างต้นอาจจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง เป็นเพียงสมมติฐานจากงบการเงินที่ขาดทุนมาเรื่อยๆ ประกอบกับการเพิ่มทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ข้อเท็จจริงจะเป็นประการใดต้องดูกันไปยาวๆ!!!

หุ้นไอพีโอ

หุ้นไอพีโอ

คอลัมน์ วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน 2557 

วานนี้หุ้น บมจ.เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS) เปิดซื้อขายวันแรก
ราคาเปิดเป็นไปตามคาดระหว่าง 8-10 บาท(เปิด 9.50 บาท) และราคาปิด 11.90 บาทเพิ่มจากไอพีโอ 116%
ก็ถือว่าเรียกความเชื่อมั่นจากหุ้นไอพีโอขึ้นมาได้บ้าง หลังจากหุ้นไอพีโอบางตัว เปิดตลาดต่ำกว่าจอง และบางตัว ก็หลุดหรือต่ำกว่าไอพีโอไปแล้วก่อนหน้านี้
หุ้น MTLS แม้จะมีการนำไปเปรียบเทียบกับ SAWAD ด้วยการนำตัวเลขสำคัญทางการเงินต่างๆ มาเกทับกัน
ทว่า โดยรวมแล้วถือเป็นหุ้นพื้นฐานดีทั้งคู่
ราคาไอพีโอที่มีการกำหนดกันออกมา ถือว่าไม่แพง และยังมีส่วนลดให้กับนักลงทุนด้วย
ย้อนกลับไปดูหุ้นไอพีโอนับจากต้นปีมาถึงวานนี้ (26 พ.ย.) มีเข้ามาทั้งหมด 33 ตัวครับ ไม่รวมพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ (PFUND) และกองทุนรีท (REIT)
หุ้นไอพีโอในจำนวนนี้อยู่ใน SET 15 ตัว และอีก 18 ตัว อยู่ใน mai
มีประเด็นอย่างที่เรารับทราบกันว่า ในช่วงเกือบ 11 เดือนแรก มีหุ้นที่ราคาเปิดตลาดต่ำกว่าไอพีโอ หรือราคาจองอยู่ทั้งหมด 3 ตัวนับจากต้นปี 57
ตัวแรกเลยก็คือ หุ้น บมจ.เอไอ เอนเนอร์จี หรือ AIE
เข้าเทรดวันแรกเมื่อ 6 ม.ค. ราคาไอพีโอ 4.75 บาท แต่เปิดตลาดมาที่ 4.30 บาท ลดลง 9.47% จากไอพีโอ
ก่อนจะลงมาปิดตลาดที่ 3.54 บาท ลดลง 25.47%
AIE มี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งราคาหุ้นผ่านมาถึงวานนี้ ก็ยังไม่สามารถทำราคาปิดตลาดเหนือไอพีโอได้ เคยขึ้นไปสูงสุด 4.78 บาท (12 มิ.ย.) แต่ยืนไม่ได้ ทำให้ลงมาปิด 4.60 บาท
ส่วนราคาปิดตลาด เคยลงไปต่ำสุดที่ 3.30 บาท
หุ้นตัวนี้เข้ามาด้วยเกณฑ์ Market Cap
ส่วนในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย. 57) AIE มีกำไรสุทธิแล้ว 27 ล้านบาท และมีค่าพี/อี ที่ 48 เท่า ครับ
หุ้นตัวถัดมาก็คือ KTIS
หรือ บมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น  เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย และธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น เยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย เอทานอล และด้านไฟฟ้า
กำหนดราคาไอพีโอไว้ 10 บาท เทรดวันแรก 28 เม.ย.
ราคาเปิดตลาดที่ออกมาก็เท่ากับ 10 บาทพอดี
แต่ในวันนั้นราคาปรับขึ้นไปสูงสุด 10.10 บาท และต่ำสุด 9.40 บาท ก่อนจะลงมาปิดตลาด 9.70 บาท ร่วงลงมา 3% จากราคาไอพีโอ
ถัดจากนั้นอีก 2 เดือน หุ้น KTIS ก็สามารถยืนเหนือไอพีโอมาได้โดยตลอด และเคยปรับขึ้นไปสูงสุด 12.50 บาท
ก็ถือว่ารอดตัวไปสำหรับหุ้น KTIS ที่มี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
อีกตัวคือ BA บมจ.การบินกรุงเทพ  เจ้าของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กำหนดราคาไอพีโอ 25 บาท เข้าเทรด 3 พ.ย. มี บล.บัวหลวงเป็นเอฟเอ แต่เปิดตลาดมาอยู่ที่ 23.20 บาท ลดลง 7.2%
หุ้น BA ทำท่าจะวิ่งขึ้นไปที่ราคา 25 บาท ได้ เพราะขึ้นไปสูงสุดในวันนั้น 25.70 บาท แต่ยืนไม่ได้ครับ
ก่อนจะลงมาปิดตลาด 22 บาท ลดลง 12%
ราคาเฉลี่ยตอนนี้อยู่แถวๆ 20-21 บาท
นับจากหุ้น BA ทำให้หุ้นไอพีโอที่จะเข้าเทรดวันแรก ต่างหวั่นๆ ว่าจะซ้ำรอย เพราะบรรยากาศไม่เอื้อเท่าไหร่นัก ทว่า หุ้นหลายตัวก็เอาตัวรอดมาได้
ยกเว้น “เจ๊สำเพ็ง” หรือ JSP บมจ.เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้
เข้าเทรดวันแรกเมื่อ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา กำหนดราคาไอพีโอ 2.60 บาท
แม้ราคาเปิดตลาด และราคาปิดในวันแรกจะยืนเหนือไอพีโอได้ แต่ทรงไม่ค่อยดีเลยครับ  และในที่สุดราคาก็ลงมาต่ำกว่าไอพีโอจนได้ เมื่อวันจันทร์ที่ 24 พ.ย.ผ่านมานี้เอง
จริงๆ ยังมีหุ้นบางตัวอีกครับ ที่ในปีนี้ราคาบางช่วงลงไปต่ำกว่าไอพีโอ
แต่ก็ไม่ได้ลงไปแช่ หรือลงไปไม่นาน ก็สามารถกลับขึ้นมาได้ เช่น PCSGH หรือ บมจ.พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง
ย้อนกลับมาที่หุ้น BA และ JSP หลังราคาหลุดไอพีโอลงไป แน่นอนว่า ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อหุ้นไอพีโอ ในช่วงหลังๆ ดูจะหดหายไปบ้าง
และต่างมาหวังกับหุ้น MTLS ครับ
หาก MTLS มีราคาเปิด และปิดสวยๆ (โดยไม่ได้มีเจ้ามือ หรือตัวแทนเจ้าของมาลากราคาแบบโอเวอร์)
ก็น่าจะช่วยจุดพลุดึงความเชื่อมั่นกลับมาได้
รวมถึงหุ้นไอพีโอตัวอื่นๆ ที่กำลังจะเข้าเทรดในช่วงที่เหลือของปีนี้ที่คาดว่าจะมีอีก 2-3 ตัว ก็น่าจะได้รับผลพลอยได้แบบทางอ้อมไปด้วย
ปิดหุ้นไอพีโอปีนี้จะได้ออกมาสวยๆ หน่อย

