วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ตื่นการเมืองรุนแรง เทหุ้น “แบงก์-ไอซีที” จับตาแนวรับ 1,300 จุด - iBiz

ตื่นการเมืองรุนแรง เทหุ้น “แบงก์-ไอซีที” จับตาแนวรับ 1,300 จุด - iBiz


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 ธันวาคม 2556 18:41 น.



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น




หุ้นปิดร่วง 23 จุด นักลงทุนตื่นการเมืองรุนแรง เทขาย “แบงก์-ไอซีที” จับตาแนวรับ 1,300 จุด ขณะที่ กกต. เสนอเลื่อนเลือกตั้ง ส่วนผู้คัดค้านยืนยันจุดยืน นายกฯ ต้องลาออกเท่านั้น เพื่อตัดวงจรการใช้อำนาจ
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (26 ธ.ค.) ดัชนีปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,308.46 จุด ลดลง 23.99 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -1.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 26,186.34 ล้านบาท ซึ่งในภาคบ่ายมีแรงเทขายอย่างหนักในกลุ่มแบงก์ และไอซีที ส่งผลให้ดัชนีร่วงหนักเกือบ 30 จุด และเกือบหลุดระดับ 1,300 จุด แต่มีแรงซื้อในชั่วโมงสุดท้ายเข้ามาพยุงดัชนีไม่ให้ปรับลงลึก
ด้านสัดส่วนผู้ลงทุนแยกตามประเภท มีดังนี้ นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 2,543 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 842 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 2,898 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 486.50 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายร่วงแรงกว่า 2% หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง ตั้งแต่ช่วงเช้าที่มีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ชุมนุมคัดค้านการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก จนกระทั่งช่วงบ่ายคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกแถลงการณ์เสนอแนะให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งออกไป และเสนอตัวเป็นคนกลางยุติข้อขัดแย้งระหว่างรัฐบาล และผู้ชุมนุม แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนองจากทั้ง 2 ฝ่าย
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยวันนี้ลงแรงเนื่องจากมีการปะทะกันในช่วงเช้า ขณะที่การเลือกตั้งมีความไม่แน่นอน จึงทำให้เป็นปัจจัยกระทบต่อตลาดหุ้น ทั้งนี้ แรงขายมาจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่ขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอการซื้อขายแล้ว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้ (27 ธ.ค.) คาดว่าจะยังปรับตัวลงต่อได้ หากสถานการณ์การเมืองยังยืดเยื้อ โดยจะต้องติดตามว่าจะหลุดแนวรับที่ 1,300 จุด หรือไม่ ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,326 จุด
นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยยืนอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน ปัจจัยมาจากการเมืองในประเทศ เนื่องจากมีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณด้านนอกสถานที่สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ทำให้กดดันการลงทุน และส่งผลให้ตลาดไม่มีแรงซื้อเข้ามา ถึงแม้จะมีปัจจัยบวกจากการประมูลทีวีดิจิตอล แต่ความกังวลของนักลงทุนในด้านการเมืองยังมีผลมากกว่า คาดว่าหากยังมีความรุนแรงต่อเนื่อง อาจจะส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงได้อีก
อย่างไรก็ตาม มองว่าการเมืองจะมีผลระยะสั้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ โดยหากสามารถหาข้อยุติ หรือจบได้ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูป หรือเลือกตั้ง คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นได้ ส่วนระยะยาวให้ดูที่ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 4/2556 เนื่องจากที่ผ่านมา พบว่า ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 1 และไตรมาส 4 ส่วนมากจะอยู่ในระดับดี เพราะเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว อีกทั้งเทศกาลปีใหม่ที่ประชาชนจะออกมาจับจ่ายซื้อของ น่าจะเป็นตัวช่วยดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้



ข่าวล่าสุด ในหมวด
ชิงดำทีวีดิจิตอล NBC TRUE SLC คว้าช่องข่าว ขณะที่ บจ.อีก 4 ราย ผิดหวัง
ทิ้งหุ้นแบงก์ ผวา ธปท. คุมเข้มธุรกรรมเงินต่างประเทศ สะพัดบางแห่งสภาพคล่องช็อต
“จรัมพร” ชี้วอลุ่มแผ่วก่อนสิ้นปีถือเป็นเรื่องปกติ ย้ำตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเป็นแหล่งที่ระดมทุนที่สำคัญ
SET หลุด 1,300 จุด คาดหลังปีใหม่ต่างชาติจัดหนัก กดดันดัชนีปรับลงไปที่ 1,274 จุด
หุ้นเปิดตลาดเช้า นักลงทุนชะลอเทรดเหตุหยุดยาวเทศกาล หวั่นการเมืองเดือด





เครื่องมือจัดการเว็บ




ส่งบทความนี้ต่อ

พิมพ์หน้านี้

ข่าวที่มีผู้ส่งมากที่สุด




Excerpted from ตื่นการเมืองรุนแรง เทหุ้น “แบงก์-ไอซีที” จับตาแนวรับ 1,300 จุด - iBiz - Manager Online
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000158678

posted from Bloggeroid

ห้าง El Corte Inglés (เอล คอเต้ อินเลส)

ห้าง El Corte Inglés (เอล คอเต้ อินเลส)

ห้าง El Corte Inglés (เอล คอเต้ อินเลส) เป็นเครือข่ายห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และใหญ่ที่สุดในประเทศสเปน มียอดขายในปี 2555 กว่า 14,000 ล้านยูโร (เท่ากับกว่า 500,000 ล้านบาท, เปรียบเทียบกับกลุ่มห้าง Central ในไทยที่มียอดขาย 180,000 ล้านบาท) มีธุรกิจหลากหลายรวมถึงห้างไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าประเภท Specialty store แต่ธุรกิจห้างสร้างรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของธุรกิจรวม เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศสเปน นอกจากกลุ่มที่เราคุ้นเคยอย่างกลุ่ม Inditex ที่เป็นเจ้าของเสื้อผ้าแบรนด์ดังอย่าง ZARA หรือกลุ่มธุรกิจเสื้อผ้ายี่ห้ออื่น ๆ เช่น H&M, MNG และห้างเอล คอเต้นั้นมีประวัติเก่าแก่ยาวนานเกือบหนึ่งร้อยปี
ในช่วงตุลาคมที่ผ่านมาเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูท่องเที่ยวต่างประเทศของนักท่องเที่ยวไทย เนื่องจากประเทศในแถบเหนือเส้นศูนย์สูตรขึ้นไป จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศกำลังเย็นสบาย ผมใช้ท่องเที่ยวและใช้ชีวิตในสเปนกว่าสองสัปดาห์และได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายในประเทศที่เคยมีอัตราว่างงานสูงกว่า 20% ในช่วงวิกฤต Subprime ห้างเอล คอเต้ คือสิ่งหนึ่งที่ผมพบเห็นได้ทั่วทั้งสเปน และดูเหมือนกับมากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วในยุโรปที่ผมได้พบเห็น ประเทศอังกฤษเราได้เห็นห้าง แฮร์รอดเฉพาะที่ Knightsbridge กรุงลอนดอน หรือห้าง Galeries Lafayette ก็มีอยู่แค่แห่งเดียวในกลางกรุงปารีส
คนสเปนรับประทานอาหารกลางวันบ่ายสอง และอาหารเย็นตอนสองสามทุ่ม มีอุปนิสัยชอบเดินห้างเป็นพิเศษเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป จึงไม่น่าแปลกใจที่ห้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปเพิ่งเปิดในเมือง Zaragoza ในปีนี้ รวมถึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ห้างเอล คอเต้มีเครือข่ายหลายร้อยสาขาทั่วสเปน เหตุผลอีกอย่างหนึ่งคือการขยายตัวของชุมชนใหม่ ๆ ในเขตรอบนอกเมืองเก่า เป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เริ่มสร้างครอบครัว และเป็นคนอพยพจากประเทศอื่น ๆ ทำให้เกิดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจสเปนถูกผลกระทบอย่างแรงในช่วงวิกฤตเลห์แมน บราเดอร์ แม้ว่าปัจจุบันจะมีสัญญาณฟื้นตัวบ้างแล้วก็ตาม แต่การจับจ่ายก็ต่ำกว่าเดิม และมีแนวโน้มการออมสูงขึ้น ผลประกอบการของห้างเอ คอเต้ลดลงอย่างมาก เนื่องจากภาพลักษณ์ของห้างที่ขายสินค้าคุณภาพดี แต่ราคาสูง แนวโน้มผู้บริโภคนิยมห้างประเภทพลาซ่ามากขึ้น นอกจากนั้นอีกส่วนหนึ่งก็นิยมไปซื้อของที่ Hypermarket ซึ่งมีราคาถูกกว่า และธุรกิจอีคอมเมิร์ซก็กำลังเริ่มจะเฟื่องฟูในสเปน

ผมเดินสำรวจห้างเอล คอเต้หลาย ๆ สาขาทั่วทั้งสเปน รวมถึง Flagship store ที่กรุงมาดริด ใกล้ ๆ กับสนามซานติเอโก้ เบอร์นาบิวของทีมฟุตบอลราชันย์ชุดขาว ห้าง Flagship แห่งนี้กว้างกินอาณาเขตหลายช่วงถนน มีสินค้าทุกประเภท ทุกระดับ นอกจากนักท่องเที่ยวชาวเอเชียเต็มรถบัสที่มากันเป็นระยะ ๆ ซึ่งมักจะมาซื้อสินค้าแบรนด์เนมของยุโรป ผมพบว่าร้านค้าค่อนข้างเงียบเหงา และการจัดสินค้านั้นเป็นแบบสมัยนิยม ไม่หวือหวา ซึ่งเราพบเห็นได้ในห้างของไทยหลาย ๆ ปีก่อน สินค้าในห้างมีราคาแพงกว่าร้านภายนอก รวมถึงแพงกว่าประเทศอื่นอย่างเทียบกันไม่ได้ มีรีวิวของคนอเมริกาบอกว่า สินค้าห้างนี้ค่อนข้างแพงกว่าเมื่อเทียบกับห้างในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งผมก็เห็นว่าค่อนข้างจริง ผมไม่แน่ใจว่าสาเหตุคือภาษี นโยบายบริษัท หรือความสามารถในการแข่งขันของบริษัทที่ต้นเผชิญกับภัยคุกคามและสินค้าทดแทนมากมาย อย่างไรก็ดีสิ่งที่เห็นก็สะท้อนภาพผลประกอบการบริษัทที่กำลังยากลำบาก ยอดขายลดลง และกำไรลดลงอย่างมากในหลายปีที่ผ่านมา

กฏหมายค้าปลีกของสเปนค่อนข้างรัดกุมมากในอดีต มีการกำหนดโซนนิ่ง และเวลาปิดเปิดที่ชัดเจน เช่นห้ามร้านค้าที่มีขนาดเกิน 100 ตรม. เปิดในวันอาทิตย์เกินกว่าจำนวนครั้งที่กำหนด อย่างไรก็ดีรัฐบาลสเปนก็ผ่านร่างกฎหมายที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น โดยแคว้นมาดริดเป็นแคว้นแรกที่อนุญาตให้ร้านค้าปลีกในเขตท่องเที่ยวสามารถเปิดได้ตลอด 24 ชม. และสามารถเปิดได้ทุกวันทำการของปีอีกด้วย

ผลที่ตามมาคือร้านโชว์ห่วยที่ดำเนินธุรกิจแบบครอบครัวขนาดเล็กเริ่มอยู่รอดได้ยากขึ้น และล้มหายตายจากไป (ส่วนหนึ่งถูกทดแทนด้วยร้านโชว์ห่วยของชาวจีน) แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ผู้บริโภคได้รับประโยชน์มากขึ้นเนื่องจากสามารถซื้อสินค้าในราคาถูกกว่าได้ทุกวัน และร่างกฎหมายนี้มีแนวโน้มจะบังคับใช้ในแคว้นอื่น ๆ อีกด้วย ถึงกระนั่น บริษัทห้างเอล คอเต้ก็ได้รับประโยชน์ไม่เพียงพอ จนเจ้าของต้องขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กับแบงค์สเปนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดจบเดียวกับห้างแฮร์รอดของอังกฤษที่เพิ่งเปลี่ยนถ่ายเจ้าของเช่นเดียวกัน

เป็นภาพสะท้อนว่าอาณาจักรธุรกิจแม้ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็สามารถยากลำบากได้เช่นเดียวกัน

Excerpted from ห้าง El Corte Inglés (เอล คอเต้ อินเลส)
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=54923
❄❄❄❄❄

posted from Bloggeroid

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ฝรั่งแอบย่องซื้อTMB 7วันรวมกว่า405ล้าน โบรกฯชี้ฟันด์โฟลว์จ่อไหลเข้า 1.5 พันล.

