ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: PTTEPควัก2หมื่นล้าน!
ลงทุนปิโตรเลียมอิเหนา
ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 03 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 6 คน
PTTEP จับมือ PERTAMINA เข้าซื้อบริษัทลูก HESS CORP มูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท ด้วยการลงทุนฝ่ายละ 20,000 ล้านบาท ผู้บริหารปตท.สผ.ชี้ช่วยต่อยอดธุรกิจปิโตรเลียมทันที ย้ำมีเงินสดในมือ 70,000 ล้านบาท
นางสาวเพ็ญจันทร์ จริเกษม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มการเงิน และการบัญชี บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า ขณะนี้ PTTEP Netherlands Holding Coöperatie U.A. ในฐานะบริษัทย่อยของ PTTEP และบริษัท Pertamina Hulu Energy เป็นบริษัทย่อย Pertamina ได้ลงนามสัญญาซื้อขายหุ้น (Share Purchase Agreements : SPAs) ร่วมกันอัตราส่วน 50:50 เพื่อเข้าซื้อบริษัทย่อยบริษัท Hess Corporation ถือสัดส่วน 75% โครงการ Pangkah และจำนวน 23% โครงการ Natuna Sea A นอกชายฝั่ง ประเทศอินโดนีเซีย
สำหรับการซื้อบริษัทครั้งนี้จะมีมูลค่าประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 40,000 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนลงทุนของ PTTEP ประมาณ 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 20,000 ล้านบาท) โดยใช้เงินสดของบริษัทชำระ ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดอยู่ในสูงถึง 2,300-2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 70,000 ล้านบาท) ดังนั้นหลังจากชำระการลงทุนครั้งนี้ไป PTTEP จึงมีเงินสดในมือมากเกินระดับ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 45,000 ล้านบาท) ประกอบกับแต่ละปี บริษัทมีเงินสดจากการดำเนินงานเข้ามาอีกปีละ 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 120,000 ล้านบาท)
นอกจากนี้แผนลงทุนดังกล่าว สอดคล้องต่อนโยบายของทางบริษัทขณะนี้ ที่มุ่งเน้นเข้าลงทุนโครงการที่ดำเนินการผลิตแล้ว เพราะจะช่วยต่อยอดธุรกิจให้บริษัททันที นอกจากนี้พันธมิตรร่วมลงทุนอย่าง Pertamina ถือเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสูงและมีประสบการณ์ยาวนาน จึงทำให้เริ่มดำเนินการบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางสาวเพ็ญจันทร์ กล่าวอีกว่า การลงทุนครั้งนี้จะสร้างผลตอบแทนกลับมาได้รวดเร็ว เพราะโครงการ Pangkah และ Natuna Sea A ล้วนแต่มีลูกค้ารองรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์อยู่แล้วอีกทั้ง PTTEP เอง ได้ให้ความสนใจโครงการที่ Hess Corporation ได้ลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเติมเช่นกัน เพียงแต่ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและต้องใช้เวลาพิจารณาสักระยะหนึ่ง
ด้านทิศทางธุรกิจช่วงปี 2557 ถึงแม้ล่าสุดทางบริษัทจะร่วมกับพันธมิตรเข้าซื้อบริษัทย่อยของ Hess Corporation แต่ในเบื้องต้นยังคงคาดการณ์ปริมาณขายปิโตรเลียมทั้งปีจะเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับปริมาณขายเฉลี่ยปี 2556 เพราะยังต้องรอคำนวณถึงปริมาณขายที่ได้มาเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
นายสมเกียรติ จันทร์มหา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานธรณีศาสตร์ วิศวกรรมแหล่งปิโตรเลียมและโครงการสำรวจ PTTEP เปิดเผยว่า สำหรับการซื้อขายสำหรับโครงการ Natuna Sea A คาดจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และสำหรับโครงการ Pangkah คาดจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2557 อย่างไรก็ตาม กระบวนการซื้อขายในครั้งนี้จะเสร็จสิ้นเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้ตามที่ระบุใน SPAs
สำหรับโครงการ Pangkah ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของทะเลชวา ประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันมีอัตราการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ประมาณ 7,000 บาร์เรลต่อวัน และอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 33 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยมีปริมาณสำรองปิโตรเลียม 2P จำนวน 110 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ซึ่งเมื่อสัญญามีผลสมบูรณ์ ปตท.สผ.และบริษัท Pertamina จะร่วมกันเป็นผู้ดำเนินการ โดยมีผู้ร่วมทุนคือบริษัท Saka Energi ซึ่งมีสัดส่วนการร่วมทุน 25%
ส่วนโครงการ Natuna Sea A ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของทะเล Natuna ระหว่างประเทศมาเลเซียกับประเทศอินโดนีเซีย
ปัจจุบันมีอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 220 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และอัตราการผลิตน้ำมันดิบประมาณ 2,350 บาร์เรลต่อวัน โดยมีปริมาณสำรองปิโตรเลียม 2P จำนวน 209 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ซึ่งกลุ่มผู้ร่วมทุนของโครงการ Natuna Sea A ประกอบด้วย บริษัท Premier Oil (ผู้ดำเนินการ) ในสัดส่วนการร่วมทุน 28.67% บริษัท KUFPEC สัดส่วน 33.33% และบริษัท Petronas จำนวน 15%
ดังนั้น การเข้าซื้อสัดส่วนในโครงการ Pangkah และโครงการ Natuna Sea A จึงเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การเติบโตของบริษัท ที่เน้นแสวงหาสินทรัพย์ที่อยู่ในขั้นตอนการผลิตแล้ว (Producing Assets) ซึ่งจะสามารถเพิ่มรายได้ อัตราการเติบโตของปริมาณการผลิต และปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันที อีกทั้ง ยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ PTTEP และ Pertamina ถือเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาและผลิตปิโตรเลียมในภูมิภาค ทำให้เชื่อมั่นว่าโครงการจะประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้จากการสำรวจโครงการลงทุนของ HESS ในประเทศไทย พบว่า มีโครงการ คือ 1.โครงการ Pailin ถือหุ้น 15% และ PTTEP ถือหุ้น 45% มีกำลังการผลิต (Net production) ที่ 11,550 บาร์เรลต่อวัน 2.โครงการ Sinphuhorm ถือหุ้น 35% และ PTTEP ถือหุ้น 20% กำลังการผลิต 5,425 บาร์เรลต่อวัน 3.โครงการ JDA Block A-18 ถือหุ้น 50% กำลังการผลิต 41,500 บาร์เรลต่อวัน
: กลุ่มปตท.ดำเนินธุรกิจตามปกติ
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองรวมถึงการชุมนุมด้านหน้ากระทรวงพลังงานติดกับอาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2556 ปตท.อาคารสำนักงานใหญ่ จึงได้ปิดทำการในขณะนั้น
โดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management) ตามที่ได้มีการเตรียมการและจัดซ้อมมาอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้ปตท.สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติโดยไม่กระทบต่อคู่ค้า และไม่ส่งผลให้ประชาชนเกิดความเดือดร้อนจากการขาดแคลนพลังงาน
สำหรับในช่วงวานนี้ (2 ธ.ค.) PTT และบริษัทในกลุ่มปตท. เช่น PTTEP-PTTGC-IRPC และ BCP กล่าวยืนยันว่า ถึงแม้จะเกิดสถานการณ์ชุมนุม แต่บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ เนื่องจากได้เตรียมการและจัดซ้อมอย่างสม่ำเสมอ ทำให้พนักงานของบริษัทยังสามารถปฏิบัติงานในสถานที่อื่นได้
ลงทุนปิโตรเลียมอิเหนา
ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 03 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 6 คน
PTTEP จับมือ PERTAMINA เข้าซื้อบริษัทลูก HESS CORP มูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท ด้วยการลงทุนฝ่ายละ 20,000 ล้านบาท ผู้บริหารปตท.สผ.ชี้ช่วยต่อยอดธุรกิจปิโตรเลียมทันที ย้ำมีเงินสดในมือ 70,000 ล้านบาท
นางสาวเพ็ญจันทร์ จริเกษม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มการเงิน และการบัญชี บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า ขณะนี้ PTTEP Netherlands Holding Coöperatie U.A. ในฐานะบริษัทย่อยของ PTTEP และบริษัท Pertamina Hulu Energy เป็นบริษัทย่อย Pertamina ได้ลงนามสัญญาซื้อขายหุ้น (Share Purchase Agreements : SPAs) ร่วมกันอัตราส่วน 50:50 เพื่อเข้าซื้อบริษัทย่อยบริษัท Hess Corporation ถือสัดส่วน 75% โครงการ Pangkah และจำนวน 23% โครงการ Natuna Sea A นอกชายฝั่ง ประเทศอินโดนีเซีย
สำหรับการซื้อบริษัทครั้งนี้จะมีมูลค่าประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 40,000 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนลงทุนของ PTTEP ประมาณ 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 20,000 ล้านบาท) โดยใช้เงินสดของบริษัทชำระ ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดอยู่ในสูงถึง 2,300-2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 70,000 ล้านบาท) ดังนั้นหลังจากชำระการลงทุนครั้งนี้ไป PTTEP จึงมีเงินสดในมือมากเกินระดับ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 45,000 ล้านบาท) ประกอบกับแต่ละปี บริษัทมีเงินสดจากการดำเนินงานเข้ามาอีกปีละ 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 120,000 ล้านบาท)
นอกจากนี้แผนลงทุนดังกล่าว สอดคล้องต่อนโยบายของทางบริษัทขณะนี้ ที่มุ่งเน้นเข้าลงทุนโครงการที่ดำเนินการผลิตแล้ว เพราะจะช่วยต่อยอดธุรกิจให้บริษัททันที นอกจากนี้พันธมิตรร่วมลงทุนอย่าง Pertamina ถือเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสูงและมีประสบการณ์ยาวนาน จึงทำให้เริ่มดำเนินการบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางสาวเพ็ญจันทร์ กล่าวอีกว่า การลงทุนครั้งนี้จะสร้างผลตอบแทนกลับมาได้รวดเร็ว เพราะโครงการ Pangkah และ Natuna Sea A ล้วนแต่มีลูกค้ารองรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์อยู่แล้วอีกทั้ง PTTEP เอง ได้ให้ความสนใจโครงการที่ Hess Corporation ได้ลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเติมเช่นกัน เพียงแต่ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและต้องใช้เวลาพิจารณาสักระยะหนึ่ง