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

*ใกล้ 1,600 จุดเข้าไปทุกที เกียรติก้อง ว่องไวยากร

เกียรติก้อง ว่องไวยากร

คอลัมน์ วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2557 

*ใกล้ 1,600 จุดเข้าไปทุกที
*จ่อๆแนวต้านสำคัญที่ 1,600 จุดมาหลายครั้ง รอบนี้น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดเหลืออีกแค่ 4 จุดเท่านั้น จากวานนี้ที่ปิด 1,596 จุด  ได้แรงหนุนจากต่างชาติที่ซื้อสุทธิเข้ามากว่า 1.2 พันล้านบาท วันนี้คงมีลุ้นฝ่าแนวต้านสำคัญ แค่ดันหุ้นกลุ่มปตท.อีกนิดรับรองทะลุแน่นอน
*กรรมของคนชอบหุ้นร้อน CYBER แม้เพิ่มทุนแจกวอร์แรนต์ฟรี แต่ก็หนีความจริงของหุ้นร้อนไม่พ้น GEL ก็เป็นอีกตัวหนึ่งของกลุ่มหุ้นร้อน ไม่ใช่ฮอตนะ คนละความหมายกัน  รวมทั้ง SUPER ขาไก่  มอบตัวทิ้งดิ่ง ถ้าใครยังคิดว่าจะเล่นแบบมาเร็วเคลมเร็วเหมือนแต่ก่อนคงต้องคิดใหม่ทำใหม่ได้แล้ว
*JAS แรงไม่ตกกราฟกำลังไปได้สวย เตรียมไปทดสอบทำนิวไฮใหม่  แถว 8 บาทกว่าๆ วันนี้เริ่มโรดโชว์ขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ต จัสมิน โกรท (JASIF) มูลค่า  6.5 หมื่นล้านบาท มีข่าวดีแน่นอน
*กลุ่มรับเหมาโดยเฉพาะ ITD วิ่งขึ้นไปรับโครงการรถไฟรางคู่ไทย-จีน มาหลายวัน พอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น (MOU) ระหว่างไทยและจีนเพื่อร่วมมือกันในโครงการรถไฟทางคู่ เส้นทางหนองคาย-มาบตาพุด ก็ขายทิ้งตามสูตร
*ILINK ส่งลูกเข้าตลาดใหม่ปลายปีหน้า ยังไม่มีที่ปรึกษาทางการเงินเลย แต่ราคาหุ้นวิ่งไปไกลกว่า  แถมยังบอกอีกว่าปีหน้ารายได้จะโตตาม 2.4 พันล้านบาท ถึงวันนี้แล้วใครยังถืออยู่ก็โปรดพิจารณาปล่อยได้แล้ว
*สยามเวลเนสกรุ๊ป หรือ SPA ปรับเป้ารายได้ปี 2558 เป็นเติบโต 30% จากเดิมที่ตั้งไว้ 15% จากปีนี้ที่คาดว่ารายได้จะเติบโตเล็กน้อยจากปี 2556 ที่มีรายได้ 326 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
*ทรู มองเชิงบวกหลังจากพบผู้บริหาร คาดผลการดำเนินงานหลักในปี 2014 ขาดทุนน้อยลงเหลือ -1.3 พันล้านบาท (ดีขึ้นกว่าคาดเดิม 43%) จากค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลงอย่างมีนัยยะ  ส่วนปี 2015 คาดมีกำไรหลัก 248 ล้านบาท จากเดิมคาดขาดทุน 2 พันล้านบาท
JSP ต่ำจอง 2.60 บาท ไปอีกเจ้า ตอนนี้ ราคาไหลลงเรื่อยๆ ใครอมหุ้นตัวนี้อยู่ต้องรีบคายออกมา อย่าหวังว่าเจ้าจะกลับมาลากอีก ไม่มีอีกแล้ว ขายวันแรกน่าจะเป็นราคาที่ดีที่สุดแล้วสำหรับหุ้นไอพีโอสมัยนี้ แต่แค่จะได้หุ้นไอพีโอมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
*หุ้นแบงก์-รับเหมาไปไม่ไหว กระแสรถไฟทางคู่แม้จะช่วยดันกลุ่มรับเหมาขึ้นมา แต่พอลากมาได้ระยะหนึ่งก็ต้องพักฐานกันบ้าง รอบใหม่คราวนี้ได้เห็นถ้าดัชนีทะลุ 1,600 จุดได้
AJD มีปัญหา หลังขายเพิ่มทุนแก่ PP ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด 97.48% ราคาเลยดิ่งไปเกือบ 7%
*ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพิกถอน ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (PICNI) หลังควบรวม "เวิลด์แก๊ส"  และรับบริษัทใหม่ WP เข้าจดทะเบียนแทน ปิดตำนานหุ้นร้อนแรงในอดีตตัวนี้
*เอ็มดี KBANK มาแล้ว เปิดแผนธุรกิจปี 2558 มุ่งเป็นอันดับหนึ่งด้านดิจิตอลแบงกิ้งเป็นธนาคารแห่ง AEC+3 ที่แข็งแกร่งพร้อมรองรับการลงทุนและธุรกรรมข้ามชาติ เข้ากับบรรยากาศช่วงนี้จริงๆ ที่ใครๆ ก็จะบุกอาเซียนกันทั้งนั้น
*เมืองไทย ลิสซิ่ง หรือ MTLS ผู้ให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถ และสินเชื่อส่วนบุคคล พร้อมเทรดวันนี้ (26 พ.ย.) ราคาไอพีโอ 5.50 บาท คงจะเหนือจองได้ไม่ยาก ก็คงจะใกล้เคียงกับ SAWAD ที่ไอพีโอถูก พอเข้ามาก็วิ่งไปไกลถึง 3 เท่า
*เอซ กรุ๊ป แต่งตั้ง “ฟีโอน่า ไซมอนส์” ขึ้นตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ของ บ.เอซ ไอเอ็นเอ โอเวอร์ซีส์ อินชัวรันซ์ สาขาประเทศไทย รับผิดชอบการดูแลงานฝ่ายผลิตภัณฑ์ประกันอุบัติเหตุและสุขภาพและธุรกิจ  PBI (Personal Business Lines) และการพัฒนางานด้านการให้บริการลูกค้าในฝ่ายปฏิบัติการ มีผล 1 ม.ค. 58
*ด้าน บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต เปิดตัวสติ๊กเกอร์ LINE แอนิเมชั่น “รักษ์ยิ้ม ดุ๊กดิ๊ก” ปลื้มมีฐานสมาชิกกว่า 19.65 ล้านราย เบอร์ 1 ในกลุ่มธุรกิจการเงิน-ประกัน และอยู่ในท็อป 3 ของ Official LINE Account ที่มีสมาชิกมากสุดในประเทศ ซึ่งกลยุทธ์การสื่อสารผ่านช่องทางสังคมออนไลน์ถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเติบโตสู่อนาคตที่บริษัทตั้งเป้าหมายจะเป็น Digital Insurer

AJD หักดิบนักลงทุนรายย่อย ประกาศเพิ่มทุนให้กับนักลงทุน 13 ราย ราคา 0.10 บาท ตลท.สั่งชี้แจง

AJDหักหลังนักลงทุน!
เพิ่มทุนโหดราคา10สต.

