วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์เปิดทำการด้วยแรงเทขายเพราะคาดว่าตลาดจะปรับฐานต่อ ร่วงลงไปกว่า 65 จุด แต่กลางตลาด มีข่าวเข้ามาว่ารัสเซียประกาศถอนทหารที่ซ้อมรบตามแนวชายแดนยูเครนกะทันหัน ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ตีกลับมาอยู่ในแดนบวก แล้วก็บวกแรงเสียด้วยกว่า 185 จุด

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ปัจจัยชี้ขาด


คอลัมน์ วันพุธที่ 13 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 4 คน

วันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์เปิดทำการด้วยแรงเทขายเพราะคาดว่าตลาดจะปรับฐานต่อ ร่วงลงไปกว่า 65 จุด แต่กลางตลาด มีข่าวเข้ามาว่ารัสเซียประกาศถอนทหารที่ซ้อมรบตามแนวชายแดนยูเครนกะทันหัน ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ตีกลับมาอยู่ในแดนบวก แล้วก็บวกแรงเสียด้วยกว่า 185 จุด
คำอธิบาย คือว่า เหตุปัจจัยที่น่าหวาดหวั่นว่าจะไปสู่สถานการณ์สงครามและเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจใหญ่สหรัฐฯ สหภาพยุโรป กับรัสเซีย ในกรณียูเครน จะไม่เกิดขึ้นจนบานปลายเป็นสงครามใหญ่ เพราะทุกฝ่ายยังไม่มีความพร้อมจะเสียหายจากการทำลายล้างของสงคราม
เหตุปัจจัยที่หดหายไปจากสถานการณ์ที่มีคนประดิษฐ์คำนิยามว่าเป็น ความเสี่ยงทางด้านภูมิศาสตร์การเมืองระดับโลก (global geopolitical risk) ทำให้ดัชนีพลิกกลับได้รุนแรงทั้งที่เป็นปัจจัยภายนอกแท้ๆ
เมื่อเหตุปัจจัยภายนอกลดความเข้มข้นลงไป เหตุปัจจัยภายในก็มีความหมายเพิ่มขึ้นแทน ผลประกอบการจึงเป็นตัวชี้ขาดสำคัญขึ้นมา นักลงทุนในตลาดสหรัฐฯจึงนึกขึ้นได้ว่า หุ้น 2 ใน 3ของดัชนี S&P500 หรือบลูชิพ 350 ตัว มีผลประกอบการดีเกินคาดทั้งสิ้น เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐฯแข็งแกร่งขึ้น
สถานการณ์เมื่อวันศุกร์ที่หุ้นสหรัฐฯบวกแรง ต่อยอดด้วยวันจันทร์ ที่ยังมีแรงเฉื่อยจากวันศุกร์หลงเหลืออยู่ ทำให้หุ้นทั่วโลกบวกกันถ้วนหน้ารวมทั้งสหรัฐฯด้วย จะมีก็แต่ตลาดหุ้นไทยเท่านั้นที่ไม่บวกไม่ลบเพราะตลาดปิดทำการยาว 4 วันรวด แต่พอถึงวันอังคาร สถานการณ์ก็เข้าสู่ช่วงโมเมนตัมที่เริ่มมีทิศทางไม่ชัดเจนเพราะบางตลาดก็บวก บางตลาดก็ลบ ขึ้นกับปัจจัยภายในของแต่ละตลาดเป็นสำคัญ
ปรากฏการณ์เช่นนี้ ยืนยันว่า ปัจจัยภายนอกที่ดีหรือร้ายนั้น เป็นสถานการณ์ชั่วคราวที่แม้จะส่งผลต่อตลาดหุ้นโดยรวม แต่ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะทำให้หุ้นบวกแรงยาวนาน เมื่อมีข่าวดี หรือในทางกลับกัน ร่วงลงยาวนานเมื่อมีข่าวร้าย แต่ปัจจัยภายในนั้นยั่งยืนมากกว่า ธุรกิจที่เป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหุ้นมีกำไรมาก แม้ว่าบางช่วงเวลาอาจจะถูกสถานการณ์ภายนอกจากเหตุปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้รบกวน แต่ท้ายที่สุดแล้ว บริษัทที่มีฐานะเสมือน “ทองแท้ไม่กลัวไฟ” ก็ยังมีอยู่และทนทานต่อแรงเสียดทานจากภายนอก