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ฝรั่งแอบย่องซื้อTMB
7วันรวมกว่า405ล้าน
โบรกฯชี้ฟันด์โฟลว์จ่อไหลเข้า 1.5 พันล.
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 12 คน
นักลงทุนต่างชาติเก็บหุ้นแบงก์ทหารไทย หรือ TMB ผ่าน NVDR ต่อเนื่องถึง 7 วันทำการ รวมมูลค่ากว่า 405 ล้านบาท หลังราคาต่ำกว่าพื้นฐานมาก ที่โบรกฯให้ไว้เฉลี่ย 3.00 บาทต่อหุ้น ด้านนักวิเคราะห์ระบุฟันด์โฟลว์จ่อไหลเข้าหุ้น TMB อีก 1.5 พันล้านหลังเข้า MSCI



แหล่งข่าวจากตลาดทุน เผยว่านักลงทุนต่างประเทศเข้ามาเก็บหุ้นแบงก์ทหารไทย หรือ TMB อย่างต่อเนื่อง หลังจากราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม ถึง 24 ธันวาคม 7 วันทำการ พบว่ามีมูลค่าซื้อขายสุทธิทั้งสิ้น 405 ล้านบาท โดยมูลค่าซื้อขาย TMB ผ่าน NVDR ประจำวันที่ 24 ธันวาคม 2556 พบว่า ซื้อสุทธิ 127,381,528 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายผ่าน NVDR ประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2556 พบว่า ซื้อสุทธิ 42,664,940 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายผ่าน NVDR ประจำวันที่ 20 ธันวาคม 2556 พบว่า ขายสุทธิ 840,260 ล้านบาท

มูลค่าซื้อขายผ่าน NVDR ประจำวันที่ 19 ธันวาคม 2556 พบว่า ซื้อสุทธิ 76,608,037 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายผ่าน NVDR ประจำวันที่ 18 ธันวาคม 2556 พบว่า ซื้อสุทธิ 22,145,272 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายผ่าน NVDR ประจำวันที่ 17 ธันวาคม 2556 พบว่า ซื้อสุทธิ 63,168,484 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายผ่าน NVDR ประจำวันที่ 16 ธันวาคม 2556 พบว่า ซื้อสุทธิ 75,302,656 ล้านบาท

ขณะที่ราคามูลค่า TMB ปัจจุบันถือว่าต่ำกว่าพื้นฐานแล้ว โดยไม่รวมดีลการซื้อขายหุ้นของไอเอ็นจีเข้าไป ซึ่งนักวิเคราะห์ให้ราคาไว้ที่ 2.9-3.0 บาทต่อหุ้น ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลหนึ่งให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาเก็บหุ้นผ่าน NVDR

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า จากรายงาน MSCI semi-annual Review หุ้นที่ถูกเข้าคำนวณใน MSCI อย่างเช่นธนาคารทหารไทย คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากสถาบันต่างประเทศ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้าหุ้น TMB ประมาณ 51 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นจำนวน 1,530 ล้านบาท

“คาดว่าหลังจากหุ้น TMB เข้าคำนวณใน MSCI จะทำให้นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศต้องเข้าไปซื้อหุ้นไว้ในพอร์ตลงทุน เพื่อถ่วงน้ำหนักในตะกร้าของการลงทุน”

ก่อนหน้านี้ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการธนาคารทหารไทย หรือ TMB เผยว่า ผลประกอบการของทีเอ็มบีในไตรมาสที่ 4 จะปรับตัวดีขึ้นกว่าทุกไตรมาสที่ผ่านมา และปีนี้ผลประกอบการจะสูงกว่าที่ตั้งไว้ หลังจากการตั้งสำรองไปมากแล้วใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมา

posted from Bloggeroid

คาเฟอีน 26 ธันวาคม 2556

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: คาเฟอีน

คอลัมน์ วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 10 คน
หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ตลาดหุ้นเกือบทั่วเอเชียดัชนีดีดขึ้นกันสนุกสนานในช่วงส่งท้ายปี ส่วนของไทยยังซึมๆ เพราะปัจจัยการเมืองยังกดดันต่อไป แม้ว่าโบรกฯ จากหลายสำนักต่างพยายามให้นักลงทุน มองข้ามปัจจัยทางการเมืองบ้าง แต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้มูลค่าการซื้อขายซบเซามาหลายวัน

สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ออกตัวเลขคาดการณ์ดัชนีปี 57 มาแล้วว่า ดัชนีสิ้นปีหน้าจะอยู่ที่ 1,534 จุด และเป็นการครับลดลงจากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อต้นปีว่า ดัชนีจะอยู่ที่ 1,700 จุด ส่วนแนวโน้มดัชนีที่จะปิดในสิ้นปี 56 นี้นั้น โบรกฯ หลายแห่งต่างลุ้นว่า จะขึ้นไปยืนถึง 1,400 จุด ได้ โดยจะได้แรงส่งจากกองทุน LTF และ RMF เข้ามาช่วย แต่ “เคเฟอีน” มองว่าได้ซัก 1,350 จุด ก็ดีแล้วหละ เพราะเหลืออีกแค่ 2 วัน พลิกดูยังไง ก็ไปไม่ถึง 1,400 จุดชัวร์

มีข่าวออกมาอีกแล้วว่า “วิชัย ทองแตง” ผู้ถือหุ้นใหญ่ใน CTH ผู้ให้บริการทีวีผ่านดาวเทียม ต้องการเข้าไปซื้อหุ้น INET ที่มีหน่วยงานรัฐวิสาหกิจถือหุ้นใหญ่อยู่ ทั้ง สวทช. ทีโอที และ กสท. แล้วนำมารวมกับ CTH แต่เรื่องนี้ก็ต้องระวังกันพอสมควร เพราะข่าวแบบนี้ มักมีออกมาอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่เป็นจริง และไม่เป็นจริงบ้าง และไม่ว่าจะออกมาด้านไหน หุ้นที่เข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ราคาได้ดีดขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญ (แอบแฝง) ทุกครั้ง และรายย่อยก็ตกเป็นเหยื่อ ส่วนตลท.ก็ได้แต่อ้าปากค้าง มองตาปริบๆ

หุ้นในกลุ่มธนาคารสามวันดีสี่วันไข้ ราคาขึ้นๆ ลงๆ เหตุเพราะต่างมองว่าปีหน้า เศรษฐกิจไทยชะลอตัว ทำให้การขอสินเชื่อจะไม่คึกคักมากนัก รวมถึงความสามารถในการทำกำไรอาจลดลง หรือไม่มากเท่าปีนี้ ทำให้มีการปรับพอร์ตขายหุ้นกลุ่มธนาคารกันออกมา ส่วนนักวิเคราะห์เองก็มองว่า ราคา ณ ปัจจุบัน ถือว่าซื้อได้ เพราะหุ้นเกือบทุกตัว ราคาลงมาต่ำกว่าพื้นฐานมากเกินไป โดยเฉพาะ 4 แบงก์ใหญ่ ทั้ง BBL KTB KBANK และ SCB

ในช่วง 3 ปีก่อนหน้านี้ นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 1.94 แสนล้านบาท แต่ปรากฏว่าในช่วงปี 2556 หรือจากต้นปีนี้ มาถึงวานนี้ กลับขายสุทธิแล้วกว่า 1.95 แสนล้านบาท หรือขายมากกว่าที่ซื้อสะสมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ต้นทุนของต่างชาติดัชนีอยู่ที่ 1,200 จุด

หุ้น GCAP ราคาวันแรกที่เข้าเทรด ขึ้นไปถึงกว่า 70% จากไอพีโอ 2.70 บาท แต่มาวันนี้ ยอมมอบตัวซะแล้ว ราคารูดลงมาเหลือ 2 บาทกว่าๆ และพบว่า งานนี้ติดดอยกันเป็นแถว ส่วนจะโทษภาวะตลาดโดยรวมก็ไม่ได้ เพราะหุ้นหลายตัวที่เข้าเทรดมาในรอบ 2 เดือนนั้น ต่างยังยืนเหนือจองด้วยกันทั้งสิ้น ทั้ง THREL, MEGA, BJCHI รวมไปถึง NYT ที่กำลังคึกคัก วิ่งสวนตลาด ส่วน SPVI ที่เข้ามาล่าสุด ก็ยังยืนขาแข็งได้ (แต่ก็มีข่าวว่าผู้ถือหุ้นใหญ่แอบปล่อยหุ้นออกมา)

จับตาหุ้นแบงก์ทหารไทย TMB ราคาที่ปรับลดลงมาเรื่อยๆ นั้น แต่กลับพบว่า มีมือที่มองไม่เห็นแอบเข้าไปซื้อหุ้นผ่านไทยเอ็นวีดีอาร์ กระทั่งตัวเลขซื้อเพิ่มขึ้นมามากแบบผิดปกติ ขณะที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า มีกลุ่มใกล้ชิดดีลซื้อขายหุ้น แอบทิ้ง และแอบเข้ามาเก็บหุ้นในช่วงราคา 2.30 บาท กันครึกครื้น “คาเฟอีน” ว่า ยังไงก็ต้องระวังกันหน่อยในการเข้าลงทุน (ระยะสั้น) เพราะราคาคงขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้อีกสักพัก แต่ระยะยาวแล้ว ราคาจะวิ่งไปหาแถวๆ เกือบ 3.00 บาท อีก และเป็นราคาใกล้เคียงกับพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ต่างให้ไว้

posted from Bloggeroid

 กกต.ล้มเลือกตั้งซะเอง

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: กกต.ล้มเลือกตั้งซะเอง?

คอลัมน์ วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 6 คน
ตลาดหุ้นไทยเหมือนถูกขึงพืดชำเรามากว่า 2 เดือนแล้ว วอลุ่มหดหาย ต่างชาติเทขายทิ้งทุกวัน และดัชนีก็ร่วงเอาๆ ในขณะที่ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านทำนิวไฮกันเป็นว่าเล่น ซานตาคลอสไม่มีวันว่างมาประเทศไทยแน่แล้ว

การเมืองไทยไม่สงบ เป็นวิกฤตที่สุดในโลก เพราะทุกฝ่ายไม่ยอมทำหน้าที่ที่ตนมี ดังพระบรมราโชวาทวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา

บทบาทกกต.หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็น่าเป็นห่วงในจุดยืนความเป็นกลางกระทั่ง “เจตนารมณ์ซ่อนเร้น”

ตั้งใจจะให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกกต.ฝ่ายกิจการเลือกตั้งที่ชื่อสมชัย ศรีสุทธิยากร

อันที่จริง ก็เป็นที่ทราบจุดยืนของนายสมชัยตั้งแต่เป็นเลขาธิการองค์กรภาคเอกชนที่ชื่อ “พีเน็ต” มานานแล้วล่ะว่า เป็นจุดยืนที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลชุดนี้มาตลอด

สมัยพรรคประชาธิปัตย์ประกาศบอยคอตการเลือกตั้งปี 2549 อันนำไปสู่เหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหาร นายสมชัยในฐานะเลขาธิการพีเน็ต ก็ประกาศบอยคอตร่วมกับเขาด้วย

ครั้งนี้ อยู่ในสถานะใหม่ใหญ่กว่าเก่า เป็นถึงกกต.ฝ่ายกิจการเลือกตั้ง อันเป็นกลไกที่ชี้เป็นชี้ตายการเลือกตั้ง ก็ยังมองโลกในแง่ดีว่า จุดยืนพื้นเพเป็นมาอย่างไรไม่ว่ากัน

แต่เมื่อมีหน้าที่ความรับผิดชอบระดับชาติอย่างเป็นทางการ ก็น่าจะมีความเป็น “มืออาชีพ” พอ จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรง ไม่ปนเปกับความเป็นมาในอดีต

ตอนนี้ ขอบอกตรงๆ ว่า ไม่ไว้ใจกกต.รายนี้ซะแล้ว

นับแต่เปิดวันรับสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อวันที่ 23 ธ.ค.เป็นต้นมาวันแรก ก็มีม็อบมาล้อมปิดกั้นอย่างทุลักทุเล 9 พรรคเข้าไปสมัครได้ ส่วนอีก 26 พรรคต้องไปแสดงเจตจำนงนอกสถานที่รับสมัคร

วันที่ 24 ธ.ค.และ 25 ธ.ค. ม็อบก็เข้าปิดล้อมอาคารกีฬาเวสน์ 2 ไม่ให้ใครเข้าไปได้เลย และวันที่ 26 ธ.ค.อันเป็นวันจับสลาก ม็อบก็ประกาศล่วงหน้าแล้วว่า จะไปทำการปิดล้อมอีก

แต่กกต.โดยนายสมชัยก็ยังคงยืนยัน จะใช้สถานที่เดิมซึ่งถูกล้อมมา 3 วันติด เป็นที่จับสลาก

ไม่คิดจะเปลี่ยนย้ายสถานที่ไปไหน ที่มันมีความปลอดภัยกว่า และยากต่อการปิดล้อมกว่า

ไม่ปรากฏจะมีการขอร้องความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่น อาทิกองทัพที่ประกาศความพร้อมเจ้าหน้าที่กว่า 4 แสนนาย ที่พร้อมจะเข้าไปให้การช่วยเหลือในกิจการเลือกตั้งอยู่แล้ว

รัฐบาลจะไปสั่งการกกต.อะไรก็ไม่ได้ มีแต่กกต.จะต้องสั่งการรัฐบาล เพราะเมื่อมีการยุบสภาฯแล้ว รัฐบาลจะทำอะไรก็ต้องไปขออนุมัติจากกกต.หมด ขนาดจะระบายข้าว ยังต้องไปขอคำอนุมัติจากกกต.เลย

ท่าทีของนายสมชัยเอง ก็ดูเหมือนจะเป็นคนหูหนวกตาบอดไปแล้ว เพราะขนาดม็อบมาล้อมสถานที่รับสมัคร 3 วัน นายสมชัยถูกคำถามนักข่าวไล่ต้อนอย่างไร นายสมชัยก็ยังยิ้มอารมณ์ดีว่า เป็นการแสดงออกตามสิทธิประชาธิปไตย

ยังไม่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการขัดขวางการเลือกตั้ง

ฟันธงกันล่วงหน้าเลยครับว่า วันนี้พรรคการเมืองคงจับสลากเลือกหมายเลขส.ส.บัญชีรายชื่อกันไม่ได้!!!