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2557 
ผู้เข้าชม : 9 คน 

AJD หักดิบนักลงทุนรายย่อย ประกาศเพิ่มทุนให้กับนักลงทุน 13 ราย ราคา 0.10 บาท ตลท.สั่งชี้แจงกรณีขายหุ้นเพิ่มทุนต่ำกว่าราคาถั่วเฉลี่ยถึง 97.48% แถมต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี และกระทบผู้ถือหุ้นเดิมจากไดลูทชั่น 50% ขีดเส้นตายภายในวันที่ 28 พ.ย.นี้
วานนี้ (25 พ.ย.) ราคาหุ้นบริษัท คราวน์ เทค แอดวานซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ AJD ปรับตัวลดลงกว่า 7.77% ปิดตลาดที่ 3.80 บาท ลดลง 0.32 บาท มูลค่าการซื้อขาย 722.82 ล้านบาท เหตุนักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก หลังจาก AJD ประกาศเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น 13 ราย ราคาต่ำเพียงแค่ 0.10 บาท ทั้งที่ราคาตามมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 0.18 บาท และต่ำกว่าราคากระดานกว่า 97%
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัท คราวน์ เทค แอดวานซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ AJD แจ้งมติคณะกรรมการเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 57 เพื่อขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพิ่มทุน โดยจัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) 13 ราย จำนวน 1,500 ล้านหุ้น (พาร์ 0.10 บาท) ราคาหุ้นละ 0.10 บาท เข้าข่ายเป็นการเสนอขายหุ้นราคาต่ำ เนื่องจากราคาตลาดถัวเฉลี่ย 7 วัน ทำการ เท่ากับ 3.98 บาท โดยต่ำกว่าราคาตลาด 97.48% รวมทั้งราคาเสนอขายดังกล่าวยังต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีของบริษัท ณ วันที่ 30 ก.ย. 57 เท่ากับ 0.18 บาท
โดยบริษัทยังมิได้เปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจน เกี่ยวกับเหตุผลความจำเป็นที่ต้องเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ PP ราคาต่ำกว่าราคาตลาด 97.48% และทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิมลดลง 50% ณ ปัจจุบันที่ 3,000 ล้านหุ้น การดำเนินการดังกล่าวกระทบต่อสิทธิประโยชน์และการตัดสินใจของผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุน ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์จึงให้ AJD ชี้แจงข้อมูลดังกล่าว ให้ครบถ้วนและชัดเจนภายในวันที่ 28 พ.ย.57
ดร.อมร มีมะโน กรรมการผู้จัดการใหญ่  AJD เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 375 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 667.95 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ 2,929.48 ล้านหุ้น มูลค่าตราไว้ 0.10 บาท โดยจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 1,500 ล้านหุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) โดยเสนอขายราคา 0.10 บาทต่อหุ้น
พร้อมอนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบริษัทครั้งที่ 2 (AJD-W2) รวมจำนวนไม่เกิน 857.14 ล้านหน่วย เพื่อเป็นการตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นเดิม โดยจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 2 อัตราส่วน 3.5 หุ้นสามัญเดิมต่อใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยฟรี กรณีมีเศษของใบสำคัญแสดงสิทธิเหลือจากการคำนวณตามอัตราส่วนการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าว ให้ตัดเศษดังกล่าวทิ้งทั้งจำนวน โดยราคาการใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิ ครั้งที่ 2 เท่ากับ 0.10 บาทต่อหุ้น
นอกจากนี้เพื่อรองรับการปรับสิทธิตามข้อกำหนดสิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งที่ 1(AJD-W1) ตามข้อกำหนดสิทธิจากผลกระทบจากการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัดและผู้ถือหุ้นเดิม (right offering) จำนวนไม่เกิน 572.34 ล้านหุ้น
“การจัดสรรหุ้น PP ครั้งนี้ เป็นการจัดสรรให้กับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนศักยภาพธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตที่ดีและแข็งแกร่งในอนาคต ขณะที่การออกวอร์แรนต์ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมอัตราส่วน 3.5 :1 เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นบริษัทที่มีความเชื่อมั่นบริษัทและอยู่กับเรามานาน  นอกจากนี้แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/57 มีทิศทางที่ดีและมั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะออกมาอย่างโดดเด่น” ดร.อมร กล่าว

ฉลองลดดอกเบี้ยไม่ยอมเลิก

ฉลองลดดอกเบี้ยไม่ยอมเลิก
ต่างประเทศ วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2557 


ซีเอ็นบีซี - หุ้นจีนพุ่งสูงสุดในรอบสามปีอีกครั้งเมื่อวานนี้ นักลงทุนฉลองที่ธนาคารกลางจีนลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่ตลาดอื่นๆ ในเอเชียมีการซื้อขายทั้งบวกและลบ

การลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันศุกร์จากธนาคารกลางจีน ซึ่งเป็นการลดครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2555 ถือว่าเป็นเซอร์ไพรส์ที่น่ายินดีสำหรับตลาด โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่า การลดดอกเบี้ยจะลดความเสี่ยงในด้านลบต่อเศรษฐกิจ
เทรดเดอร์ในเอเชียให้ความสนใจต่อน้ำมันเช่นกัน โดยน้ำมันดิบเบรนต์อยู่ในระดับต่ำกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนที่จะมีการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันพฤหัสฯ นี้
อีแวน ลูคัส นักกลยุทธ์ตลาดบริษัท ไอจี กล่าวว่า คนส่วนใหญ่ในตลาดคาดว่าโอเปกจะประกาศลดการผลิตพอประมาณ อย่างไรก็ดี เมื่อคำนึงถึงการสื่อสารที่ไม่แน่ไม่นอนของโอเปกที่จะออกมา และปฏิกิริยาของราคาน้ำมันดิบเบรนต์เกี่ยวกับแถลงการณ์เหล่านี้ จึงไม่น่าที่โอเปกจะมีปฏิกิริยาที่สอดคล้องกัน
ตลาดเซี่ยงไฮ้ ปรับตัวขึ้น 1.4% หุ้นจีนพุ่งสูงสุดในรอบสามปีเป็นวันที่สองติดต่อกันโดยมีบริษัทมีเดียดีดตัวแรงสุด โดยเบสทีวี นิว มีเดีย และเซี่ยงไฮ้ โอเรียลทอล เพิร์ล ดีดตัว 10% เต็มเพดานประจำวัน หลังจากประกาศว่าจะควบรวมกันเมื่อวันจันทร์ แต่ดัชนีฮั่งเส็ง ดีดตัวลดลงพอประมาณ  0.21%
ตลาดโตเกียวปรับตัวขึ้น 0.3% ดัชนีนิกเกอิ พุ่งขึ้นหลังจากที่ตลาดปิดเมื่อวันจันทร์ อย่างไรก็ดี ดัชนีนิกเกอิดีดตัวขึ้นอีกได้อย่างจำกัดเมื่อเยนเงินเคลื่อนตัวออกจากระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี และหลังจากที่มีรายงานการประชุมจากธนาคารกลางญี่ปุ่นว่า มีความวิตกว่าภาวะเงินฝืดจะกลับมา
หุ้นฮอนด้า มอเตอร์ดีดตัว 1.4% เนื่องจากนักลงทุนไม่สนใจข่าวที่ว่าบริษัทไม่ได้แจ้งให้ทางการสหรัฐรับรู้เกี่ยวกับการบาดเจ็บและการเสียชีวิต 1,729 ราย ที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุในรถยนต์ฮอนด้านับตั้งแต่ปี 2546  ขณะเดียวกันหุ้นโซนี่ก็พุ่งขึ้นกว่า 6% หลังจากที่คาดว่ารายได้แผนกอุปกรณ์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 69% ในช่วงสามปีข้างหน้า
ตลาดซิดนีย์ปรับตัวลง 0.5% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของราคาทองแดงและราคาทองคำในชั่วข้ามคืน โดยหุ้นเหมืองแร่ปรับตัวลงมากสุด
ตลาดโซล ปรับตัวลง 0.1% หลังจากที่ดีดตัวในช่วงเช้าเนื่องจากหุ้นบลูชิพมีการซื้อขายทั้งขึ้นและลง โดยซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ปรับตัวลงกว่า 2% เพราะมีรายงานว่า กำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูง
ตลาดสิงคโปร์ ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยที่ 3,334 จุด แม้ข้อมูลชี้ว่าเศรษฐกิจโตในอัตราที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดในช่วงไตรมาสสาม

รายได้รัสเซียลดฮวบฮาบ

ข่าวสั้นต่างประเทศ
ต่างประเทศ วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2557 