หุ้นที่มีความแข็งแกร่งด้วยปัจจัยภายในจากผลประกอบการดีเยี่ยม โมเดลธุรกิจถูกต้องเป็นขาขึ้น และมีการบริหารจัดการรวมทั้งผู้นำองค์กรมีวิสัยทัศน์ยาวไกล จึงเป็นหุ้นที่รีบาวด์เร็วกว่าดัชนี และพร้อมจะกลายสภาพเป็นหุ้นขาขึ้นที่รีบาวด์มากกว่าราคาที่ตกไปหากมีข่าวร้ายรบกวน และขึ้นมากว่าดัชนี หากมีข่าวดีหนุนส่ง
นักลงทุนแบบวีไอ จะเข้าใจสถานการณ์ของหุ้นที่มีปัจจัยภายในแข็งแกร่ง และไม่หวั่นไหวกับปัจจัยภายนอกมากนัก เวลาที่มีข่าวร้ายก็จะพร้อมถัวเฉลี่ยหรือหาซื้อหุ้นตอนที่ราคาเป็นขาลง เพราะมั่นใจว่าอย่างไรเสียเมื่อปัจจัยภายนอกถูกตลาดซึมซับได้เรียบร้อยแล้ว ราคาหุ้นก็จะวิ่งกลับไปที่มูลค่าที่ควรจะเป็น จะมากกว่ายอดสูงสุดเดิมหรือไม่ ขึ้นกับความแข็งแกร่งและผลประกอบการ หรืออนาคตของธุรกิจเอง
ในทางกลับกัน หุ้นที่เปราะบางต่อสถานการณ์ภายนอก เวลาที่มีข่าวร้ายมากระทบ ก็พร้อมจะลง แล้วก็ลงต่อไปเลยแบบไม่กลับมาเป็นขาขึ้นหรือเพิกเฉยต่อบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหลาย ไม่ยอมขึ้นเสียยังงั้น เพราะเหตุผลสำคัญคือปัจจัยภายในไม่แข็งแกร่ง
นักลงทุนจำนวนไม่น้อย เอาบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์เป็นสรณะในการลงทุน ทั้งที่บทวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยฟันธงผิดๆ หรือไม่ก็แทงกั๊กชนิดทำให้งุนงง บางครั้งเชียร์เท่าไรหุ้นก็ไม่เคยขึ้น หรือ ทุบหุ้นซึ่งแข็งแกร่งชนิดที่แนะให้ขายตลอด แต่ราคาหุ้นก็ไม่ยอมลงสักที จนสุดท้ายนักวิเคราะห์ก็ใช้วิธีตีขลุมกลับคำวิเคราะห์กลางคันเอาดื้อๆ ก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับดัชนีดาวโจนส์ในสหรัฐฯเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงสถานการณ์ที่พลิกผันเสียจนกระทั่งบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์กลายเป็นคำชี้แนะที่ไร้เดียงสาของมืออ่อนหัดไปเลย ปรากฏการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่ครั้งสุดท้าย จุดสำคัญจึงอยู่ที่ว่านักลงทุนจะเรียนรู้ที่จะปรับตัวกันอย่างไร
เช้านี้ ตลาดหุ้นไทยก็คงจะอาศัยอานิสงส์จากเมื่อวันศุกร์ จนถึงวันอังคาร เปิดบวกแรงตั้งแต่เช้า ส่วนจะบวกแรงสามารถฝ่าแนวต้านใหม่เหนือ 1,530 จุดได้หรือไม่ ยังเป็นคำถามที่ท้าทาย เพราะในสัปดาห์นี้ มีสถานการณ์สำคัญที่จะต้องเกิดขึ้นคือ เป็นช่วงเวลาของการประกาศงบกลางปีของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดให้ครบภายในวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคมนี้ ดังนั้น ผลประกอบการที่ประกาศออกมาจึงน่าติดตามมากกว่าประเด็นของปัจจัยภายนอกที่ผ่านมาเมื่อวันศุกร์จนถึงวันอังคารในตลาดหุ้นโลกและเอเชีย
อนาคตสำคัญกว่าอดีตเสมอ เฉกเช่นเดียวกันกับเหตุปัจจัยภายใน ที่ต้องสำคัญและยั่งยืนกว่าปัจจัยภายนอกที่มีผลชั่วคราว บทเรียนนี้ นักลงทุนต้องท่องจำให้ขึ้นใจ ใครจะว่าย้ำคิดย้ำทำก็อย่าได้ใส่ใจมากนัก

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น