ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ฟันด์โฟลว์ทะลักเข้าQ4
กองทุนรวม ประกัน วันศุกร์ที่ 08 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 8 คน
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด มองจะมีกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4 หลังมีปัจจัยเอื้อทั้งภายนอกและในประเทศ เล็งกลุ่มธนาคาร KBANK–BBL และพลังงาน PTT–PTTEP
นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ คาดว่า จะไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทยจำนวนมากตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/57 เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติได้ปรับแผนการลงทุนจากความกังวลเรื่องความขัดแย้งการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกากับรัสเซีย รวมถึงปัญหาในตะวันออกกลาง เช่น ยูเครน
ประกอบกับสินทรัพย์ฯที่อยู่ในอเมริกาและยุโรปราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ฯในแถบประเทศอื่น นักลงทุนดังกล่าวจึงโยกเงินลงทุนไปยังตลาดเกิดใหม่ในประเทศแถบเอเชียและประเทศไทยด้วย และตลาดหุ้นไทยก็มีโอกาสที่เม็ดเงินไหลเข้ามากกว่าประเทศอื่น เนื่องจาก เศรษฐกิจในประเทศได้มีการฟื้นตัวชัดเจนค่อนข้างมากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
"นักลงทุนต่างชาติยังคงมองบวกต่อประเทศไทย และยังคงให้ไทยเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่จะนำเม็ดเงินลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยและในประเทศไทย เนื่องจากแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของ คสช. รวมถึงการก่อหนี้ของภาคเอกชนมีอยู่ในระดับที่ต่ำมาก การบริโภคภายในประเทศมีสูงกว่าหนี้สินถึง 2 เท่า และหากแผนเศรษฐกิจเดินหน้าตามแผน เศรษฐกิจก็จะโตต่อเนื่อง"
นางสาวอุสรา กล่าวว่า ทิศทางการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนโดยตรงอย่าง FDI นั้น จะไหลเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก นำทีมโดยนักลงทุนญี่ปุ่นที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวให้เข้ามาตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้และต่อเนื่องไปอีกหลายปีข้างหน้า
สำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นที่จะเข้ามาในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ SME ประเภทเครื่องไฟฟ้าต่างๆ ฯลฯ ที่ต้องการขยายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านของไทยและกลุ่มประเทศ CLMV คือ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม เนื่องจากประเทศดังกล่าวมีความต้องการสินค้าดังกล่าวรวมถึงมีกำลังซื้อจำนวนมาก
และด้วยปัจจัยบวกนี้ ส่งผลให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทย หรือ GDP โตสูงถึง 3.5% หรืออาจมากกว่าสำหรับปีนี้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการผลักดันนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐรวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน ส่วนเศรษฐกิจไทยช่วงปี 2558 นั้น มองว่า เติบโตตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐว่าจะเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้มากน้อยแค่ไหน หากเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปี 2558 จะเติบโตที่ระดับ 6%
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CLSA กล่าวว่า แนวโน้มเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่า ยังมีเข้ามาต่อเนื่องแม้ว่าจะไม่หวือหวาเท่ากับช่วงปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่ด้วยความชัดเจนด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจมากขึ้น พร้อมทยอยเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง
สำหรับหลักทรัพย์ที่นักลงทุนดังกล่าวจะเข้ามาลงทุนรอบนี้ คาดว่า น่าจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่างหุ้น PTT และหุ้น TOP ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้นอกจากราคาค่อนข้างจะถูกแล้วยังไม่ได้รับผลกระทบจากการปฏิรูปพลังงานที่จะเกิดขึ้นด้วย หุ้นกลุ่มธนาคาร อย่างหุ้น KTB และหุ้น BBL โดยหุ้นดังกล่าวได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจรวมถึงแผนการกระตุ้นการลงทุนต่างๆภายในประเทศ และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อย่างหุ้น LH ซึ่งเป็นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้ค่อนข้างมาก