รายได้รัสเซียลดฮวบฮาบ

บีบีซี - อันตัน ซิลูอานอฟ รัฐมนตรีคลังรัสเซีย เผยราคาน้ำมันปรับตัวลงทำให้รัสเซียสูญเสียรายได้ 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะเดียวกันมาตรการลงโทษของชาติตะวันตกส่งผลกระทบต่อประเทศประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์   รัฐมนตรีคลังรัสเซียได้ให้ความเห็นข้างต้นในการประชุมเศรษฐกิจและการเงินระหว่างประเทศที่กรุงมอสโกเมื่อวันจันทร์ และในวันเดียวกันมีรายงานว่า รัสเซียอาจลดการผลิตน้ำมันประมาณ 300,000 บาร์เรลต่อวัน เพื่อพยายามหนุนราคาน้ำมัน ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ก็ได้กล่าวว่า รัสเซียอาจพบกับความหายนะตามมาอย่างรุนแรงจากมาตรการลงโทษ การปรับตัวลงของราคาน้ำมัน และการอ่อนตัวของเงินรูเบิล แต่ในขณะเดียวกันก็ได้อ้างว่าผลที่ตามมาเหล่านี้จะส่งผลกระทบโดยทันทีต่อประเทศอื่นๆ

ไอเอ็นจีลดพนักงาน 1,700 คน
กรุงเฮก - ไอเอ็นจีประกาศว่าจะลดตำแหน่งงานในเนเธอร์แลนด์ 1,700 ตำแหน่งในช่วงสามปีข้างหน้า เนื่องจากธนาคารจะพัฒนาบริการธนาคารออนไลน์อัตโนมัติ นอกจากนี้ จะลดตำแหน่งงานที่ทำสัญญากับคนนอกอีก 1,075 ตำแหน่งเช่นกัน  การลดพนักงานนี้จะพุ่งเป้าไปที่สำนักงานใหญ่ในอัมสเตอร์ดัม แผนกไอที และคอลเซ็นเตอร์ โดยคาดว่าจะประหยัดเงินได้ทั้งหมดประมาณ 270 ล้านยูโร ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป  ขณะนี้ไอเอ็นจีมีพนักงานทั่วโลก  53,000 คน และได้ปรับโครงสร้างไปแล้วในช่วงไม่กี่ปีมานี้  โดยได้ขายธุรกิจประกันและบริษัทสาขาไปหลายแห่ง

เมดิแบงก์เข้าตลาดออสเตรเลีย
บีบีซี - เมดิแบงก์ บริษัทประกันสุขภาพออสเตรเลียได้ขายหุ้นในตลาดเป็นวันแรกเมื่อวานนี้ หลังจากที่ระดมเงินได้ 5,679 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในการเสนอขายหุ้นครั้งใหญ่สุดในรอบสองปีของเอเชีย  การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลียเมื่อวานนี้ถือเป็นการจดทะเบียนสินทรัพย์ของรัฐบาลออสเตรเลียที่ใหญ่สุดในรอบ 18 ปี  นับตั้งแต่มีการขายหุ้นเทลสตราเมื่อปี 2540  หุ้นเมดิแบงก์มีการซื้อขายครั้งแรกในราคา 2.22 ดอลลาร์ออสเตรเลีย เทียบกับราคา 2.15 ดอลลาร์ออสเตรเลียที่นักลงทุนสถาบันได้ซื้อ และราคา 2 ดอลลาร์ออสเตรเลียสำหรับนักลงทุนรายย่อย การเข้าตลาดหุ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของรัฐบาลออสเตรเลียที่จะขายสินทรัพย์ 130,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย


น้ำมันดิบอาจลดลงเหลือ60ดอลลาร์

น้ำมันดิบอาจลดลงเหลือ60ดอลลาร์

ต่างประเทศ วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2557 
ซีเอ็นบีซี - ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตลาดน้ำมันเชื่อ ราคาน้ำมันอาจปรับตัวลงเหลือ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากโอเปกไม่ตกลงลดกำลังการผลิตมากเมื่อมีการประชุมที่กรุงเวียนนาในสัปดาห์นี้

ผู้จัดการกองทุนโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ตราสารน้ำมันดิบเบรนต์ได้ปรับตัวลง 34% นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ที่ 76.76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน และอาจจะปรับตัวลงอีกหากโอเปกไม่ตกลงลดกำลังการผลิตอย่างน้อย 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน
แดเนียล บาธ ผู้จัดการกองทุนลูปัส อัลฟา กล่าวว่า ตลาดจะเกิดความสงสัยต่อความน่าเชื่อถือของโอเปกและอิทธิพลของโอเปกที่มีต่อตลาดน้ำมันโลกหากไม่ลดการผลิต ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำมันดิบเบรนต์ปรับตัวลงไปอยู่ที่ประมาณ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
บาธกล่าวว่า พฤติกรรมในการกักตุนน้ำมันและการเปลี่ยนไปทำโพสิชั่นเพื่อเก็งกำไรในด้านลบ น่าจะเร่งให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงเร็วขึ้น
ผู้จัดการกองทุนยังมีความเห็นไม่ตรงกันว่าโอเปกจะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการลดกำลังการผลิตหรือไม่ แต่บาธมองว่าโอกาสที่จะลดกำลังการผลิตไม่มากกว่า 50%
ราคาน้ำมันได้ลดลงมาตั้งแต่ฤดูร้อนเนื่องจากมีซัพพลายเหลือเฟือ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐมีการผลิตน้ำมันในชั้นหิน นอกจากนี้ เป็นเพราะว่าการเติบโตของดีมานด์ลดลงโดยเฉพาะดีมานด์ในยุโรปและเอเชีย ผลที่ตามมาคือ นักลงทุนบางคนเชื่อว่าการลดกำลังการผลิตเล็กน้อย หรือประมาณ 500,000 บาร์เรลต่อวัน ไม่เพียงพอที่จะทำให้ตลาดสงบลง
ดอจ คิง หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของอาร์ซีเอ็มเอ แคปิตอล มองว่า น้ำมันดิบเบรนต์จะลดลงเหลือ 70 ดอลลาร์ แม้ว่าโอเปกจะลดกำลังการผลิต 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน  และหากโอเปกไม่สามารถตกลงลดกำลังการผลิตกันได้ ราคาน้ำมันจะลดลงอีกอย่างค่อนข้างรวดเร็ว โดยน้ำมันดิบสหรัฐอาจจะลดลงเหลือ 60 ดอลลาร์
เนื่องจากสมาชิกโอเปกหลายชาติกำลังพยายามทำให้งบประมาณสมดุล  จึงอาจจะมีหลายประเทศผลักดันให้มีการลดกำลังการผลิต
นิโคลัส โรบิน ผู้จัดการกองทุนโคภัณฑ์ เทรดนีดเดิ้ล  กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่ต่ำกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล กำลังกดดันมากต่อสมาชิกที่อ่อนแอที่สุดของโอเปกอย่างเวเนซุเอลา
โรบินกล่าวว่า  การลดกำลังผลิตมากหนึ่งล้านดอลลาร์ขึ้นไป เป็นสถานการณ์ที่ผิดปกติ แต่การเคลื่อนไหวเช่นนั้นจะทำให้ราคาน้ำมันสูงกว่า  85 ดอลลาร์อย่างรวดเร็ว
ดอจ เฮพเวิร์ธ จากบริษัท เกรแชม อินเวสเมนต์ แมเนจเมนต์ กล่าวว่า  โอเปกต้องลดการผลิตมากอย่างน่าประหลาดใจ หรือประมาณ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ราคาน้ำมันจึงจะกลับไปอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ และสมาชิกโอเปกอื่นๆ ของโอเปกที่ไม่ใช่ซาอุดีอาระเบียจะต้องรักษาวินัยใหม่ด้วย
ตลาดน้ำมันได้เต็มไปด้วยทฤษฎีสมคบคิดเมื่อเกิดความสงสัยว่าทำไมซาอุจึงไม่เข้าแทรกแซง
โทมัส ฟรีด์แมน  คอลัมนิสต์ของนิวยอร์ก ไทม์ เปรยว่ากำลังจะเกิดสงครามน้ำมันทั่วโลก โดยเป็นการต่อสู้ของสหรัฐและซาอุ กับรัสเซียและอิหร่าน
ทอม เนลสัน นักวิเคราะห์ อินเวสเทค โกลบัล อีเนอร์จี้ ฟันด์ กล่าวว่า ซาอุปล่อยให้ราคาน้ำมันลดลงเพื่อจูงใจให้สมาชิกโอกเปกที่มีขนาดเล็กกว่าร่วมมือกับตนในการลดกำลังการผลิต  โดยกล่าวว่า การลดกำลังผลิตระหว่าง 1-1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันควรจะเพียงพอที่จะทำให้ตลาดมีความสมดุล
“ตลาดต้องการเห็นโอเปกยังคงทำหน้าที่อยู่ หากมีการลดกำลังผลิตน้อยและมีแถลงการณ์จากโอเปกที่แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นเอกภาพ และมีการพูดเกี่ยวกับการเห็นการฟื้นตัวของดีมานด์และซัพพลายเติบโตพอประมาณ แล้วล่ะก็ น้ำมันดิบเบรนต์อาจกลับไปอยู่ที่ 80-90 ดอลลาร์” เนลสัน กล่าว
อย่างไรก็ดี  ผู้เชี่ยวชาญบางคนชี้ เป็นไปไม่ได้ที่ราคาน้ำมันจะลดลงเหลือ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่โอเปกประชุมในสัปดาห์นี้เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายกำลังการผลิต
เจฟฟ์ กรอสแมน ประธานบริษัท บีอาร์จี โบรกเกอร์เรจ กล่าวว่า ในขณะที่มีโอกาสน้อยที่จะมีการลดราคาน้ำมันลงมาก   โอเปกน่าจะประกาศว่า ได้หารือลดกำลังการผลิตเพื่อยับยั้งการปรับตัวลงของราคาและกำหนดราคาต่ำสุดในตลาด
“แม้ว่าสภาพอากาศจะรุนแรง ตลาดน้ำมันอาจจะลงไปอยู่ที่ 72 ดอลลาร์ ในสี่ถึงหกสัปดาห์ข้างหน้า” กรอสแมน กล่าว
ราคาน้ำมันมาตรฐานได้ปรับตัวลงจากเดือนมิถุนายน 30% น้ำมันดิบเบรนต์ที่ซื้อขายใกล้ 80 ดอลลาร์เมื่อวันจันทร์ ลดลงจากที่พุ่งสูงสุด 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบสหรัฐอยู่เหนือ 76 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับที่เคยพุ่งสูงถึง 107 ดอลลาร์
กรอสแมน กล่าวว่า โอเปกจะไม่แสดงความรู้สึกเมื่อมีการประชุมในวันพฤหัสบดี และจะแสดงให้เห็นว่าโอเปกมีความเป็นเอกภาพและไม่มีสมาชิกรายใดที่ตื่นตระหนก

