วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"MONO" เตรียมย้ายจาก mai เข้าไปเทรดใน SET ช่วงต.ค.-พ.ย.นี้ เพื่อเปิดทางให้กองทุนต่างชาติเข้ามาซื้อลงทุนหุ้นได้มากขึ้น ย้ำรายได้ปีนี้โต 10-15% พร้อมตั้งเป้าปี 2559 รายได้กระฉูด 5พันล้านบาท รับรู้จากทีวีดิจิตอล 50%

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: MONOจ่อย้ายเทรดSET


ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 20 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 51 คน
"MONO" เตรียมย้ายจาก mai เข้าไปเทรดใน SET ช่วงต.ค.-พ.ย.นี้ เพื่อเปิดทางให้กองทุนต่างชาติเข้ามาซื้อลงทุนหุ้นได้มากขึ้น ย้ำรายได้ปีนี้โต 10-15% พร้อมตั้งเป้าปี 2559 รายได้กระฉูด 5พันล้านบาท รับรู้จากทีวีดิจิตอล 50%


นายนวมินทร์ ประสพเนตร ผู้ช่วยประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO เปิดเผยว่า มีแผนที่จะย้ายหลักทรัพย์ของ MONO ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดได้ในช่วงประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2557 นี้ เพื่อเปิดโอกาสให้กองทุนต่างชาติที่มีความสนใจจะเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทได้มีโอกาสเข้ามาลงทุนได้มากขึ้น เพราะหลายกองทุนติดเกณฑ์การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพราะเป็นตลาดเล็ก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมามีหลายกองทุนที่ติดต่อเข้ามาเยี่ยมชมบริษัท ส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนต่างชาติจำพวกเอเชียเป็นหลัก โดยบริษัทขอยืนยันว่าถ้าต่างชาติต้องการซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทก็ต้องเป็นในกระดานปกติ ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคงไม่มีการขายหุ้นออกมา โอกาสที่จะเห็นการซื้อขายหุ้นในกระดานใหญ่ (บิ๊กล็อต) คงไม่เกิดแน่นอน

“แผนการย้ายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาด mai ไปยังตลาดใหญ่อย่าง SET น่าจะเกิดได้ในช่วงปลายปีประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2557 นี้ ซึ่งเกณฑ์ที่ทำให้หุ้นของบริษัทไม่สามารถเข้าไปซื้อขายในตลาด SET ได้ คือ เรื่องทุนจดทะเบียน ซึ่งได้มีการแก้ไขไปแล้ว ด้วยการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1,400 ล้านบาท มาเป็น 3,000 ล้านบาท” นายนวมินทร์ กล่าว

นายนวมินทร์กล่าวอีกว่า สำหรับรายได้ของบริษัทในปีนี้ น่าจะเติบโตประมาณ 10-15% จากปีที่แล้วที่มีรายได้อยู่ที่ 1,561 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิของบริษัทน่าจะปรับตัวลดลงจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 501 ล้านบาท เพราะปีนี้บริษัทมีค่าใช้จ่ายจากการลงทุนในทีวีดิจิตอล ซึ่งตั้งแต่เปิดดำเนินการมา 3 เดือนก็ได้รับการตอบรับที่ดีขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มทีวีดิจิตอลและเป็นอันดับ 9 ในฟรีทีวี โดยมีรายได้เดือนละประมาณ 10 ล้านบาท เติบโตประมาณ 50% ตลอด

นอกจากนี้สำหรับรายได้จากธุรกิจทีวีดิจิตอลในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณกว่า 100 ล้านบาท ส่วนปีหน้าจะขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1,000 ล้านบาท โดยบริษัทมองว่าไม่น่าจะยาก เพราะมูลค่าเม็ดเงินโฆษณาในสื่อโทรทัศน์อยู่ที่ประมาณ 60,000 ล้านบาท หากบริษัทสามารถเพิ่มเรตติ้งโฆษณาให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 0.08 มาเป็น 0.1 ในปีนี้ และขึ้นไปเป็น 0.4 ได้ในปีหน้า

ทั้งนี้ ในปี 2559 บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท โดยคาดว่าในปี 2559 จะมีรายได้จากธุรกิจทีวีดิจิตอลอยู่ที่ประมาณ 50% ของรายได้ทั้งหมด จากในปี 2556 ที่มีรายได้อยู่ที่เพียง 3% ซึ่งในปีนี้บริษัทจะใช้งบลงทุนในธุรกิจทีวีดิจิตอล เพื่อลงทุนในคอนเทนต์ประมาณ 300 ล้านบาท และงบสำหรับใช้ในการทำตลาดประมาณ 30 ล้านบาท

ส่วนเรื่องเงินทุนสำหรับการลงทุนในทีวีดิจิตอลนั้น บริษัทไม่กังวล เพราะได้มีการเตรียมความพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระแสเงินสดหรือการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น (วอร์แรนต์) ของบริษัท ราคาแปลงสิทธิ 2.50 บาท มูลค่ารวม 2,000-3,000 ล้านบาท

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น