กองทุนรวม ประกัน วันศุกร์ที่ 08 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 8 คน
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด มองจะมีกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4 หลังมีปัจจัยเอื้อทั้งภายนอกและในประเทศ เล็งกลุ่มธนาคาร KBANK–BBL และพลังงาน PTT–PTTEP
นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ คาดว่า จะไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทยจำนวนมากตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/57 เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติได้ปรับแผนการลงทุนจากความกังวลเรื่องความขัดแย้งการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกากับรัสเซีย รวมถึงปัญหาในตะวันออกกลาง เช่น ยูเครน
ประกอบกับสินทรัพย์ฯที่อยู่ในอเมริกาและยุโรปราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ฯในแถบประเทศอื่น นักลงทุนดังกล่าวจึงโยกเงินลงทุนไปยังตลาดเกิดใหม่ในประเทศแถบเอเชียและประเทศไทยด้วย และตลาดหุ้นไทยก็มีโอกาสที่เม็ดเงินไหลเข้ามากกว่าประเทศอื่น เนื่องจาก เศรษฐกิจในประเทศได้มีการฟื้นตัวชัดเจนค่อนข้างมากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
"นักลงทุนต่างชาติยังคงมองบวกต่อประเทศไทย และยังคงให้ไทยเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่จะนำเม็ดเงินลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยและในประเทศไทย เนื่องจากแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของ คสช. รวมถึงการก่อหนี้ของภาคเอกชนมีอยู่ในระดับที่ต่ำมาก การบริโภคภายในประเทศมีสูงกว่าหนี้สินถึง 2 เท่า และหากแผนเศรษฐกิจเดินหน้าตามแผน เศรษฐกิจก็จะโตต่อเนื่อง"
นางสาวอุสรา กล่าวว่า ทิศทางการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนโดยตรงอย่าง FDI นั้น จะไหลเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก นำทีมโดยนักลงทุนญี่ปุ่นที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวให้เข้ามาตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้และต่อเนื่องไปอีกหลายปีข้างหน้า
สำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นที่จะเข้ามาในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ SME ประเภทเครื่องไฟฟ้าต่างๆ ฯลฯ ที่ต้องการขยายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านของไทยและกลุ่มประเทศ CLMV คือ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม เนื่องจากประเทศดังกล่าวมีความต้องการสินค้าดังกล่าวรวมถึงมีกำลังซื้อจำนวนมาก
และด้วยปัจจัยบวกนี้ ส่งผลให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทย หรือ GDP โตสูงถึง 3.5% หรืออาจมากกว่าสำหรับปีนี้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการผลักดันนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐรวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน ส่วนเศรษฐกิจไทยช่วงปี 2558 นั้น มองว่า เติบโตตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐว่าจะเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้มากน้อยแค่ไหน หากเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปี 2558 จะเติบโตที่ระดับ 6%
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CLSA กล่าวว่า แนวโน้มเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่า ยังมีเข้ามาต่อเนื่องแม้ว่าจะไม่หวือหวาเท่ากับช่วงปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่ด้วยความชัดเจนด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจมากขึ้น พร้อมทยอยเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง
สำหรับหลักทรัพย์ที่นักลงทุนดังกล่าวจะเข้ามาลงทุนรอบนี้ คาดว่า น่าจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่างหุ้น PTT และหุ้น TOP ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้นอกจากราคาค่อนข้างจะถูกแล้วยังไม่ได้รับผลกระทบจากการปฏิรูปพลังงานที่จะเกิดขึ้นด้วย หุ้นกลุ่มธนาคาร อย่างหุ้น KTB และหุ้น BBL โดยหุ้นดังกล่าวได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจรวมถึงแผนการกระตุ้นการลงทุนต่างๆภายในประเทศ และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อย่างหุ้น LH ซึ่งเป็นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้ค่อนข้างมาก
posted from Bloggeroid
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น