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ต่างชาติทิ้งบอนด์ 11เดือน2.6หมื่นล.

ต่างชาติทิ้งบอนด์ 11เดือน2.6หมื่นล.
กองทุนรวม ประกัน วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2557 

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยเผย  11 เดือนนักลงทุนต่างชาติขายตราสารหนี้ไปแล้ว 2.67 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นมากสุด แต่ระยะยาวยังคงถือครองอยู่ ระบุเงินไหลออกเล็กน้อยลดเสี่ยงดอกเบี้ยขาขึ้น
นายสุชาติ ธนฐิติพันธ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เผยว่า ช่วงวันที่ 1-14 พ.ย. 2557 มีเงินต่างชาติไหลออกจากตลาดตราสารหนี้สุทธิ 5,000 ล้านบาท โดยเป็นการไหลออกจากตราสารหนี้ระยะสั้น 9,700 ล้านบาท แบ่งเป็นการขายตราสารหนี้ระยะสั้น 5,600 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ครบอายุไป 4,100 ล้านบาท ขณะที่มีการซื้อตราสารหนี้ระยะยาว 4,700 ล้านบาท
ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบัน พบทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดตราสารหนี้สุทธิ 26,700 ล้านบาท เป็นการไหลออกจากตราสารหนี้ระยะสั้น 85,600 ล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น 138,600 ล้านบาท ขณะที่มีตราสารหนี้ครบอายุไป 224,200 ล้านบาท และมีการซื้อตราสารหนี้ระยะยาว 58,900 ล้านบาท ทำให้ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติถือครองตราสารหนี้ไทยอยู่ 683,000 ล้านบาท เป็นสัดส่วนของตราสารหนี้ระยะสั้น 12% และตราสารหนี้ระยะยาว 88%
“ปัจจัยในต่างประเทศยังไม่มีผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนแต่ประการใด ทั้งท่าทีของธนาคารกลางยุโรปที่พร้อมจะอัดฉีดเงินเข้าระบบ หรือการเพิ่มวงเงินในการอัดฉีดของธนาคารกลางญี่ปุ่น ในส่วนของเงินลงทุนระยะสั้นยังมีการไหลออกทั้งจากการครบอายุและที่ขายออกมา ขณะที่ตราสารหนี้ระยะยาวยังไหลเข้ามาซื้ออย่างต่อเนื่องเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1,500-2,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มต่อเนื่องไปจนถึงช่วงกลางปีหน้าด้วย”
นายสุชาติ ยังกล่าวอีกว่า เงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้อายุ 3-10 ปี มากขึ้นในเดือนพ.ย.เพราะในเดือนพ.ย.นี้ไม่มีการประมูลพันธบัตร
รุ่นอ้างอิง 5 ปี 10 ปี และ 15 ปี แต่ประการใด นักลงทุนจึงเข้ามาซื้อในตลาดรองแทน กดดันให้ผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 3-10 ปี ปรับตัวลงเฉลี่ย 0.20-0.25% ขณะที่พันธบัตรอายุมากกว่า 20 ปี ปรับขึ้นน้อยลงเฉลี่ย 0.10%
อีกส่วนหนึ่งคงเป็นมุมมองดอกเบี้ย ที่มองดอกเบี้ยในประเทศไทยเอง คงไม่ปรับขึ้นเร็วจากเดิมที่เคยคาดว่าจะปรับขึ้นกลางปีราวไตรมาส 2-3 ตอนนี้เริ่มมองว่าน่าจะปรับขึ้นช้ากว่านั้น เป็นไตรมาส 3-4 และยังมีบางมุมที่มองว่ามีโอกาสดอกเบี้ยในประเทศจะปรับลงด้วย
“ปัจจุบันดีมานด์ลงทุนตราสารหนี้ยังมากกว่าซัพพลายของตราสารหนี้อยู่พอควร หากแนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศปรับเป็นขาขึ้นแล้ว ต่างชาติขายทำกำไรออกมา เชื่อว่าจะไม่กระทบตลาดตราสารหนี้ เพราะดีมานด์จากนักลงทุนสถาบันระยะยาวในประเทศ ทั้งประกันและกองทุนระยะยาว ยังมีดีมานด์รองรับตรงนี้เอาไว้ได้ทั้งหมด และที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนระยะยาวเองก็ไม่มีพฤติกรรมขายแล้วหนีจากตลาด แต่จะขายแล้วกลับซื้อตราสารหนี้ในอายุที่สั้นลง ในลักษณะการปรับอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ที่ลงทุนมากกว่า”