ก็ขนาดม็อบประกาศล่วงหน้าอยู่โต้งๆ ว่า จะมาปิดล้อมสถานที่อีก นายสมชัยก็ยังยืนกรานใช้สถานที่เดิม แถมไม่หาวิธีใหม่ๆ ที่จะให้ผู้สมัครเดินทางเข้าไปสถานที่โดยไม่มีการต่อต้านขัดขวางเสียด้วย

ตัวเองมีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง แต่ไปซูเอี๋ยกับม็อบ เพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งได้อย่างไร นี่ล่ะ!กกต.อัปยศตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งหมาดใหม่

posted from Bloggeroid

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

7หุ้นเด่นครึ่งแรกปี2557 เน้นทำธุรกิจต่างประเทศ

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: 7หุ้นเด่นครึ่งแรกปี2557
เน้นทำธุรกิจต่างประเทศ
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 9 คน
7 หุ้น Global Plays โดดเด่นครึ่งแรกของปี 2557 เน้นหุ้นที่ทำธุรกิจต่างประเทศ ได้แก่ EARTH, PTTGC, STA, TTA, TUF, GFPT, STPI ราคาปัจจุบันมีอัพไซด์เพียบ ส่วนหุ้น Domestics Plays งดบริโภคชั่วคราว



นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า การลงทุนช่วงครึ่งแรกของปี 2557 ให้เน้นการลงทุนในหุ้น Global Plays หรือหุ้นที่มีธุรกิจนอกประเทศเป็นหลัก หลีกเลี่ยงหุ้น Domestics Plays โดยเลือกหุ้น Top Picks ขึ้นมาทั้งหมด 7 บริษัท คือ หุ้นบริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH คาดราคาถ่านหินฟื้นตัว และมาร์จิ้นเพิ่มจากการที่มีเหมืองเป็นของตนเอง โดยประเด็นเหมืองจีนเป็นอัพไซด์ เป้าหมาย 9 บาท

หุ้นบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC คาดส่วนต่างของผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์อยู่ในช่วงขาขึ้น อุปสงค์ฟื้นจากประเทศจีนและสหรัฐ ขณะที่อุปทานกลับลดลง เป้าหมาย 88.10 บาท, หุ้นบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA อุปสงค์ฟื้นตัวจากประเทศจีนและสหรัฐ ขณะที่ไตรมาส 4/2556-1/2557 เป็นช่วงไฮซีซั่นของยาง

หุ้นบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนให้ดัชนีของ BDI ปรับตัวขึ้นต่อ ขณะที่ MMT และการนำบริษัท PMTA ซึ่งเป็นบริษัทลูกเข้าจดทะเบียน หนุนการเก็งกำไร เป้าหมาย 19.70 บาท, หุ้นบริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF จากประเด็นค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง กระตุ้นการส่งออก ขณะที่ผลประกอบการพลิกฟื้นหลังจากแก้ปัญหาโรค EMS เป้าหมาย 77 บาท

หุ้นบริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT ได้รับผลดีจากค่าเงินบาทอ่อนกระตุ้นการส่งออก คาดอุปสงค์ฟื้นตัวหลังการส่งออกไปญี่ปุ่นกลับมาในปี 2557 ขณะที่มาร์จิ้นเพิ่มขึ้นจากต้นทุนอาหารสัตว์ในส่วนของข้าวโพดลดลงประมาณ 50% เป้าหมาย 16.50 บาท

หุ้นบริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI จากโครงการ Ichthys หนุนกำไรให้แตะระดับ 3 พันล้านบาท ในปี 2557 และมีอัพไซด์จากงานก่อสร้าง LNG ที่จะเข้าประมูลอีก 3 แสนล้านบาทที่มีอยู่ทั่วโลก โดยคาดโอกาสความสำเร็จในการประมูลขั้นต่ำ 10% หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท หลังจบงาน Ichthys ในปี 2558 ราคาซื้อขายปัจจุบันอยู่ที่ P/E 8 เท่า เป้าหมาย 30.50 บาท

posted from Bloggeroid

เปิดโผ 60 หุ้น กำไรจากการดำเนินงานสูงสุด

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: เปิดโผ 60 หุ้น กำไรจากการดำเนินงานสูงสุด

รายงานพิเศษ วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 8 คน
ข่าวหุ้นธุรกิจ ทำการรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดอันดับบริษัทที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2556 ซึ่งอิงจากอัตรากำไรสุทธิ (profit margin) สูงสุด และทำการคัดเลือกมาแค่เพียง 60 อันดับแรกจากหุ้นทั้งหมดที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยการคัดเลือกครั้งนี้แบ่งออกเป็นหุ้นใน SET 30 ตัว และหุ้นในตลาด mai 30 ตัว ซึ่งปรากฏว่า ความสามารถในการทำกำไรของหุ้นใน SET ดีกว่า mai อย่างชัดเจน

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นหลัก SET จำนวน 30 ตัวแรกทำผลงานได้อย่างโดดเด่น เพราะเมื่อพิจารณาจากอันดับที่ 30 ซึ่งได้แก่ BBL พบว่า หุ้นตัวนี้มีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 28% ส่วนหุ้นในตลาด mai อันดับที่ 30 ซึ่งได้แก่ GFM มีอัตรากำไรสุทธิแค่ระดับ 7.73% ซึ่งเป็นการย้ำให้เห็นว่า ศักยภาพของบริษัทขนาดใหญ่มีมากกว่าบริษัทขนาดเล็ก อันเป็นผลมาจากเรื่องการประหยัดจากขนาด และการใช้ทรัพยากรที่เหนือกว่าเพื่อช่วงชิงโอกาสทางการแข่งขันเป็นสำคัญ

สำหรับหุ้นที่ติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของกลุ่ม SET มีดังนี้ 1) INTUCH หรือ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 60.74% โดยมีรายได้จากการขาย 6,824.55 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษี 11,965.32 ล้านบาท ขณะที่ตัวเลขกำไรสุทธิทำได้มากถึง 11,089.10 ล้านบาท

อันดับ 2) TTW หรือ บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) มีอัตรากำไรสุทธิ 49.53% มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 3,872.30 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษี 2,960.14 ล้านบาท ขณะที่ตัวเลขกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 2,221.04 ล้านบาท

อันดับ 3) BECL หรือ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มีอัตรากำไรสุทธิ 47.77% มีรายได้จากการขาย 5,940.66 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษี 5,521.24 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ทั้งสิ้น 4,600.26 ล้านบาท 4) EASTW หรือ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) มีอัตรากำไรสุทธิ 37.42% มีรายได้จากการขาย 2,918.39 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษี 1,486.00 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ทั้งสิ้น 1,107.50 ล้านบาท

อันดับ 5) BAFS หรือ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มีอัตรากำไรสุทธิ 37.38% มีรายได้จากการขาย 1,968.19 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษี 1,156.60 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ทั้งสิ้น 840.71 ล้านบาท

ส่วนหุ้นที่ติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของกลุ่ม mai มีดังนี้ 1) BROOK หรือ บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีอัตรากำไรสุทธิ 53.13% มีรายได้จากการขาย 429.10 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษีอยู่ที่ 241.39 ล้านบาท เบ็ดเสร็จบริษัทมีกำไรสุทธิ 278.75 ล้านบาท 2) MONO หรือ บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ 38.43% มีรายได้จากการขาย 1,081.84 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษี 478.56 ล้านบาท เบ็ดเสร็จบริษัทมีกำไรสุทธิ 437.00 ล้านบาท

และ 3) AF หรือ บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ 29.76% มีรายได้จากการขาย 126.94 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษี 58.82 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิทำได้ในระดับ 47.46 ล้านบาท 4) TMW หรือ บริษัท ไทยมิตซูวา จำกัด (มหาชน) มีอัตรากำไรสุทธิ 23.41% มีรายได้จากการขาย 2,418.23 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษี 572.22 ล้านบาท ขณะที่ทำกำไรสุทธิได้ทั้งสิ้น 511.76 ล้านบาท

อันดับ 5) TNDT หรือ บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) มีอัตรากำไรสุทธิ 22.30% มีรายได้จากการขาย 258.92 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษีอยู่ที่ 58.80 ล้านบาท แต่กลับโชว์ตัวเลขกำไรสุทธิได้สูงถึง 58.52 ล้านบาท จึงเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่นักลงทุนน่าจะติดตาม หลังตัวเลขกำไรสุทธิออกมาค่อนข้างดี

ประเด็นที่นักลงทุนต้องขบคิดให้แตกก็คือ ผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือนออกมาค่อนข้างดีก็จริง แต่ตัวเลขในไตรมาส 4 ปี 56 จะดีตามเป้าที่ผู้บริหารวางไว้หรือไม่ ยังไม่มีใครออกมาพูดถึงเรื่องนี้ ถึงกระนั้นข้อมูลข้างต้นที่นำเสนอก็ทำให้นักลงทุนรู้ว่า นี่คือหุ้นกลุ่มแรกๆ ที่นักลงทุนควรหันมามอง หากคิดจะถือหุ้นข้ามปี

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตลาดกำลังผันผวนจากปัจจัยภายนอกที่หาความแน่นอนไม่ได้นั้น หุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งเท่านั้นจะเป็นหุ้นที่ประกันได้ว่า ราคาหุ้นจะต้องไม่ต่ำกว่าพื้นฐานของบริษัทมากเกินจำเป็น และหากจะถึงเวลาที่ปัจจัยลบจากภายนอกหมดไป หุ้นของบริษัทเหล่านี้ก็พร้อมจะทะยานขึ้นไปหาจุดที่เหมาะสมและยุติธรรมสำหรับราคาในยามปกติเสมอ

เหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ บริษัทเจ้าของหุ้นเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการทำกำไรที่ยอดเยี่ยมนั่นเอง

posted from Bloggeroid

สาระน่ารู้เกี่ยวกับธนาคารกลางสหรัฐ

Readability
Share
Settings
dailynews.co.th
สาระน่ารู้เกี่ยวกับธนาคารกลางสหรัฐ
1.ประธานาธิบดีวูดโรลด์ วิลสัน แห่งสหรัฐ ลงนามในรัฐบัญญัติธนาคารกลาง เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2456 เพื่อก่อตั้งธนาคารกลางสหรัฐ ( เฟด ) แต่หน่วยงานเปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 พ.ย. 2457

2.แม้จะเป็นองค์กรที่ถือกำเนิดจากการลงนามอนุมัติของผู้นำสหรัฐ แต่เฟดไม่ใช่หน่วยงานที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง ผู้ถือหุ้นของเฟดคือสถาบันการเงินรายใหญ่ในประเทศ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนของการถือหุ้นไม่ได้รับอนุญาตให้มีการเปิดเผย โดยธนาคารระดับประเทศทุกแห่งต้องร่วมเป็นสมาชิก ขณะที่ธนาคารระดับรัฐสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเป็นสมาชิกหรือไม่ ทั้งนี้ การถือกำเนิดของเฟดคือการรับถ่ายโอนอำนาจนโยบายด้านการเงินจากสภาคองเกรส

