วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

SCCยันปีนี้นิวไฮ กำไร4หมื่นล้าน รับปิโตรฯขาขึ้น

SCCยันปีนี้นิวไฮ กำไร4หมื่นล้าน รับปิโตรฯขาขึ้น

2015-10-29

“ปูนใหญ่” การันตีกำไรสุทธิปีนี้นิวไฮเกิน 4 หมื่นล้าน รับอานิสงส์ธุรกิจปิโตรเคมีขาขึ้น สเปรดผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับสูง ลั่นกำไรสุทธิ Q4 ดีกว่า Q3 ที่ทำได้ 9 พันล้าน เดินหน้าขยายลงทุนตลาดอาเซียนต่อเนื่อง เล็งเสนอขายหุ้นกู้หมื่นล้านบาท
         นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า มั่นใจกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตเป็นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งคาดว่าจะทำได้มากกว่า 40,000 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว จำนวน 33,951 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่จำนวน 440,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ จำนวน 490,000 ล้านบาท เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ลดลงประมาณ 20-30%
         โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/58 จะเติบโตกว่าไตรมาส 3/58 ที่มีกำไรสุทธิ 9,001 ล้านบาท เนื่องจากมีโอกาสที่จะมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ และคาดว่าราคาน้ำมันมีโอกาสจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวจึงคาดว่าจะมีการบริโภคน้ำมันสูงขึ้น ส่วนราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีคาดว่าจะปรับลดลงด้วยเช่นกัน แต่เบื้องต้นมองว่ากำไรสุทธิจะเติบโตกว่าแน่นอน
         รวมถึงประเมินว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์จะอยู่ที่ 700-750 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งมากกว่าปีก่อนที่อยู่ระดับ 682 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยเชื่อว่าราคาปิโตรเคมีในอีก  2 ปีข้างหน้า ตั้งแต่ปี 2559-2561 จะมีผลกำไรที่ดี เนื่องจากจะยังไม่ผลิตกำลังผลิตใหม่เข้าสู่ระบบ อีกทั้งแนวโน้มราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ
         สำหรับแนวโน้มความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศในปีนี้มีโอกาสที่จะเติบโตอยู่ในระดับ 0% หรือเป็นบวกในรูปแบบของจุดทศนิยม โดยประเมินว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในหลายด้าน รวมถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ยอดการใช้ปูนซีเมนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ถึงแม้ว่าในไตรมาส 3/58 จะติดลบ 1% แต่เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ภายในไตรมาส 4/58
         นายกานต์ กล่าวถึงความคืบหน้าการโครงการลงทุนในต่างประเทศว่า ขณะนี้โรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศกัมพูชาสามารถเดินเครื่องในสายการผลิตที่สองแล้ว ซึ่งมีขนาดกำลังผลิต 9 แสนตันต่อปี ขณะที่โรงงานปูนซีเมนต์ที่ประเทศอินโดนีเซีย จะสามารถเริ่มผลิตได้ภายในปีนี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบกำลังการผลิตได้ครบตามกำหนดไว้ที่ 50,000 ตันต่อวันแล้ว รวมถึงบริษัทได้เตรียมพร้อมสำหรับการขายสินค้าแล้ว
        ส่วนโรงงานปูนซีเมนต์ที่ประเทศเมียนมาร์ จะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 2559 และสปป.ลาว คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 2560 สำหรับโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ที่ประเทศเวียดนาม คาดว่าจะสามารถจัดหาผู้รับเหมาก่อสร้างได้ภายในสิ้นปีนี้ และจะสามารถสรุปงบลงทุนโครงการได้ภายในปี 2559 ซึ่งเบื้องต้นจากเดิมได้เคยวางงบลงทุนไว้จำนวน 4,500 เหรียญสหรัฐ
        ขณะเดียวกันคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) มีมติให้ออกและเสนอหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2558 (SCC19NA) จำนวนไม่เกิน 10,000  ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.40% โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ จะนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ SCC15NA จำนวน 10,000 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 พ.ย. 2558 โดยเสนอขายให้กับนักลงทุนที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้ของเอสซีจีเมื่อรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่จะออกแล้ว จะมีวงเงินหุ้นกู้ที่ออกรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 166,500  ล้านบาท
        นอกจากนี้บริษัทประกาศแต่งตั้งนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ และให้พ้นจากตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ แทนนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งจะครบกำหนดเกษียณอายุ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ทั้งนี้จะมีผลตั้งแต่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
        สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3/58 บริษัทกำไรสุทธิจำนวน  9,001 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน ตามส่วนต่างราคาของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาสนี้ยังคงมีผลการดำเนินงานโดยรวมที่ดี แม้ว่าในไตรมาสนี้จะมีขาดทุนจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำรวม 3,630 ล้านบาท (ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ จำนวน 2,160 ล้านบาท และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 1,470 ล้านบาท)
        ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2558 บริษัทมีรายได้จากการขายจำนวน 333,992 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 33,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37%  จากปีก่อน ขณะที่ธุรกิจของบริษัทในอาเซียน ซึ่งรวมรายได้จากฐานการผลิต และการส่งออกไปอาเซียน โดยในไตรมาส 3/58 มีรายได้จำนวน 24,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งมาจากยอดขายในประเทศเวียดนามที่เพิ่มขึ้น ส่วน 9 เดือนมีรายได้ 74,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน
        ด้านธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายในไตรมาส 3/58 จำนวน 43,570 ล้านบาท ลดลง 6% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 2,073 ล้านบาท ลดลง 33% จากปีก่อน จากความต้องการภายในประเทศที่ลดลง ส่วน 9 เดือนแรกมีรายได้จากการขาย จำนวน 136,314 ล้านบาท ลดลง 3% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ จำนวน 8,527 ล้านบาท ลดลง 20%  จากปีก่อน จากการฟื้นตัวของตลาดภายในประเทศ
        ด้านธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้ในไตรมาส 3/58 จำนวน 51,591 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 6,838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% จากปีก่อน เนื่องจากราคาเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงอย่างมากตามราคาน้ำมัน สำหรับ  9 เดือนแรกมีรายได้จำนวน 153,183 ล้านบาท ลดลง 19%  ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 135% จากปีก่อน
        ส่วนธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง มีรายได้ไตรมาส 3/58 จำนวน 18,217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 645 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน ขณะที่ 9 เดือนแรกมีรายได้จากการขาย จำนวน 52,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 2,287 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อน
        นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) โดยในช่วง  9 เดือนของปีนี้มียอดขายสินค้าจำนวน 124,072 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 37% ของรายได้รวม และเพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน โดยบริษัทยังคงเป้าหมายที่จะให้สัดส่วนเพิ่มเป็น 50% ของรายได้รวม สำหรับสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้สินค้า SCG eco value มียอดขาย 87,954 ล้านบาท 

  • 2015-07-31 12:00:00 - SCCซื้อเป้า590บาทปีนี้กำไรเกิน4หมื่นล้าน:ครึ่งปีพุ่ง 2.49 หมื่นล้าน ปันผล 7.50 บาท
  • ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น