นิวส์เวฟ คอลัมน์ วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2557

นิวส์เวฟ
คอลัมน์ วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2557 

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายอยู่ที่ 1,590.14 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 10.94 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.9 หมื่นล้านบาท
* ตลาดหุ้นไทยยังมีสามประสานเข้าซื้อสุทธิหน้าเดิมเริ่มจากทางสถาบันที่ลุยเข้าเก็บ 2,123 ล้านบาท ตามด้วยต่างชาติที่เข้าซื้อ 1,469 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์อีก 208 ล้านบาท ส่วนรายย่อยเล่นบทชาวสวนลุยเทขายสุทธิ 3,801 ล้านบาท
* หุ้น JAS วิ่งบวกแรงไม่เบา ปิดราคาที่ 7.85 บาท เพิ่มขึ้นไปกว่า 2% ถือเป็นการประเดิมเปิดบวกประจำสัปดาห์ต้อนรับกระแสเดินสายโรดโชว์กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน โดยในช่วงวันที่ 26 พ.ย.นี้ ทางผู้บริหารอย่าง “พิชญ์  โพธารามิก” ยังได้เปิดโต๊ะแถลงข่าว ซึ่งดูแล้วน่าจะมีข่าวดีให้ได้ ขานักลงทุนทั้งหลายได้รับทราบเหมือนเช่นเดิม
* หลังจากนั้นจะเริ่มเข้าสู่การโรดโชว์ครั้งแรกสำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ ภายในวันเดียวกัน ถัดมาในวันที่ 27 พ.ย. ข้ามไปโรดโชว์ต่อกันที่เชียงใหม่ ตามด้วย 28 พ.ย.ขยับมาในส่วนพื้นที่ขอนแก่น และปิดท้าย 1 ธ.ค. ที่หาดใหญ่
* นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นหุ้น VGI กลับมาบวกแรงๆ กระชากใจนักลงทุน โดยซัดปิดบวก 12.60 บาท เพิ่มขึ้นเฉียด 7% ที่จริงระยะหลังโบรกฯ ส่วนใหญ่เริ่มตั้งลำกลับมาแนะนำ “ซื้อ” อีกรอบแล้ว
* หลังจากในช่วงที่ผ่านมาบอกราคาแพงรอเก็บช่วงอ่อนตัวอย่างเดียว (เอ๊ะ ยังไง)  ที่จริงแล้ว VGI ถือเป็นหุ้นสื่อที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งกว่าใครเพื่อนเลยนะ ลองหันไปเทียบหุ้นสื่อรายอื่นในกลุ่มเดียวกันดูสิ ล้วนแต่ทำกำไรหดตัวลงหนักกันทั้งนั้น
* หุ้น GRAMMY ช่วงเช้ารายงานผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯว่า มีกองทุนเข้าไปเก็บหุ้นบริษัทรวมถึง 5% ขณะที่เมื่อวานราคาหุ้นก็ยังบวกแรงต่อไปถึง 14.50 บาท ปิดบวกไปกว่า 6% น่าสงสัยเหมือนกันแหละมีข่าวดีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า ส่วนใครที่ติด (ดอย) หุ้นอากู๋กันอยู่ ขอแนะนำว่า หากมีโอกาสก็ให้เทขายไปก่อนเลย เพราะ GRAMMY ในขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาลงทุนจริงๆ
* หุ้นรับเหมากลับมาคึกคักกันอีกรอบ เนื่องจากเล่นเก็งกำไรล่วงหน้ากรณีที่ในวันนี้ ทางครม.อาจจะพิจารณา MOU ไทย-จีน เพื่อลงทุนโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่
* สามสหายหุ้นรับเหมา ITD-CK-STEC เลยวิ่งบวกนำร่องไปก่อน (อีกแล้ว) อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้นักลงทุนติดตามกันแบบใกล้ชิดไว้หน่อยแล้วกัน เพื่อที่จะสามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันต่อสถานการณ์ เนื่องจากประวัติโรคเลื่อนในช่วงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นกันบ่อยเสียจนชาชินแล้ว
* ขอแสดงความยินดีให้กับหุ้น VPO หรือ วิจิตรภัณฑ์ปาล์มออยล์ ที่ประสบความสำเร็จ เข้าเทรดวันแรกสามารถทำราคาเปิดได้ถึง 4.12 บาท และสุดท้ายปิดบวกอยู่ที่ 2.94 บาท ปรับเพิ่มขึ้นไปเฉียด 9 % ยืนเหนือราคาจองไอพีโอ 2.70 บาท
* ขณะที่ฝั่งหุ้น JSP ปิดฉากล่าสุดอยู่ที่ 2.44 บาท ปรับลงไปกว่า 6% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 1,315 ล้านบาท และกลายเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ทำราคาหุ้นในกระดานหลุดต่ำจองไอพีโอ 2.60 บาท ไปอย่างรวดเร็วภายในช่วง 4 วันทำการเท่านั้น
* งานนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งกรณีตอกย้ำว่า การทำรายบิ๊กล็อตในช่วงเข้าเทรดครั้งแรก มันไม่ใช่เรื่องเวิร์กจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม ย่อมส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนหุ้นไอพีโอในทันที
* สำหรับคนที่หาตัวอยู่ว่า ใครกันแน่เป็นคนขายบิ๊กล็อต 460 ล้านหุ้น ในราคา 2.61 บาทออกมา ซึ่งคำตอบก็ไม่ได้เหนือกว่าที่คาดเดามากนัก เพราะผู้ขายนั่นคือ UOB Kay Hian Private Limited” นั่นเอง อ้าวไหนใครที่ชอบบอกว่า หุ้นอยู่ในมือกองทุนแล้วถือเป็นเรื่องดีสรุปแล้วมันดีจริงไหมเนี่ย??