3. สำนักงานใหญ่ของเฟดอยู่ที่กรุงวอชิงตัน โดยมีสำนักงานส่วนภูมิภาค 12 แห่ง ได้แก่ นครนิวยอร์ก เมืองบอสตัน เมืองฟิลาเดลเฟีย เมืองคลีฟแลนด์ เมืองริชมอนด์ เมืองแอตแลนตา เมืองเซนต์หลุยส์ เมืองชิคาโก เมืองมินนิอาโปลิส เมืองแคนซัสซิตี เมืองดัลลัส และเมืองซานฟรานซิสโก

4.คณะผู้บริหารของเฟดมี 7 คน หนึ่งในนั้นคือตำแหน่งประธาน ซึ่งประธานเฟดคนแรกคือ นายชาร์ลส์ แฮมลิน ส่วนคนปัจจุบันคือนายเบน เบอร์นันกี ซึ่งเป็นคนที่ 14 และกำลังจะหมดวาระในวันที่ 31 ม.ค. 2557 วาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดอยู่ที่ 4 ปี แต่ไม่มีข้อจำกัดว่า ประธานคนเดิมจะไม่สามารถกลับมารับตำแหน่งต่อได้อีก ขณะที่วาระการดำรงตำแหน่งของคณะผู้บริหารอยู่ที่คนละ 14 ปี

5.เฟดสามารถปล่อยสินเชื่อให้หน่วยงานใดก็ได้ทั้งในและต่างประเทศ เป็นจำนวนเท่าใดและเมื่อไหร่ก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบประวัติการเงินย้อนหลัง และมีผู้ค้ำประกัน ซึ่งสถาบันการเงินที่เฟดปล่อยสินเชื่อให้มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ ซิตีกรุ๊ป มอร์แกนสแตนลีย์ เมอร์ริลลินช์ แบงก์ออฟอเมริกา และบาร์เคลย์ส พีแอลซี

6.หน้าที่ในภาพรวมของเฟดคือ 6.1) พิมพ์และทำลายธนบัตร รวมถึงเหรียญกษาปณ์ 6.2) วิเคราะห์เศรษฐกิจในภูมิภาค และนำเสนอเป็นรายงานในชื่อ "หนังสือสีเบจ" 6.3) กำหนดนโยบายเศรษฐกิจในประเทศ 6.4) รับรองการก่อตั้ง การรวมกิจการ และการล้มละลายของสถาบันการเงิน 6.5) จัดการศึกษาและเผยแพร่ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเงินและเศรษฐกิจ

7.เฟดเริ่มใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ( คิวอี ) ซึ่งก็คือการซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อพยุงเศรษฐกิจของประเทศเป็นครั้งแรก ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่จากตลาดอสังหาริมทรัพย์ เมื่อเดือนพ.ย. 2551 ปัจจุบันปริมาณการซื้อพันธบัตรอยู่ที่เดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 2.72 ล้านล้านบาท ) จนกระทั่งเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. เฟดประกาศเตรียมเริ่มการชะลอมาตรการคิวอีลง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 320,000 ล้านบาท ) ให้เหลือ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ( ราว 2.4 ล้านล้านบาท ) โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปีหน้าเป็นต้นไป

ทั้งนี้ เหตุผลมาจากการที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ( เอฟโอเอ็นซี ) เล็งเห็นเศรษฐกิจของประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของตลาดแรงงานที่อัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ในระดับ 7.0% และจำนวนตำแหน่งงานใหม่อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาตลอด

powered by Readability
SIGN UP LOG IN

posted from Bloggeroid

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

DELTA หุ้นร้อนวิ่งนิวไฮรอบ 10 ปี มั่นใจปี 2557 ธุรกิจขาขึ้นทุกกลุ่มสินค้า

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: DELTAร้อนฉ่า
นิวไฮรอบ10ปี
เป้าหมาย57บ.
ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 4 คน
DELTA หุ้นร้อนวิ่งนิวไฮรอบ 10 ปี มั่นใจปี 2557 ธุรกิจขาขึ้นทุกกลุ่มสินค้า ขณะที่โบรกเกอร์เชื่อกำไรสุทธิปีนี้เติบโต 5,300 ล้านบาท ลุ้นจ่ายปันผลทั้งปี 2.20 บาท วางราคาเป้าหมาย 57 บาท



ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัท เดลต้า อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA วานนี้ (23 ธ.ค.) ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 52.75 บาท สูงสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยนายอนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการ มองว่าราคาหุ้นบริษัทที่ปรับเพิ่มขึ้นแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าพาร์นั้น เป็นเพราะนักลงทุนให้ความสนใจแก่หุ้นของบริษัท และที่ผ่านมาผู้ถือหุ้นของบริษัทก็ตอบรับกับผลการดำเนินงานที่ดีของบริษัทตลอดมา

นอกจากนี้ ทิศทางธุรกิจช่วงปี 2557 ถือเป็นวงจรขาขึ้นของอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ด้านการจัดการระบบกำลังไฟฟ้า (Power management solutions) รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ประเภทพัดลมระบายความร้อน (Cooling Fan) อีเอ็มไอ ฟิลเตอร์ (EMI) และโซลินอยด์

อย่างไรก็ตาม แผนปีหน้าบริษัทอยู่ในขั้นตอนของการจัดทำ ซึ่งบริษัทคาดว่าประมาณต้นปีหน้าถึงจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการได้เลย บริษัทยังคงมองว่าบริษัทจะเติบโตไปได้พร้อมๆ กับอุตสาหกรรมที่ยังเป็นวงจรขาขึ้นอยู่ โดยในปีหน้าบริษัทคงยังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มเติม ส่วนแผนการซื้อกิจการนั้น ตอนนี้ไม่มี แต่ก็ไม่ปิดโอกาสในการซื้อกิจการถ้ามีดีลที่มองว่าจะเพิ่มโอกาสในการเติบโตของบริษัทในอนาคตเข้ามา ก็พร้อมที่จะพูดคุย

“แผนปีหน้าของบริษัทยังไม่แล้วเสร็จ แต่ทิศทางของธุรกิจยังเป็นขาขึ้นอยู่ตามแนวโน้มของอุตสาหกรรม สำหรับแผนการลงทุนของบริษัทในปีหน้านั้น คงไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มเติม โดยบริษัทจะหันไปเน้นเรื่องการพัฒนานวัตกรรมของผลิตภัณฑ์แทน ซึ่งตอนนี้งานวิจัยและพัฒนา (R&D) ของบริษัท ค่อนข้างแข็ง เพราะเรามีการลงทุนและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตลอด” นายอนุสรณ์ กล่าว

ทั้งนี้ ราคาหุ้น DELTA วานนี้ ปิดการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 52.75 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 1.75 บาท หรือคิดเป็น 3.4% ทำราคาสูงสุดของวันที่ 52.75 บาท ต่ำสุดของวัน 51 บาท มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 247 ล้านบาท โดยราคาหุ้นที่ 52.75 บาท ถือเป็นจุดสูงสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์รอบ 10 ปี

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงนั้น บริษัทมองว่าแม้บริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ก็ไม่ได้รับประโยชน์มากนัก เพราะได้ประโยชน์เฉพาะตัวเลขในงบบัญชีที่แปลงมาเป็นเงินบาท จากรายได้และผลกำไรของบริษัทที่มาในรูปดอลลาร์เท่านั้น เพราะค่าใช้จ่ายและต้นทุนอื่นๆ ของบริษัทอยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ทั้งหมด บริษัทจึงไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไหร่จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง

ขณะที่ปัญหาสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ บริษัทไม่ได้รับผลกระทบสักเท่าไหร่ เพราะบริษัทมีรายได้หลักมาจากตลาดต่างประเทศ แต่มีลูกค้าชาวต่างชาติหลายรายสอบถามเข้ามาถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งบริษัทได้ชี้แจงไปจนหมด และมีการส่งข้อมูลไปให้ลูกค้าทุกรายแล้วด้วย ทั้งนี้ ปัจจุบันลูกค้าหลักของบริษัทมาจากยุโรปมากถึง 50% ที่เหลือก็จะเป็นตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ และเอเชีย

ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 4 คาดกำไรหลักจะยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากยอดขายชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับ DATA CENTER แต่จะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ตามปัจจัยของฤดูกาล

ดังนั้น ในงวดปี 2556 บริษัทจึงมีแนวโน้มรายงานกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ 5.2 พันล้านบาท และคาดกำไรสุทธิ 5,386 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,347 ล้านบาท โดยคาดจ่ายเงินปันผลงวดปี 2556 อยู่ที่ 2.20 บาทต่อหุ้น และประเมินงวดปี 2557 จะมีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 5.9 พันล้านบาท กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 57 บาท

posted from Bloggeroid

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คาดหุ้นไทยปี 57 ผันผวนขาลง ถือเป็นปีที่ลงทุนยาก เผยปี 56 ต่างชาติทิ้งไปแล้ว 1.9 แสนล้าน - iBiz

คาดหุ้นไทยปี 57 ผันผวนขาลง ถือเป็นปีที่ลงทุนยาก เผยปี 56 ต่างชาติทิ้งไปแล้ว 1.9 แสนล้าน - iBiz

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น


"บล.โกลเบล็ก" คาดหุ้นไทยปี 57 ผันผวนขาลง ต่ำสุด 1,100 จุด และสูงสุด 1,440 จุด เผยเป็นปีที่ลงทุนยาก เพราะมีหลายปัจจัยลบ เชื่อเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับประเทศพัฒนาแล้ว แม้ปี 56 จะขายออกมาแล้วกว่า 1.9 แสนล้าน
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการและผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปี 2557 เป็นปีที่ลงทุนยาก เนื่องจากมีหลายปัจจัยลบ โดยเฉพาะการเมืองในประเทศที่ยืดเยื้อ แนวโน้มการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ถูกเลื่อนออกไปมีมากขึ้น อาจจะกระทบการลงทุนภาครัฐล่าช้า ความมั่นใจการลงทุนและบริโภคถดถอย ส่งผลอัตราการขยายตัวปี 2557 จะขยายตัวลดลง เหลือโตร้อยละ 2.5-3.5 จากเดิมร้อยละ 3.5-4.5 ทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตเพียงร้อยละ 10
ประกอบกับยังมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ยังลดพอร์ตการลงทุนไทยต่อเนื่อง ทั้งจากปัญหาการเมืองและการลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) ที่มีการย้ายเงินกลับไปลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว เอเซียเหนือและจีน ซึ่งคาดว่า จะยังมีการเทขายออกมาอีก แม้ปีนี้จะขายออกมาแล้วกว่า 190,000 ล้านบาท
ทำให้ดัชนียังผันผวนขาลง โดยคาดต่ำสุดที่ 1,100 จุด ช่วงปลายไตรมาส 1 ถึง ต้นไตรมาส 2 และคงจะทยอยปรับขึ้น โดยดัชนีสูงสุดที่ 1,440 จุด หรือระดับราคาต่อกำไรสุทธิที่ 10-12 เท่า ดังนั้น แนะนำให้ลงทุนในหุ้นไทยเพียงร้อยละ 50 และเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศเป็นร้อยละ40 เน้นหุ้นที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก คือ พลังงาน ปิโตรเคมี อาหาร เกษตร และ การขนส่ง
Excerpted from คาดหุ้นไทยปี 57 ผันผวนขาลง ถือเป็นปีที่ลงทุนยาก เผยปี 56 ต่างชาติทิ้งไปแล้ว 1.9 แสนล้าน - iBiz - Manager Online
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000156361

posted from Bloggeroid

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รวมข่าวหุ้นเช้าวันศุกร์ 20 ธค256

รวมข่าวหุ้นเช้าวันศุกร์

สรุปข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ชี้ช่องเลื่อนเลือกตั้ง กกต.แนะทูลเกล้าฯเลิกพรฎ. 'ปู'ตะแบงไม่มีอำนาจหน้าที่
"กกต." ออกแถลงการณ์ยันมีช่องทางเลื่อนเลือกตั้ง 2 ก.พ.ได้ ชี้หากยังดันทุรังประเทศอาจฉิบหาย แนะ "รัฐบาลกปปส." ลดอัตตาและเจรจาหาทางออก เผย "ยิ่งลักษณ์" มีอำนาจทูลเกล้าฯ ถวายยกเลิกพระราชกฤษฎีกา เหตุรัฐธรรมนูญไม่ได้ กำหนดบทลงโทษหากไม่มีหย่อนบัตรเกิน 60 วัน "ปู" ท่องคาถาไม่ใช่หน้าที่ อ้างรัฐ บาลตอนนี้แค่เทกระโถน "มาร์ค" หนุนแนว คิด 5 เสือ ลั่นต้องทำก่อน 23 ธ.ค. เลขาธิ การ กกต.รับผวา! วันแรกรับสมัครไม่ได้