ด้านทิศทางธุรกิจช่วงปี 2557 ถึงแม้ล่าสุดทางบริษัทจะร่วมกับพันธมิตรเข้าซื้อบริษัทย่อยของ Hess Corporation แต่ในเบื้องต้นยังคงคาดการณ์ปริมาณขายปิโตรเลียมทั้งปีจะเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับปริมาณขายเฉลี่ยปี 2556 เพราะยังต้องรอคำนวณถึงปริมาณขายที่ได้มาเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
นายสมเกียรติ จันทร์มหา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานธรณีศาสตร์ วิศวกรรมแหล่งปิโตรเลียมและโครงการสำรวจ PTTEP เปิดเผยว่า สำหรับการซื้อขายสำหรับโครงการ Natuna Sea A คาดจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และสำหรับโครงการ Pangkah คาดจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2557 อย่างไรก็ตาม กระบวนการซื้อขายในครั้งนี้จะเสร็จสิ้นเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้ตามที่ระบุใน SPAs
สำหรับโครงการ Pangkah ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของทะเลชวา ประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันมีอัตราการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ประมาณ 7,000 บาร์เรลต่อวัน และอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 33 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยมีปริมาณสำรองปิโตรเลียม 2P จำนวน 110 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ซึ่งเมื่อสัญญามีผลสมบูรณ์ ปตท.สผ.และบริษัท Pertamina จะร่วมกันเป็นผู้ดำเนินการ โดยมีผู้ร่วมทุนคือบริษัท Saka Energi ซึ่งมีสัดส่วนการร่วมทุน 25%
ส่วนโครงการ Natuna Sea A ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของทะเล Natuna ระหว่างประเทศมาเลเซียกับประเทศอินโดนีเซีย
ปัจจุบันมีอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 220 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และอัตราการผลิตน้ำมันดิบประมาณ 2,350 บาร์เรลต่อวัน โดยมีปริมาณสำรองปิโตรเลียม 2P จำนวน 209 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ซึ่งกลุ่มผู้ร่วมทุนของโครงการ Natuna Sea A ประกอบด้วย บริษัท Premier Oil (ผู้ดำเนินการ) ในสัดส่วนการร่วมทุน 28.67% บริษัท KUFPEC สัดส่วน 33.33% และบริษัท Petronas จำนวน 15%
ดังนั้น การเข้าซื้อสัดส่วนในโครงการ Pangkah และโครงการ Natuna Sea A จึงเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การเติบโตของบริษัท ที่เน้นแสวงหาสินทรัพย์ที่อยู่ในขั้นตอนการผลิตแล้ว (Producing Assets) ซึ่งจะสามารถเพิ่มรายได้ อัตราการเติบโตของปริมาณการผลิต และปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันที อีกทั้ง ยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ PTTEP และ Pertamina ถือเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาและผลิตปิโตรเลียมในภูมิภาค ทำให้เชื่อมั่นว่าโครงการจะประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้จากการสำรวจโครงการลงทุนของ HESS ในประเทศไทย พบว่า มีโครงการ คือ 1.โครงการ Pailin ถือหุ้น 15% และ PTTEP ถือหุ้น 45% มีกำลังการผลิต (Net production) ที่ 11,550 บาร์เรลต่อวัน 2.โครงการ Sinphuhorm ถือหุ้น 35% และ PTTEP ถือหุ้น 20% กำลังการผลิต 5,425 บาร์เรลต่อวัน 3.โครงการ JDA Block A-18 ถือหุ้น 50% กำลังการผลิต 41,500 บาร์เรลต่อวัน
: กลุ่มปตท.ดำเนินธุรกิจตามปกติ
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองรวมถึงการชุมนุมด้านหน้ากระทรวงพลังงานติดกับอาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2556 ปตท.อาคารสำนักงานใหญ่ จึงได้ปิดทำการในขณะนั้น
โดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management) ตามที่ได้มีการเตรียมการและจัดซ้อมมาอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้ปตท.สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติโดยไม่กระทบต่อคู่ค้า และไม่ส่งผลให้ประชาชนเกิดความเดือดร้อนจากการขาดแคลนพลังงาน
สำหรับในช่วงวานนี้ (2 ธ.ค.) PTT และบริษัทในกลุ่มปตท. เช่น PTTEP-PTTGC-IRPC และ BCP กล่าวยืนยันว่า ถึงแม้จะเกิดสถานการณ์ชุมนุม แต่บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ เนื่องจากได้เตรียมการและจัดซ้อมอย่างสม่ำเสมอ ทำให้พนักงานของบริษัทยังสามารถปฏิบัติงานในสถานที่อื่นได้
posted from Bloggeroid
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น