INTUCH-THCOMเด่นสุด ปันผลสูง7%-กำไรทะลัก

INTUCH-THCOMเด่นสุด
ปันผลสูง7%-กำไรทะลัก

ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2557 

ยก INTUCH-THCOM เด่นกลุ่มสื่อสาร หลังประเมิน INTUCH ดิวิเดนด์ยีลด์สูง 7% และคาด THCOM ไตรมาส 4/57กำไรพุ่ง 490 ล้านบาท โต 53% หนุนปี 57ทั้งปีกำไรทะลัก 1,834 ล้านบาท โตสูงสุดกลุ่มสื่อสาร
นางสาวมินทรา รัตยาภาส รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับหุ้นกลุ่มสื่อสารยังคงน้ำหนักลงทุน “มากกว่าตลาด” เนื่องจากกำไรไตรมาส 4/57 คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ดี ซึ่งเลือกหุ้นเด่น 2 บริษัท คือ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM แนะนำ "ซื้อ" โดย INTUCH มีจุดเด่นในเรื่องอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ราว 7% สูงสุดในกลุ่มสื่อสาร และให้ผลตอบแทนรวม 35% นอกจากนี้ปัจจัยพื้นฐาน INTUCH ยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มจากการขยายธุรกิจใหม่
ส่วน THCOM มีจุดเด่นกำไรเติบโตสูงสุดในกลุ่มสื่อสาร และซื้อขาย PEG เพียง 0.5 เท่า เทียบกับอัตราการเติบโตปี 2557-2559 สำหรับกลุ่ม Mobile Operator เนื่องจาก THCOM เริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานดาวเทียมไทยคม 7 ทำให้คาดว่าไตรมาส 4/57 THCOM มีกำไรอยู่ที่ 490 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากไตรมาส 4/56 และเพิ่มขึ้น 76% จากไตรมาส 3/57 ขณะที่ทั้งปี 2557 คาดกำไรอยู่ที่ 1,834 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ หรือกลุ่ม Mobile Operator ในไตรมาส 4/57 คาดว่าจะมีกำไรที่ดี ทั้ง 3 บริษัท จะเติบโตสูงจากฐานต่ำในไตรมาส 4/56 และดีต่อเนื่องจากไตรมาส 3/57 โดยมีปัจจัยบวกฤดูกาลใช้งานโทรศัพท์มือถือและการเติบโตของยอดขายเครื่องโทรศัพท์มือถือจากการเปิดขายไอโฟน 6 และไอโฟน 6 พลัส
ทั้งนี้ คาดว่าธุรกิจปกติของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ไตรมาส 4/57 จะมีกำไรดีสุดของปีนี้ อยู่ที่ 9,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 4/56 และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาส 3/57 และทั้งปี 2557 คาดกำไรอยู่ที่ 36,364 ล้านบาท ขณะที่บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC คาดกำไรฟื้นตัวแรงอยู่ที่ 2,950 ล้านบาท จากฐานต่ำในไตรมาส 4/56 และไตรมาส 3/57 ส่งผลให้ทั้งปี 2557 คาดกำไรอยู่ที่ 11,794 ล้านบาท ดังนั้น แนะนำ “เก็งกำไร” ADVANC และ DTAC มองว่าหากการประมูลคลื่น 900MHz และคลื่น 1800MHz เกิดขึ้นภายในเดือนก.ค. 2558 ราคาหุ้น ADVANC มีแนวโน้ม Outperform คู่แข่ง
ส่วนบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE คาดพลิกเป็นกำไรในไตรมาส 4/57 อยู่ที่ 150 ล้านบาท จากไตรมาส 4/56 ขาดทุนอยู่ที่ 3,120 ล้านบาท และไตรมาส 3/57 ขาดทุนอยู่ที่ 2,641 ล้านบาท ผลจากต้นทุนลดลง หลังจากหยุดรับรู้ค่าเสื่อม 2G และค่าใช้จ่ายการเงินลดลง ขณะที่ทั้งปี 2557 คาดขาดทุน 3,280 ล้านบาท แนะนำ “ขาย”
ด้านบริษัทอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ หรือกลุ่ม Non Mobile Operator คาดว่าบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART, บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM  เนื่องจาก SAMART จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของทุกธุรกิจ โดยเฉพาะ SIM มีปัจจัยหนุนยอดขายเครื่องเพิ่มจากล็อตใหญ่จำนวน 500,000 เครื่อง ของ DTAC รวมทั้งค่าใช้จ่ายลดลงจากฐานสูงกว่าปกติในไตรมาส 3/57 ดังนั้นคาดว่ากำไรไตรมาส 4/57 อยู่ที่ 480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาส 4/56 และเพิ่มขึ้น 37% จากไตรมาส 3/57 ขณะที่ทั้งปี 2557 คาดกำไรอยู่ที่ 1,647 ล้านบาท
นอกจากนี้ SAMART มีประเด็นเพิ่มจากธุรกิจปกติและเป็นจุดเปลี่ยนธุรกิจสำคัญ โดย SAMART มีแผนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานขยะและพลังงานถ่านหิน มองว่าโรงไฟฟ้าพลังงานขยะขนาด 10 เมกะวัตต์ มีโอกาสเริ่มลงทุนปีหน้า ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินขนาดไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์ จะลงทุนในต่างประเทศ ใช้เงินลงทุนสูงกว่า 10,000 ล้านบาท และมองว่าการเพิ่มทุนจะเป็นทางเลือกหนึ่ง
ทั้งนี้ ปัจจุบัน SAMART มีอัตราหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุน 1.5 เท่า ขณะที่บริษัทกำหนดก่อหนี้ไม่เกิน 2.5 เท่า ทำให้กู้เงินได้อีกราว 7,500 ล้านบาท ดังนั้น แนะนำ “เก็งกำไร” ขณะที่ คาดว่า SIM จะมีกำไรในไตรมาส 4/57 อยู่ที่ 270 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% ทั้งจากไตรมาส 4/56 และไตรมาส 3/57 ทำให้ทั้งปี 2557 กำไรอยู่ที่ 911 ล้านบาท ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” SIM  และผลการดำเนินงาน CSL กลับเป็นกำไร

ไทยพาณิชย์คว้า3ดีลยักษ์ รุกธุรกิจไอบีโกยกำไรเละ ซ่อนมูลค่าหุ้นมโหฬารเป้าหมาย235บาท

ไทยพาณิชย์คว้า3ดีลยักษ์
รุกธุรกิจไอบีโกยกำไรเละ
ซ่อนมูลค่าหุ้นมโหฬารเป้าหมาย235บาท

ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2557  


ไทยพาณิชย์ได้ 3 งานใหญ่ ดีล WHA รับรู้รายได้ไตรมาส 4 อีก 2 งาน ซีพีซื้อธุรกิจเทสโก้ มูลค่า 3 แสนกว่าล้านบาท และดีลขาย LHBANK  ด้านเจ้าสัวธนินท์ยอมรับอยากได้ LOTUS และเคยคุย LHBANK โบรกให้เป้าใหม่ SCB กว่า 235 บาท

แหล่งข่าวจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์มี 3 ดีลใหญ่ที่ธนาคารได้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในปีนี้   ได้แก่ ดีลWHA ซื้อ HEMRAJ และอีก 2 ดีลเทสโก้โลตัส และ LHBANK ซึ่งคาดว่า 2 ดีลหลังจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1/58 และ จะทำให้ SCB รับรู้รายได้ และ สินเชื่อขนาดใหญ่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ดีลล่าสุด เป็นดีล CPALL จะเข้าซื้อธุรกิจ เทสโก้ โลตัส  หรือ LOTUS  ซึ่งต้องแข่งขันทางด้านราคากับอีก 2 ราย คือ กลุ่มไทยเบฟ และ กลุ่มอิออน โดยต้องยอมรับว่า ซีอีโอของอิออน เดินทางมาจากญี่ปุ่นด้วยตัวเอง และยังมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งต้องการขยายฐานที่เมืองไทยเป็นอย่างมากหลังไปขยายสาขาที่กัมพูชามาแล้ว
ก่อนหน้านี้รอยเตอร์ ระบุว่าเครือซีพีกำลังเล็งที่จะซื้อ เทสโก้ โลตัส กลับมามีมูลค่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเครือซีพีนั้นเคยขายโลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์ไปให้กับกลุ่มค้าปลีกยักษ์ใหญ่สัญชาติ UK อย่างเทสโก้ในปี 2541 ภายหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง โดย ณ เดือนสิงหาคม 2557 บริษัทเทสโก้ ประเทศไทย มีไฮเปอร์มาร์เก็ต 162 แห่ง และสาขาขนาดเล็กอีกกว่า 1,627 แห่ง ด้วยพื้นที่ทั้งหมด 15.8 ล้านตารางเมตร ซึ่งเทสโก้ถือเป็นผู้ดำเนินการค้าปลีกที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก เซเว่น-อีเลฟเว่น ของกลุ่ม CPALL
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า อีก 1 ดีลที่สำคัญของ SCB   คือ เป็นที่ปรึกษาดีลแอล เอชไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป หรือ LHBANK  ที่จะหาพันธมิตรใหม่ โดยมีธนาคารจากประเทศจีน 2-3 รายที่สนใจร่วมทุนในครั้งนี้  โดยหนึ่งในนั้น ได้แก่ ผิงอัน ที่กลุ่มซีพีถือหุ้นใหญ่ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากัน
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์แอล เอชไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป เผยว่าอยู่ระหว่างพิจารณา โดยเปิดโอกาสให้พันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง
“SCB จะได้รับค่าฟีจากการทำ 2 ดีลนี้ค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นดีลใหญ่  และหากดีลจบก็จะได้ค่าฟีจากการปล่อยเงินกู้อีก”แหล่งข่าวกล่าว

ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า ธนาคารจะรับรู้รายได้จากการเป็นที่ปรึกษาดีล WHA ประกาศทำ Tender Offer หุ้น HEMRAJ ที่ราคา 4.5 บาท/หุ้น โดยแหล่งเงินทุนที่ WHA จะใช้ซื้อกิจการมาจากการเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ไม่เกิน 8.8 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือได้รับการสนับสนุนเงินกู้ยืมจาก SCB ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งการทำ Tender Offer มีกำหนดเสร็จสิ้นในเดือนมี.ค.58 และ WHA จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ HEMRAJ ในขณะที่หุ้น HEMRAJ ยังคงซื้อขายในตลาดต่อไป
“เรารับรู้รายได้ทันทีในไตรมาส 4/57 และ ในปีนี้ดีลแบบนี้ไม่มีแล้ว โดยรายได้ปีนี้เข้าเป้าตามที่ตั้งไว้ ส่วนในปีหน้าจะมีอีกหลายดีลที่ธนาคารได้เป็นส่วนหนึ่งในการเจรจาหาผู้ร่วมทุน หาแหล่งเงินทุน ซื้อ ขาย กิจการ ทั้งใน และ ต่างประเทศ เพราะตอนนี้เศรษฐกิจกลับมา ความเชื่อมั่นฟื้นคืน การลงทุนก็กลับมาเหมือนเดิม”