ขู่อายัดแกนนำรุ่น2อีก30เตือนขัดคำสั่ง'ศาลรธน.'
"ธาริต" ขยันเรียกแขก บ้าอำนาจสั่ง 30 ธนาคารอายัดบัญชี 18 แกนนำ กปปส. ตรวจสอบธุรกรรมย้อนหลัง 6 เดือน แจกของขวัญปีใหม่เรียก 17 คนเว้น กำนันรับทราบข้อกล่าวหากบฏ 26-27 ธันวา. เพ้อเจ้อจะทำให้คนไม่ออกมาชุมนุม เตรียมเล่นงานฐานกบฏแกนนำแถว 2 อีก 30 คน "ถวิล" เตือนระวัง "สุเทพ" ย้อนศร เพราะศาล รธน.เพิ่งสั่งมวลมหาประชาชนชุมนุมสันติ ปราศจากอาวุธ ต่างกับเสื้อแดงที่ผิดกฎหมาย

กำนันปลุกปชช.เซตซีโร
"กปปส." เดินขบวนออกบัตรเชิญเข้าร่วมตะเพิดยิ่งลักษณ์ อุ่นเครื่องคึก คัก "ออกไป" กระหึ่มกรุงเทพฯ นัดอีกเช้า วันศุกร์ มุ่งหน้าสีลม-สาทร-สี่พระยา-เยาวราช "เทือก" มั่นใจ 22 ธันวาคมมืดฟ้ามัวดิน รับรองปูฉี่ราดแน่ ย้ำต้องออกจาก รักษาการนายกฯ แล้วให้คนดีมาทำงานเพื่อปฏิรูปบ้านเมืองให้พ้นจากวิกฤติ ลั่นประชาชนต้องเซตซีโรประเทศ

อัดสื่อนอกล็อบบี้ยิสต์แม้วปัดม็อบลดประชาธิปไตย
สื่อฝรั่งทางเลือกอัดสื่อกระแสหลักวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทยแบบสองมาตรฐาน ตอบโต้นักข่าวนิวยอร์กไทมส์วิจารณ์ผู้ประท้วงไทยอยากให้ลดความเป็นประชาธิปไตยลง สวนทางกระแสลุกฮือเรียกร้องประชาธิปไตยทั่วโลก ย้อนทุนสหรัฐไม่ ใช่หรือที่ปลุกปั่น "อาหรับสปริง" เพื่อเปลี่ยนรัฐบาล จวกเหมือนนักโฆษณาชวนเชื่อใน สื่อตะวันตกที่ไม่พูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนยุคทักษิณฆ่าตัดตอน

ยืดหนี้ชาวนาช่วยจำนำข้าวแก้รัฐถังแตก
"ยรรยง" ซัดสหภาพ ธ.ก.ส.อย่าทำตัวเกินหน้าที่ ชี้ ธ.ก.ส. มีหน้าที่แค่จ่ายเงินโครงการจำนำไม่ใช่ หาเงิน โวรัฐบาลมีเงินพอ แฉ ธ.ก.ส. รับประโยชน์เต็มๆ ทั้งค่าบริหารจัดการและดอกเบี้ย ด้าน ธ.ก.ส.แก้ปัญหาถังแตก สั่งยืดหนี้ชาวนาที่ไม่ได้เงินจำนำข้าว 1 ปีเป็นกรณีพิเศษ ช่วยเกษตรกรที่ได้ใบประทวนแต่ยังเบิกเงินไม่ได้

สรุปข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

ไทยลุ้นท็อปเท็นหนุนตั้งกิจการ
ไทยตั้งเป้ารั้งอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่อำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจในปีหน้า

เชื่อมั่นอุตฯพ.ย.ดิ่งสุดรอบ2ปี การเมืองฉุดแรงซื้อวูบดึงเศรษฐกิจโตแค่2.5%
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ย.ต่ำสุดในรอบ 2 ปีนับตั้งแต่ พ.ย.54 ส.อ.ท.ชี้ปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจโลกและพิษการเมือง คาดฉุดแรงซื้อในอนาคตอีก 3 เดือนวูบ ส่งผลให้เศรษฐกิจทั้งปีโตแค่ 2.5% ด้านยอดผลิตรถยนต์ยังทรุดดิ่งสุดรอบ 7 เดือน

อนุมัติรง.4อีก6โรงงาน กนอ.ฮึดขายที่5,000ไร่
คณะกรรมการกลั่นกรองฯ ไฟเขียว 6 โรงงานกว่า 5.6 พันล้าน ระบุกำหนดระยะเวลาอนุญาตให้เร็วขึ้น ย้ำการเมืองไม่กระทบการตั้งโรงงาน ด้านการนิคมฯ ตั้งเป้าปีหน้าขายที่ 5,000 ไร่

ทีจีจ่อปลดระวางA330-300
บิ๊กบินไทยเผย 330 ลื่นไถลเกิดจากอุปกรณ์ของ บริษัทผู้ผลิต หลังพบปัญหาโบกี้บีม บิ๊กฝ่ายช่างชี้ อาจต้องประกาศลดอายุใช้งาน จ่อปลดระวางตามแผน ส่วนความเสียหายบริษัทผู้ผลิตจะต้องรับผิดชอบ

เปิด10ธุรกิจเด่นการแพทย์แชมป์พลังงานรั้งบ๊วย
นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์ฯ ได้จัดอันดับ 10 ธุรกิจเด่นปี 2557 โดยธุรกิจเด่นอันดับ 1 ยังคงเป็นธุรกิจทางการแพทย์และความงาม ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ได้ 93.6 คะแนน จากเต็ม 100 คะแนน

ชง'กกต.'เคาะอุ้มผู้ปลูกมันฯราคาตก
"นิวัฒน์ธำรง" สั่งกรมการค้าภายใน ทำหนังสือถึง กกต. อนุมัติโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง เหตุราคาตกต่ำหนัก

ม็อบไม่กระทบราชประสงค์เล็งเจรจา'กปปส.'เคลียร์จราจร
นายกสมาคมผู้ประกอบการวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ แจงไม่ห้ามหากมีการชุมนุม แต่ขอเจรจาจัดระเบียบไม่ให้เกิดปัญหาการจราจร ด้านเซ็นทรัลเวิลด์ทุ่ม 50 ล้านบาท จัดงานเคาต์ดาวน์

ณุศาศิริควงสิงคโปร์ลุย โนเบิลหันจับตลาดล่าง
"ณุศาศิริ" ลุยเปิดเพิ่ม 2 โครงการ หลังสิงคโปร์เข้าเพิ่มทุน 700 ล้านบาท ด้าน "โนเบิล" ชี้อสังหาฯ ปีหน้าโตแผ่วตามเศรษฐกิจชะลอ หันรุกตลาดล่างราคา 1.5 ล้านบาท

พาณิชย์คุมเข้มมาตรฐานสินค้าเน้นกลุ่มเกษตร
กรมการค้าต่างประเทศ คุมเข้มมาตรฐานสินค้าขาออก เผยเดือน พ.ย. ตักเตือนและปรับรวม 29 ราย และผู้ทำการค้าเคร่งครัดระเบียบ

ฟู้ดแกลเลอรี่บุกเจาะเชนร้านอาหาร
"ฟู้ดแกลเลอรี่" เล็งหาช่องทางจำหน่ายสินค้านำเข้าเพิ่ม หลังปัจจัยลบยังไม่ส่งผลต่อธุรกิจ

ชี้'กองทุนรวม'เนื้อหอมปี57มูลค่าทะลุ3ล้านล้าน
กองทุนรวมยังน่าสนใจ คาดปี 57 มูลค่าทะลุ 3 ล้านล้านบาท แนะนักลงทุนกระจายเสี่ยงเทรดหุ้น ดัชนีลด 3 จุด ต่างชาติขายต่อ 1.1 พันล้านบาท

สรุปข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

อัด50ล้านบาทจัดเคานท์ดาวน์ขน2พันคนดูแลความปลอดภัย
นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เปิดเผยว่า เซ็นทรัลฯได้ทุ่มงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท เพื่อจัดงานเคานท์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในคืนวันที่ 31 ธ.ค.นี้ ที่ลานด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ถนนราชประสงค์ ซึ่งถือว่าเป็นการทุ่มงบประมาณมากที่สุดที่เคยจัดงานเคานท์ดาวน์มา และมั่นใจว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะไม่ส่งผลกระทบ ให้บรรยากาศการออกมาเฉลิมฉลองส่งท้ายปีซบเซาเพราะคนไทยยังต้องการเฉลิมฉลองปีใหม่อยู่ เบื้องต้นคาดว่าจะมีคนออกมาร่วมงานไม่น้อยกว่า 3 แสนคน

ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยจับตาการเมือง-เลือกตั้ง
รายงานข่าวจาก บล.เคเคเทรด เปิดเผยว่า จากผลสำรวจผู้บริหารกองทุนในเอเชีย เดือนธ.ค. พบว่า ผู้บริหารกองทุนให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่มเอเชียเหนือมากกว่าภาพรวมตลาด แต่ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้นถูกลดน้ำหนักการลงทุนเป็นน้อยกว่าตลาดประมาณ 5% เพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นแต่ยังมีโอกาสได้รับประโยชน์จากตลาดหุ้นโลกที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นหากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ประกาศหลังการประชุมวันที่ 21 ธ.ค.นี้ ว่าจะลงเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.57 ซึ่งจะทำให้หุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1,380-1,400 จุดได้ ภายในเดือนธ.ค.นี้

ทอง-หุ้นไม่กระเทือนสหรัฐลดคิวอีม.ค.57
น.ส.ณัฐฑี จุฑาวรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี) เหลือ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่ 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ว่า ถือว่าเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เพราะได้ส่งสัญญาณมาตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา จึงไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดทองมากนัก โดยตลาดทองคำในประเทศวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมาปรับลดลง 350 บาท ทองคำแท่งรับซื้อ 18,450 บาท ขายออก 18,550 บาท รูปพรรณ รับซื้อ 18,176.84 บาท ขายออก 18,950 บาท

จำปีจ่อปลด'แอร์บัส330'ร่นไถลรันเวย์12ลำปีหน้า
เรืออากาศเอก มนตรี จำเรียง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายช่าง บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสอบสวนกรณีเครื่องบินแอร์บัส 330-300 เกิดอุบัติเหตุลื่นไถลที่ท่าอากาศยานสุวรรณ ภูมิระหว่างลงจอด เมื่อเดือน ก.ย. 56 ว่า ผลตรวจสอบและการอ่านข้อมูลบันทึกในกล่องดำ คาดสาเหตุเกิดจากการแตกร้าวของคานโบกี้บีม ของฐานล้อหลักด้านขวา เป็นผลให้ฐานล้อขวาหักขณะลงจอดและเครื่องบินไถลออกนอกทางวิ่ง ทำให้ต่อไปอาจต้องประกาศแจ้งลดอายุการใช้งานของโบกี้บีม รุ่นนี้

คมนาคมกางแผนรับปีใหม่เพิ่มรถบขส.กว่า4หมื่นเที่ยว
นายสมชัย ศิริวัฒนโชค ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้จัดทำแผนอำนวยความสะดวกให้บริการและอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ เช่น การบริการ การขนส่งสาธารณะ การอำนวยความสะดวกด้านโครงข่ายถนน การจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในท่าเรือ สถานีขนส่ง ท่าอากาศยานและอาคารผู้โดยสาร สถานีรถไฟ โดยในส่วนของ บขส.รวมรถร่วมบริการ ได้เพิ่มเที่ยวรถขาไปวันที่ 27 ธ.ค.-29 ธ.ค. รวม 21,451 เที่ยว รองรับผู้โดยสารได้ 526,945 คน และขากลับ วันที่ 31 ธ.ค. 56-2 ม.ค. 57 รวม 21,604 เที่ยว รองรับผู้โดยสาร 549,116 คน

ธุรกิจความงามมาแรงปี57คนไทยรักสวยสุขเพิ่มสื่อสารจี้ตามติดรับ3จี
นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้า ไทย เปิดเผยผลสำรวจ 10 อันดับธุรกิจเด่นว่า ในปี 57 ธุรกิจที่ความโดดเด่นมากที่สุดคือ ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม ซึ่งสามารถรักษาความโดดเด่นที่สุด 4 ปีติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 54 เป็นต้นมา เนื่องจากประชากรของประเทศไทยให้ความสำคัญเกี่ยวกับความสวย ความงาม และการรักษาสุขภาพอย่างมาก โดยเฉพาะคนชั้นกลางและคนในเมืองที่เพิ่มปริมาณอย่างต่อเนื่อง

จี้รัฐรับจำนำมันฯเร่งช่วยเกษตรกร
น.ส.วรรณนา มุจรินทร์ ตัวแทนเกษตรกรอำเภอแม่วงก์ แม่เปิน จ.นครสวรรค์ เปิดเผยภายหลังการมอบหนังสือร้องเรียนเพื่อให้กระทรวงพาณิชย์เปิดโครงการรับจำนำมันสำปะหลังปี 2556/57 ต่อนายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ ว่า ตัวแทนเกษตรกรจากทั่วประเทศ 50 คน ได้เดินทางมายื่นหนังสือดังกล่าวต่อกระทรวงพาณิชย์ให้รัฐบาลเปิดโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง เนื่องจากขณะนี้ราคาผลผลิตตกต่ำอย่างมาก เฉลี่ยราคาประมาณ 2,000 บาทต่อตัน หรือ 2 บาทต่อ กก.

'นิวัฒน์ธำรง'ยื่นถามกกต.ประมล-จีทูจีใหม่ได้หรือไม่
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ส่งหนังสือสอบถามคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถึงการระบายสต๊อกข้าวลอตใหม่ของกระทรวงพาณิชย์ ว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ หลังจากมีการยุบสภา ซึ่งต้องรอคำตอบจาก กกต.ก่อน หากระบุว่าทำได้ไม่ผิดระเบียบ ก็จะดำเนินการเปิดระบายข้าวทั้งการเปิดประมูลเป็นการทั่วไป และการขายข้าวผ่านรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ในส่วนของสัญญาใหม่ ที่มีหลายประเทศติดต่อซื้อข้าวไทยเพิ่มเติมเข้ามา

§

Excerpted from รวมข่าวหุ้นเช้าวันศุกร์
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=54610

posted from Bloggeroid

GUNKULปี57เจิดจรัส

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: GUNKULปี57เจิดจรัส
รายได้พุ่งกระฉูด20%
บุ๊คโซลาร์ รูฟท็อป-โรงไฟฟ้าที่พม่าเฟสแรก
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 7 คน
“กันกุล” มั่นใจQ4/56 สวย เร่งโซลาร์ รูฟท็อป 15 โครงการ คาดแล้วเสร็จม.ค.-ก.พ. 57 ลั่นปีหน้ารายได้โต 15-20% บุ๊คโรงไฟฟ้าในพม่า เฟสแรก 25 MW และลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลม ขนาด 60 MW หวังแล้วเสร็จปี 2558



นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL กล่าวว่า แนวโน้มในไตรมาส 4/56 น่าจะมีทิศทางเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เบื้องต้นน่าจะมีรายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งมาจากมูลค่างานในมือ (แบ็กล็อก) ของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแบ็กล็อกอยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีหน้า (ปี 2557) เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีการประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง

ส่วนโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์ รูฟท็อป) ทั้ง 15 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 11 เมกะวัตต์ (MW) ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์บนหลังคา คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงเดือนม.ค. 57 แต่มีบางโครงการที่ต้องมีการปรับปรุงหลังคาก่อน จึงน่าจะทำให้มีบางโครงการแล้วเสร็จในช่วงเดือนก.พ. 57 ซึ่งภายในไตรมาส 1/56 น่าจะแล้วเสร็จและดำเนินการได้ทั้ง 15 โครงการ

“สำหรับโครงการโซลาร์ รูฟท็อป บริษัทคงจะมีการรับรู้รายได้ในปีหน้า เนื่องจากปีนี้มีการดำเนินการหลายอย่าง ทั้งใบอนุญาต สัญญาเช่าหลังคา สัญญาก่อสร้าง เป็นต้น และเริ่มดำเนินการติดตั้งแล้ว คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในเดือนม.ค.-ก.พ. 57 เนื่องจากมีบางโครงการจะต้องมีการดำเนินการปรับปรุงหลังคาก่อนการติดตั้ง” นางสาวโศภชา กล่าว

ส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้าจากเครื่องยนต์ก๊าซ (Gas Engine) ขนาด 50 เมกะวัตต์ ที่ประเทศสาธารณรัฐสหภาพเมียนมาร์ (พม่า) ขณะนี้ได้สัญญาซื้อขายไฟเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบริษัทจะเข้าลงทุนในช่วงไตรมาส 1/57 สำหรับเฟสแรก ขนาด 25 เมกะวัตต์ ที่เริ่มจ่ายไฟแล้ว ส่วนเฟสที่ 2 ยังอยู่ระหว่างการเจรจา

อย่างไรก็ตาม ปีนี้รายได้อาจจะไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้โต 10% จากปีก่อน เนื่องจากการส่งมอบแบ็กล็อกมีความช้า แต่กำไรน่าจะมีการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับรายได้ ขณะที่ธุรกิจเทรดดิ้งจะมีการเติบโตประมาณ 5-10% ต่อปี จึงน่าจะทำให้รายได้ปีหน้ามีการเติบโตไม่น้อยกว่า 15% หรือเติบโตประมาณ 15-20% จากปีนี้ ส่วนกำไรน่าจะมีการเติบโตในทิศทางเดียวกัน ซึ่งการเติบโตส่วนหนึ่งมาจากแบ็กล็อกที่มีอยู่

ด้านสัดส่วนรายได้ของบริษัทส่วนใหญ่ประมาณ 70% มาจากธุรกิจเทรดดิ้งและธุรกิจให้บริการ ออกแบบ จัดหา ก่อสร้าง (EPC) ส่วนกำไรมีสัดส่วนมาจากธุรกิจพลังงานประมาณ 40% ของกำไรโดยรวม ซึ่งบริษัทคาดว่าจะคงสัดส่วนนี้ไปอย่างน้อย 3 ปี เนื่องจากในประเทศบริษัทจะเน้นลงทุนพลังงานทดแทน ส่วนต่างประเทศจะเน้นลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า

นางสาวโศภชา กล่าวว่า บริษัทจะเน้นลงทุนใน 2 ประเทศ คือ พม่าและไทย ซึ่งในไทยยังมีโครงการต่อเนื่อง 3 ปี โดยปีหน้าจะมีการลงทุนพัฒนาในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ขนาด 60 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท จะใช้เงินทุนของบริษัทประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะกู้ธนาคาร คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ และจ่ายไฟฟ้าได้ประมาณปี 2558

“กำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทในปัจจุบันมีอยู่ 59 เมกะวัตต์ สำหรับปีหน้าก็มีการลงทุนโรงไฟฟ้าจากเครื่องยนต์ก๊าซ (Gas Engine) ขนาด 50 เมกะวัตต์ ที่พม่า ซึ่งน่าจะมีรายได้จากเฟสแรก ขนาด 25 เมกะวัตต์ ส่วนเฟส 2 ยังต้องรอการเจรจา รวมถึงมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ขนาด 60 เมกะวัตต์ ที่จะแล้วเสร็จในปี 2558 ที่จะส่งผลให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในอนาคต” นางสาวโศภชา กล่าว

posted from Bloggeroid

Warren Buffett made $37 million a day in 2013

Warren Buffett made $37 million a day in 2013 - Slide Show
There’s good reason why Warren Buffett is widely viewed as one of the most successful investors in the world. This past year, the Oracle of Omaha made about $37 million a day, topping a list of billionaires who made the biggest financial gains in 2013, a new study shows.

The legendary billionaire and philanthropist finished 2013 with a net worth of $59.1 billion, up from $46.4 billion at the beginning of the year, according to a wealth-analysis study by Wealth-X and UBS. The number of billionaires in the world grew between July 2012 and June 2013 with total wealth rising by 5.3%. Since the market’s March 2009 lows in the wake of the global financial crisis, billionaires have seen their total wealth more than double from $3.1 trillion to $6.5 trillion.

Despite Buffett’s monster gain, Microsoft Chairman Bill Gates is still the wealthiest billionaire in the world, ending the year with total net worth of $72.6 billion.

Highlights from the report:

—There are 2,170 billionaires in the world with a combined net worth of more than $6.5 trillion.

—There are four billionaires whose net worth tops $50 billion: Bill Gates, Carlos Slim, Amancio Ortego and Warren Buffett.

—The U.S. accounts for 34% of the combined net worth of world’s billionaires.

—The U.S. remains the billionaire capital of the world with three times more billionaires than China.

Here are the top 10 gainers of 2013:

2013 gain: $12.7 billion

December 2013 net worth: $59.1 billion

January 2013 net worth: $46.4 billion

2013 gain: $11.5 billion

December 2013 net worth: $72.6 billion

January 2013 net worth: $61.1 billion

2013 gain: $11.4 billion

December 2013 net worth: $35.3 billion

January 2013 net worth: $23.9 billion

2013 gain: $11.3 billion

December 2013 net worth: $34.4 billion

January 2013 net worth: $23.1 billion

2013 gain: $10.5 billion

December 2013 net worth: $24.7 billion

January 2013 net worth: $14.2 billion

2013 gain: $10.3 billion

December 2013 net worth: $19.1 billion

January 2013 net worth: $8.8 billion

2013 gain: $9.3 billion

December 2013 net worth: $30 billion

January 2013 net worth: $20.7 billion

2013 gain: $9.3 billion

December 2013 net worth: $29.9 billion

January 2013 net worth: $20.6 billion

2013 gain: $8.3 billion

December 2013 net worth: $19.6 billion

January 2013 net worth: $11.3 billion

2013 gain: $7.2 billion

December 2013 net worth: $22.1 billion

January 2013 net worth: $14.9 billion

posted from Bloggeroid

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

: HEMRAJรายได้พุ่ง1.37หมื่นล้าน

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: HEMRAJรายได้พุ่ง1.37หมื่นล้าน

บริษัทจดทะเบียน วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 4 คน
"HEMRAJ" ลั่นรายได้ปีนี้โต 80-90% ทะยานระดับ 1.3 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 6.8 พันล้านบาท หลังรับรู้รายได้จากการขายกองทุนอสังหาฯHPF แตะ 4.7 พันล้านบาท ในไตรมาส 4/56 พร้อมเล็งขยายกองทุนเพิ่มในอนาคต



นายเผ่าพิทยา สมุทรกลิน ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและนักลงทุนสัมพันธ์บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด(มหาชน) หรือ HEMRAJ เปิดเผยว่า บริษัทจะบันทึกรายได้จากการขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพยและสิทธิการเช่าเหมราช อินดัสเตรียล (HPF) มูลค่า 4,700 ล้านบาท ในไตรมาส 4/56 ส่งผลให้รายได้รวมปีนี้จะเติบโตมากกว่า 80-90% อยู่ที่ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่คงเป้ายอดขายที่ดินปีนี้ไว้ที่ 2,300 ไร่ ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะขยายกองทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งบริษัทมีพื้นที่ให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปอยู่ที่ 5 แสนตารางเมตร และคลังสินค้า 2 แสนตารางเมตร

สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนวันที่ 16-23 ธ.ค. 56 จองซื้อขั้นต่ำ1,000 บาท ในราคา 10 บาท และโอนกรรมสิทธิในวันที่ 26-27 ธ.ค.นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในเดือนม.ค. 57 โดยบริษัทจะบันทึกรายได้ในไตรมาส 4/56 นี้

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด จำกัด คาดการณ์ว่า HEMRAJ จะมีโอกาสบันทึกกําไรจากการขายได้ในไตรมาส 4/56 หรือไตรมาส 1/57 เบื้องต้นคาดว่ามีกําไรจากการขายประมาณ 1.2 พันล้านบาท หรือคิดเป็นกําไรต่อหุ้นที่ 12 สตางค์ต่อหุ้น ซึ่งยังไม่รวมประมาณการประโยชน์ที่จะได้รับนอกจากเงินทุนหมุนเวียน และส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น กรณีการบันทึกกําไรได้ทันในไตรมาส 4/56 มีโอกาสที่บริษัทจะจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นได้จากกําไรปกติที่จ่ายปันผลครึ่งหลังของปี 2556 ที่ 8 สตางค์ต่อหุ้น ให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่ 2.6% หลังขายกองทุนคาดจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นอีก 6 สตางค์ต่อหุ้น จะทําให้ผลตอบแทนเงินปันผลของครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้นเป็น 4.6%

ด้านยอดขายที่ดินปี 2556 ทําได้ดีกว่ากลุ่ม HEMRAJ เป็นบริษัทที่ประสบผลสําเร็จในการสร้างยอดขายที่ทําได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการปรับเป้ายอดขายเพิ่มในช่วงเวลา 1 ปี 3 ครั้ง โดยล่าสุดตั้งเป้ายอดขายทั้งปีไว้ที่ 2.3 พันไร่ จากยอดขายที่ดินในงวด 9 เดือนแรก มียอดขายที่ดี 1.8 พันไร่ ซึ่งเป็นยอดขายที่ทําได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่ม เช่น AMATA ที่ตั้งเป้า 1 พันไร่ และ ROJNA 1.5 พันไร่