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) เผยว่า บริษัทยังไม่เคยเข้าไปเจรจาตกลงการซื้อขายกับห้างค้าปลีกเทสโก้ โลตัสเลย ตั้งแต่มีกระแสข่าวออกมาว่าเทสโก้จะขายกิจการ แต่หากเทสโก้ต้องการขายกิจการยืนยันว่าจะเข้าซื้อหรือหากมีการเสนอขายหุ้นจะเข้าไปถือหุ้นด้วยแน่นอน เพราะเป็นธุรกิจที่ไม่ขัดกับค้าปลีกเดิมที่มีอยู่ทั้งร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น หรือห้างค้าส่งแม็คโคร อีกทั้งยังช่วยต่อยอดให้บริษัทสามารถขายสินค้าได้ในราคาที่ถูกลงและครบวงจรในทุกช่องทางอีกด้วย
”สื่อตีข่าวกันไปเอง รู้ดีเสียยิ่งกว่าผมอีก แต่ต้องยอมรับว่าเราสนใจที่จะซื้อ เพราะตอนที่ขายไปครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง เนื่องจากต้องการนำเงินมาหมุนแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งตัวเทสโก้ไม่ได้มีปัญหา ก็ยังรู้สึกเสียดายมาถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้กับเทสโก้เราก็ไม่เคยคุยกันเลย ครั้งล่าสุดที่เจอกันนานมากแล้ว สมัยประธานใหญ่เทสโก้คนก่อนยังดำรงตำแหน่งอยู่ แต่หากมีการซื้อขายจริงจะรีบออกมาชี้แจงอย่างแน่นอน แต่คงไม่เข้าไปสอบถามเขาว่าจะขายหรือไม่เพราะเป็นการเสียมารยาท คงรอให้เขาออกมาชี้แจงเอง”
สำหรับเทสโก้ โลตัส เดิมเมื่อ 15 ปีก่อนเป็นของบริษัทซีพี แต่ได้ขายให้ออกไป เพื่อรักษาธุรกิจใหญ่ของเครือซีพีไว้ ซึ่งช่วงแรกเริ่มต้นจากการขายหุ้น 75% และเพิ่มทุนใหม่ จากนั้นจึงขายกิจการขายออกไปทั้งหมด โดยมีนายสุนทร อรุณานนท์ชัย ดำรงตำแหน่งเป็นประธานอยู่ในเทสโก้ โลตัส ประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันซีพีและเทสโก้ ยังมีความสัมพันธ์ในฐานะคู่ค่า โดยเครือซีพีขายสินค้าให้กับทางกลุ่มเทสโก้ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศอย่างไรก็ตามบริษัทประเมินว่าหากมีการขายธุรกิจ มูลค่าของเทสโก้ น่าจะสูงกว่าราคาของห้างค้าส่งแม็คโคร ที่บริษัทเข้าซื้อกิจการไปเมื่อปี 56 ที่มูลค่าประมาณ 180,000 ล้านบาท
เนื่องด้วยจำนวนสาขาที่มีมากกว่า แต่คงไม่สามารถบอกได้ว่าราคา 300,000 ล้านบาท ที่ถูกหลายฝ่ายประเมินไว้มีความเหมาะสมเพียงใดทั้งนี้มองว่าเทสโก้ไม่น่าจะขายกิจการในตอนนี้ เพราะยังมีความแข็งแกร่งในการดำเนินกิจการ อีกทั้งยังมีหนี้สินที่ต่ำในหลักพันล้าน ในขณะที่มีรายได้สูงถึงหมื่นล้าน ประกอบกับทางเทสโก้ เพิ่งปรับเปลี่ยนประธานบริหารใหม่ จึงเป็นการเร็วเกินไปสำหรับการเข้ารับตำแหน่งแล้วตัดสินใจขายกิจการออกมา คาดว่าจะต้องใช้เวลาศึกษาธุรกิจในระยะหนึ่ง ก่อนตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆ
นายธนินท์ กล่าวอีกว่า มีสถาบันการเงินหลายรายมาหารือว่า สนใจจะซื้อเทสโก้ ในไทยหรือไม่ นอกจากนี้ นายธนินท์ กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้"เคยหารือ"กับ ผู้บริหารของ บมจ.แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป แต่ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ

นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า ในปี 58 สินเชื่อจะเติบโตได้ 6-8% บนพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ประเมินว่าจะเติบโต 4% โดยจะได้รับแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนของภาครัฐเป็นหลัก ซึ่งหาในไตรมาสแรกของปีงบประมาณนี้ภาครัฐสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ 1 แสนล้านบาทก็เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดี
"ปีหน้าจะกลับมาฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี ซึ่งเราก็มองตัวที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือ การลงทุนภาครัฐเป็นหลักหากสามารถปฏิบัติได้ตามแผนต่อมาภาคเอกชนก็จะมีความเชื่อมั่น และ กลับมาลงทุนอีกครั้งหนึ่งจะส่งผลให้ GDP ปี 58 เติบโตได้อย่างที่คาดไว้"

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า การที่ธนาคารลงนาม MOU กับ Mizuho Bank เพื่อขยายฐานธุรกิจสำหรับลูกค้าใน 2 ประเทศ คือ ไทย และ ญี่ปุ่นรวมทั้งประเทศอื่นๆที่มีเครือข่ายกันอยู่ด้วยการบริการทางการเงินที่ครบวงจร และ มีความหลากหลายเห็นว่าเป็นบวก แทนที่ SCB จะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่ก็สามารถเติบโตได้เร็วขึ้นเมื่อมีพันธมิตรช่วยเหลือ และ ได้ประโยชน์ร่วมกันนับได้ว่าจะสามารถแข่งขันกับ BAY ที่มีพันธมิตรเป็นญี่ปุ่นเช่นกัน
ส่วนแนวโน้มดีขึ้นไตรมาส 4/57 โดยเฉพาะสินเชื่อที่พักอาศัย ส่วน NIM คาดว่าจะปรับขึ้นต่อได้ยาก เพราะต้นทุนการเงินมีโอกาสปรับขึ้นหลังการแข่งขันระดมเงินฝากสูงขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทำให้ความต้องการใช้สินเชื่อจะมากขึ้น โดย SCB เป็นผู้นำในสินเชื่อที่พักอาศัย ซึ่งคาดว่าการขาย และ โอนจะคึกคักขึ้นมากในไตรมาส 4/57สินเชื่อประเภทนี้จึงจะเติบโตดีขึ้นตามไปด้วย
โดยในปี 58 ธนาคารคาดว่าสินเชื่อจะเติบโตได้ 6-8% บนพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ประเมินว่าจะเติบโต 4% โดยจะได้รับแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนของภาครัฐเป็นหลัก ส่วนเรื่องโอกาสเกี่ยวกับ AEC ทางธนาคารจะมุ่งเน้นในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) คือ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และ จีน (ยูนนาน) โดยปัจจุบันธนาคารมีการขยายธุรกิจไปในกัมพูชา และร่วมกับพันธมิตรในเวียดนาม และ ลาว แต่เป็นเพียงการขยายสาขาเท่านั้นเนื่องจากประเทศมีขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตาม ยังแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาพื้นฐาน 235 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับ P/BV ปี 58 ที่ 2.4 เท่า โดยจุดเด่นของ SCB คือ มีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตสินเชื่อที่ดี มีประสิทธิภาพ และ การดำเนินงานมีความยืดหยุ่นสูง