ทั้งนี้ จากกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจ และอยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักยังคงมาจากยานยนต์ อย่างไรก็ตามยอดขายในเดือน ธ.ค. 56 มีความเสี่ยงจากประเด็นการเมือง อาจทําให้การตัดสินใจของลูกค้าช้ากว่าคาด คงคําแนะนํา “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 4.48 บาท

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นบวกจากแผนการขายกองทุนอสังหาฯดังกล่าวที่มีความชัดเจน เป็นผลบวกต่อสภาพคล่องและการลงทุนในอนาคต รวมถึงผลประกอบการที่ดีขึ้นจากกําไรการขายกองทุนประมาณ 1.2 พันล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการปกติในไตรมาส 4/56 มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากการใช้กําลังการผลิตได้เต็มที่มากขึ้น จากโครงการ GHECO-ONE และรายได้จากที่ดินที่มีงานในมือรอบันทึกรายได้ 4.1 พันล้านบาท ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า HEMRAJ เป็นตัวเลือกที่ดีในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจากรายได้ที่มาจากหลายธุรกิจช่วยสนับสนุนผลกําไร จึงยังคงคําแนะนํา “ซื้อ"

posted from Bloggeroid

CPALLแสตมป์ดันQ4พุ่ง

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: CPALLแสตมป์ดันQ4พุ่ง

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 4 คน
"CPALL" ปลื้มโปรโมชั่นแสตมป์ดันยอดขาย Q4/56 พุ่ง คาดทั้งปีดีกว่าเป้าที่วางไว้ 13-15% ขยายสาขาได้ 600 สาขา มั่นใจสิ้นปีมี 7,400 สาขา โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 52 บาท รับศักยภาพการเติบโตในระยะยาว



นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALLกล่าวว่า สำหรับโปรโมชั่นสะสมแสตมป์ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดี สามารถทำยอดขายของร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงถือว่าประสบความสำเร็จดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/56 มีการเติบโตได้ดี และทั้งปีน่าจะมียอดขายดีกว่าเป้าหมาย ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเติบโต 13-15% จากปีก่อน

ทั้งนี้ ความสำเร็จของโปรโมชั่นสะสมแสตมป์ มาจากความสามารถในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยสินค้าที่รวมทำโปรโมชั่นก็จัดเป็นสินค้าที่ลูกค้าต้องการ และของพรีเมียมที่จัดโปรโมชั่น ทั้งร่ม หรือเก้าอี้ ลูกค้าก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมากในการสะสมแสตมป์เพื่อแลกสินค้าพรีเมียมดังกล่าว

ด้านการขยายสาขา ปกติจะมีการขยายสาขาประมาณปีละ 500 สาขา บางปีก็ประมาณ 550 สาขา แต่สำหรับปีนี้น่าจะมีการขยายสาขาได้ประมาณ 600 สาขา กระจายทั่วประเทศทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด ก็น่าจะส่งผลให้สิ้นปีนี้บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้นประมาณ 7,400 สาขา

“การขยายสาขาร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ก็มีทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ ตามจังหวัดอย่างทางภาค ตะวันออกเฉียงเหนือที่มีการขยายมาก และแหล่งท่องเที่ยว จึงส่งผลให้สัดส่วนสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นมาก ส่วนงบลงทุนในแต่ละปีตั้งไว้ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท”

นายปิยะวัฒน์ กล่าวต่อว่า ในปีหน้า (ปี 2557) บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโตใกล้เคียงกับปีนี้ที่ประมาณ 13-15% โดยคาดว่าจะมาจากการเติบโตของร้านเดิมประมาณ 5% และการขยายสาขาใหม่อีกกว่า 600 สาขา งบลงทุนประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจถ้าการเมืองนิ่ง ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ก็น่าจะโต 4-5% แต่ถ้าการเมืองไม่นิ่งก็คงต้องรอดูต่อไป

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมบวกต่อ CPALL มากขึ้น โดยคาดว่าผลประโยชน์จากการรวมธุรกิจกับ MAKRO (บมจ.สยามแม็คโคร) จะชัดเจนขึ้นในปี 2557 ความเสี่ยงทางการเงินลดลงหลังเสร็จสิ้นการรีไฟแนนซ์ (Refinance) อีกทั้งความเสี่ยงจำกัดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความวุ่นวายทางการเมือง เชื่อว่าทั้ง CPALL และ MAKRO เติบโตอย่างมีเสถียรภาพจากการเป็นผู้นำในตลาดที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง และศักยภาพเติบโตในระยะยาวจากการขยายสาขาต่อเนื่อง จึงแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายปรับเพิ่มจาก 48 บาท เป็น 52 บาท

สำหรับ CPALL ขยายสาขาในอัตราเร่งมากขึ้น โดยเพิ่มเป้าหมายการเปิดสาขาปี 2557 เป็น 600 สาขา จากเดิมที่เปิด 500-550 สาขาต่อปี เพื่อรักษาอัตราการเติบโตให้ทันกับฐานรายได้ที่ใหญ่ขึ้น และแข่งขันกับคู่แข่ง ซึ่งมีการเร่งขยายสาขามากขึ้น โดย CPALL ยังวางเป้าหมายอัตราการเติบโตของสาขาเดิม (SSSG) 5% ซึ่งเชื่อว่าบริษัทสามารถทำได้

เนื่องจากแบรนด์ที่โดดเด่น มีสาขาครอบคลุมพื้นที่ขายหลักๆ และโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายที่ประสบความสำเร็จ ประกอบกับเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าแช่แข็ง (Frozen food) และสินค้าแช่เย็น (Chilled food) ช่วยเพิ่มอัตรากำไร และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ส่วน MAKRO จะเปิดสาขาเชิงรุกมากขึ้น คาดว่าไม่ต่ำกว่า 5 สาขาในปี 2557

posted from Bloggeroid

เกียรติก้อง ว่องไวยากร คอลัมน์ วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2556

เกียรติก้อง ว่องไวยากร


คอลัมน์ วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2556

หนังสือพิมพ์ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ ฉบับประจำวันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556วอลุ่ม ตลาดหุ้นหายสัญญาณดีหลังจากที่ต่างชาติเทขายมาตลอดช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ที่ว่าเป็นสัญญาณดีก็เพราะแรงเทขายเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง สังเกตจากวอลุ่มซื้อขายช่วงหลังๆ แค่ 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน แรงขายเริ่มสะเด็ดน้ำ ดังนั้นต่อไปก็เป็นทีของฝ่ายซื้อที่รอจังหวะเด้งกลับ การเมืองเริ่มชัดเจน ซื้อตอนนี้มีแต่ปลอดภัยไม่เหมือนกับตอนที่วอลุ่มหนาๆ น่ากลัวกว่า ถือยาวหน่อยกำไรแน่ๆ ส่วนการประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ ยังคงต้องลุ้นว่าจะมีการปรับลดวงเงินในการซื้อคืนพันธบัตร หรือ QE ลงหรือไม่ แต่ก็มีเกจิหลายคนฟันธงกันไว้ว่าครั้งนี้ยังจะไม่ลด คงต้องรอครั้งหน้าที่ผู้ว่าการเฟดฯคนใหม่จะเข้าประชุมด้วย แต่ถ้าลดก็หมดปัญหาไม่ต้องมากังวลอีก แต่อาจกระทบบ้างในช่วงแรกๆ ซึ่งต่างชาติเองก็ขายไปล่วงหน้าหมดแล้วในตลาดหุ้นบ้านเรา คงเหลือแต่เพื่อนบ้านเท่านั้น ดังนั้นในส่วนของตลาดหุ้นไทยคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว แรงขายต่างชาติที่ผ่านมากว่า 1.8 แสนล้านบาทแล้วมากกว่าตอนวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐฯเสียอีก จนถึงขณะนี้เชื่อว่าคงเหลือหุ้นในมืออีกไม่มาก บวกกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าคาดว่าต้นปีนักลงทุนจะหวนเข้ามาเก็บ หุ้นคืนแน่นอนการเมืองยังคงเดินหน้าเลือกตั้งในเดือนก.พ.ปีหน้าต่อไป แม้ว่าพี่เทพจะออกมาขวางสุดตัว แต่คงฝืนกระแสได้อีกไม่นาน ประชาธิปัตย์เองก็ยังแทงกั๊ก รอช่วงชิงจังหวะทางการเมือง แต่เพื่อไทยเขาคงไม่รอแล้ว นายกฯปูเดินหน้าลงพื้นที่แถวภาคเหนือ อีสานเรียกคะแนนแล้วครับท่าน ขืนยังช้าอีกคงไม่ทันอีกเหมือนเดิมหุ้นน้องใหม่ GCAP เล่นเจ็บช่วงเช้าตอนเข้าเทรดใหม่ขึ้นไปกว่า 55% แต่พอตกบ่ายเทขายกระหน่ำ เหลือแค่บวก 10% แบบนี้เขาเรียกว่าลากขึ้นไปเชือดน่ากลัวจริงๆ สำหรับพวกเล่นสั้นๆ จะเอาค่าข้าว แต่ต้องมาเสียค่าหูฉลามให้เจ้ามือไป* ทหารไทยกลับมาแล้ว หลังจากที่ถูกเทขายหนัก ทั้งวอลุ่มและราคามาหมด ใครที่ขายไปก่อนหน้านี้คงต้องออกอาการเสียดาย หุ้นดีตัวนี้แม้ไม่มีข่าวดีลขายหุ้นก็สามารถขึ้นเองได้ ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและยังเป็นหุ้นที่กองทุนมีติดพอร์ตเกือบทุกแห่ง ใครที่เล่นยาวซื้อถือได้ เพราะราคาตอนนี้ถือว่าลดกระหน่ำมากแล้ว จะไปรอให้ต่ำกว่านี้คงต้องมีปฏิวัติหรือรัฐประหารโน่นบีแลนด์ราคาน่าสนใจ แถวๆ 1.6 บาทถือว่ามีส่วนลดให้มากแล้ว จะทยอยเก็บหรือซื้อไม้เดียวเลยก็ได้ หากทุกอย่างลงตัว งบไตรมาสสุดท้ายออกมาเมื่อไหร่ ไม่ได้เห็นราคานี้อีกแล้ว เพราะถ้าเทียบกับราคามูลค่าทางบัญชีก็ยังถูกกว่าตั้งเยอะเลย*เทศกาลปีใหม่ปีนี้ คงจะฉลองกันให้สุดเหวี่ยงหลังจากเจอกับปัญหาการเมืองมามาก แต่ล่าสุดกสิกรไทยสำรองเงินสดสำหรับให้บริการในสาขาและเครื่องเอทีเอ็ม เพื่อรองรับการใช้จ่ายในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2556-1 มกราคม 2557 ไว้แล้วกว่า 46,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ราว 6 พันล้านบาท ธนาคารกรุงไทย แจ้งสำรองเงินสดระหว่างวันที่ 26 ธ.ค. 56 - 2 ม.ค. 57 รวม 71,330 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.84% จากปีที่ผ่านมา และธนาคารกรุงเทพ แจ้งสำรองเงินสดระหว่างวันที่ 28 ธ.ค. 56-1 ม.ค. 57 เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าเพิ่มเติมจากภาวะปกติ โดยรวมทั้งสิ้นประมาณ 50,000 ล้านบาท ผ่านช่องทางบริการเอทีเอ็มที่มีกว่า 8,300 จุดทั่วประเทศ ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่มองว่าคนจะมาจับจ่ายใช้สอยคลายเครียดกันเพิ่มขึ้น**

posted from Bloggeroid

QHยันรายได้ปีนี้ พุ่ง1.8หมื่นล้าน

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: QHยันรายได้ปีนี้
พุ่ง1.8หมื่นล้าน
ยอดขายไหลลื่น
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2556


"คิวเฮ้าส์" ส่งซิกยอดขายปีนี้ทะลุเป้า 2 หมื่นล้านบาท รายได้ตามนัด 1.8 หมื่นล้านบาท หลังตุนแบ็กล็อกรอโอนกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ส่วนปีหน้าเล็งเปิดอีก 21 โครงการ พร้อมตั้งงบซื้อที่ดินกว่า 3,000 ล้านบาท


นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เปิดเผยว่า ปัญหาสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว 2 หมื่นล้านบาท ส่วนรายได้มั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 1.8 หมื่นล้านบาทได้ เนื่องจากมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ที่จะทยอยโอนในปีนี้ และปีหน้า ขณะเดียวกันการเปิดโครงการใหม่ได้ครบตามแผนทั้ง 21 โครงการ มูลค่ารวม 2.13 หมื่นล้านบาท

“การเมืองไม่กระทบเราเลยเพราะเรามี Backlog อยู่มากที่จะรับรู้ในปีนี้ และปีหน้า ขณะที่ยอดขายและรายได้ก็มั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้า โดยเฉพาะยอดขายตอนนี้ถึงเป้า 2 หมื่นล้านบาทเรียบร้อยแล้ว” นางสุวรรณา กล่าว

ส่วนปีหน้าบริษัทเตรียมที่จะเปิดโครงการใหม่อย่างน้อย 21 โครงการ จากที่ดินที่มีอยู่ 21 แปลง โดยแบ่งเป็นกรุงเทพฯและปริมณฑล 13 แปลง และต่างจังหวัด 8 แปลง รวมถึงในปีหน้าบริษัทคาดว่าจะมีงบซื้อที่ดินมากกว่า 3,000 ล้านบาท

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มไตรมาส 4/56 ยังน่าจะสร้างยอดโอนได้อีก 4.4 พันล้านบาท เพื่อบรรลุเป้าโอน 1.8 หมื่นล้านบาทในปีนี้ โดยยอดโอน 9 เดือน ทำได้แล้ว 1.38 หมื่นล้านบาท อีกทั้ง Backlog รอโอนอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจากยอดจองโครงการบ้าน ซึ่งในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาสามารถทำได้เฉลี่ย 3 พันล้านบาทต่อไตรมาส ทำให้เป้าโอนปีนี้คงทำได้แน่ ยอดโอนปีนี้คงเติบโตดีมาก 52% จากปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Margin) ดีขึ้นจากปีก่อนแม้งบปีก่อนมีรายการพิเศษขายอาคารให้กองทุนฯ 773 ล้านบาท แต่ยอดโอนบ้านและคอนโดฯปีนี้ที่ดีมากๆ ข้างต้นเป็นแรงผลักดันสำคัญให้กำไรปีนี้เติบโต 36%

ด้านบล.กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า QH แสดงยอด Presales ในรอบ 11 เดือน เท่ากับ 1.97 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 98% ของเป้าหมายทั้งปี 2556 ที่ 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน ถือว่าเป็นรายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จสูงในด้านการขายนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน แม้ว่า Presales ของบริษัทชะลอตัวลงเล็กน้อยในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย. 56 แต่ถือว่าสอดคล้องกับการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 4/56 ที่ลดลงตามแผนงานของบริษัทภายหลังที่ได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้วในไตรมาส 1/56 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยต่อเนื่องตามแผนงานในไตรมาส 4/56

อย่างไรก็ตาม คงประมาณการผลประกอบการปี 2556 ซึ่งเป็นอัตราเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มรายใหญ่ และคาดว่าไม่ได้รับผลกระทบทางการเมือง ซึ่งปัจจุบันการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยให้แก่ลูกค้ายังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นไปตามแผนงานของบริษัท อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มผลประกอบการปี 2557 ที่จะเติบโตในอัตรา 6% จากปีก่อน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 16% จากปีก่อน และฐาน Backlog ที่รองรับรู้รายได้ในปี 2557 ต่ำกว่า 20% ของประมาณการรายได้ทั้งปีเป็นจุดด้อยของบริษัท ดังนั้นคงคำแนะนำ “เก็งกำไร” และประเมินมูลค่าพื้นฐานหุ้น QH เท่ากับ 3.90 บาท

posted from Bloggeroid

เศรษฐกิจโลกโตหนุนหุ้นเอเชีย

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: เศรษฐกิจโลกโตหนุนหุ้นเอเชีย

ต่างประเทศ วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2556

ซีเอ็นบีซี - มุมมองในด้านบวกเกี่ยวกับการเติบโตของทั่วโลก ทำให้หุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นเมื่อวานนี้ โดยข้อมูลที่แข็งแกร่งจากสหรัฐฯและยูโรโซนมีผลต่ออารมณ์ในตลาดมากกว่าความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ



ดัชนีผู้จัดการจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ของยูโรโซนของมาร์คิตดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีคะแนน 52.1 ในเดือนพฤศจิกายน ในขณะที่การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 1.1% ในเดือนพฤศจิกายน พุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบหนึ่งปี

เคลลี่ ทีโอห์ นักกลยุทธ์ตลาดของบริษัทไอจี กล่าวว่า เป้าหมายการเติบโตทั่วโลกของบริษัทวิจัยหลายๆ แห่งซึ่งรวมถึงไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่า สหรัฐฯจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ และยุโรปจะพ้นจากภาวะถดถอย โดยมีการคาดการณ์การเติบโตทั่วโลกเฉลี่ยไว้ระหว่าง 3.4-3.6% ในปีหน้า จาก 2.9% ในปีนี้

หุ้นญี่ปุ่นฟื้นตัวหลังจากที่ปิดต่ำสุดในรอบเกือบหนึ่งเดือนในวันก่อนหน้าเนื่องจากดอลลาร์-เยนไต่กลับไปอยู่เหนือระดับ 103 เยน ดัชนีนิกเกอิ ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 0.8% ในบรรดาหุ้นที่มีการซื้อขายคึกคักมากที่สุดคือ ฟาสต์ รีเทลลิ่ง แฟนัค และซอฟต์แบงก์ ดีดตัวรายละ 1% ในขณะเดียวกันหุ้นยุทโธปกรณ์ก็ปรับตัวขึ้นหลังจากที่ญี่ปุ่นกล่าวว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการทหารเพื่อยับยั้งการสำแดงอำนาจมากขึ้นของจีน นโยบายใหม่นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่มีมากขึ้นที่รัฐบาลปักกิ่งกำหนดเขตป้องกันทางอากาศใหม่ในทะเลจีนตะวันออก

ตลาดเซี่ยงไฮ้ ปรับตัวลง 0.4% ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ปิดต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือนอีกครั้งเป็นวันที่สองติดต่อกัน ทำให้ดัชนีมีผลงานแย่กว่าตลาดอื่นๆ ที่เหลือในภูมิภาค ในขณะเดียวกันบริษัทผู้ผลิตเหล็กปรับตัวลงเพราะมีความวิตกว่าจะมีบริษัทปิดตัวมากขึ้นเนื่องจากรัฐบาลปักกิ่งพยายามที่จะจัดการกับขีดความสามารถที่มีมากเกินไป นอกจากนี้ความวิตกว่าสภาพคล่องจะตึงตัวก็ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ในตลาดจีน หลังจากที่คณะกรรมการคุมระเบียบธนาคารจีนเรียกร้องให้ธนาคารบริหารสภาพคล่องสำหรับปีหน้า

ตลาดซิดนีย์ ดีดตัวขึ้น 0.3% ดัชนี S&P ASX 200 ดีดตัวลดลงหลังจากที่รัฐมนตรีคลังออสเตรเลียกล่าวว่า การขาดดุลงบประมาณอาจเพิ่มเป็น 47,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในปีงบประมาณที่จะสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2557 สูงกว่าที่ประมาณการไว้เมื่อเดือนสิงหาคม 30,100 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นออสเตรเลียสามารถหยุดการปรับตัวลงติดต่อกันแปดวันได้และปิดเหนือ 5,104 จุด ซึ่งเป็นอัตราเฉลี่ยของการเคลื่อนไหวในรอบ 200 วันได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 วัน

หุ้นธนาคารได้ช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นออสเตรเลีย ในขณะเดียวกัน หุ้นเหมืองแร่ก็ดีดตัวขึ้นเพราะราคาทองแดงสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน รายงานการประชุมจากที่ประชุมนโยบายในเดือนธันวาคมของธนาคารกลางออสเตรเลียชี้ว่า ธนาคารกลางออสเตรเลียยังคงเอนเอียงไปในทางผ่อนคลายนโยบาย และย้ำว่า ดอลลาร์ออสเตรเลียยังคงแข็งค่าอย่างไม่น่าสบายใจนัก แม้ว่ามีการซื้อขายใกล้ระดับอ่อนสุดในรอบสามเดือนครึ่งโดยอยู่ที่ประมาณ 0.89 ดอลลาร์สหรัฐ

ดัชนีคอสปิ เกาหลีใต้ ปรับตัวขึ้น 0.2% หุ้นเกาหลีใต้ฟื้นตัวหลังจากที่ปิดในระดับต่ำสุดในรอบกว่าสามเดือนเมื่อวันจันทร์แม้ว่าข้อมูลชี้ว่า ราคาผู้ผลิตลดลงในอัตราต่ำสุดในรอบหนึ่งปีในเดือนพฤศจิกายน โดยหุ้นโทรคมนาคมของเกาหลี ดีดตัวแรงสุด

ตลาดเกิดใหม่ก็ปรับตัวขึ้น โดยตลาดหุ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย ดัชนีหุ้นฟิลิปปินส์ปิดสูงขึ้น 2% ขณะที่ดัชนีจาการ์ตา คอมโพสิตของอินโดนีเซียปรับตัวขึ้น 1.37% แต่หุ้นอินเดียปิดลบ 0.23%

หุ้นยุโรปก็ปรับตัวขึ้นในตอนแรกเพราะข้อมูลเศรษฐกิจสร้างความหวัง แต่ในเวลาต่อมาได้ปรับตัวลงเพราะนักลงทุนรอผลการประชุมนโยบายครั้งสุดท้ายของปีนี้ของธนาคารกลางสหรัฐฯ

ดัชนี Euro Stoxx 600 Index ปรับตัวลงเพราะการดีดตัวของซานตาไม่สามารถเป็นจริงได้หลังจากที่ดีดตัวขึ้นในช่วงสั้นๆ เมื่อวันจันทร์ เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายน้อย และในขณะนี้ ดัชนีมาตรฐานทั่วยุโรปปรับตัวลงประมาณ 3.5% สำหรับเดือนนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรายเดือนที่มากที่สุดเป็นครั้งที่สองของปีนี้

posted from Bloggeroid

มอร์แกนฯชี้ช่องหุ้นดีด 2แนวทางดัชนีพลิกฟื้น เลือกตั้งได้ลุ้นเด้งกลับ 42% พร้อมเปิดโผ 24 หุ้นอัพไซด์เกิน 30%

มอร์แกนฯชี้ช่องหุ้นดีด
2แนวทางดัชนีพลิกฟื้น
เลือกตั้งได้ลุ้นเด้งกลับ 42% พร้อมเปิดโผ 24 หุ้นอัพไซด์เกิน 30%
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2556

Morgan Stanley (MS) ประเมินการเมืองชี้ชะตาหุ้นไทย เปิด 3 แนวทางที่เป็นไปได้ กรณีที่ดีสุด ถ้ามีเลือกตั้งได้รัฐบาลที่ดี หุ้นมีอัพไซด์ 42% หากการชุมนุมคลี่คลาย “ม็อบสุเทพ” กลับบ้านหุ้นจะวิ่งไปที่ 1,450 จุด แต่หากไม่มีทั้งสองอย่างแย่สุด หุ้นไทยมี Downside 25% จับตาสัญญาณ 3 หุ้นแบงก์ใหญ่ย้อนหลัง 5 วัน KBANK-SCB-BBL นิ่งยืนแข็งสวนดัชนี เปิดโผ 24 หุ้นอัพไซด์เกิน 30%




นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า บทวิเคราะห์ของ Morgan Stanley คาดว่า กรณีที่ดีที่สุด ถ้าการเมืองไทยสงบ ได้รัฐบาลที่ดี มีเสถียรภาพ หุ้นไทยจะมีอัพไซด์ 42% กรณี Base case หากสถานการณ์การชุมนุมคลี่คลายหุ้นไทยจะกลับไปที่ 1,450 จุดบวกลบ ทั้งนี้ดัชนีสูงสุดเดือนตุลาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,485 จุด แต่กรณีที่แย่สุด คาดว่าจะมี Downside หุ้นไทยประมาณ 25%

ทั้งนี้หากดูจากสัญญาณการลงทุนตอนนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ราคาหุ้นเริ่มที่จะมีเสถียรภาพ ยืนได้ย้อนหลัง 5 วันทำการ อาทิ หุ้นธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ที่สามารถยืนได้ไม่ปรับตัวลดลง และมีปรับตัวเพิ่มขึ้นในบางวัน เช่นเดียวกับหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กับหุ้นธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ก็สามารถที่จะยืนระยะได้แข็งแกร่งกว่าดัชนีตลาดหุ้นในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์ยังกล่าวอีกว่า จากข้อมูลจาก Bloomberg พบว่า หุ้นที่มีอัพไซด์มากกว่า 30% มีดังนี้ หุ้นธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เป้าหมาย 222.7 บาท (32.56 %), หุ้นธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP เป้าหมาย 53.93 บาท (34.82%), หุ้นธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เป้าหมาย 25.06 บาท (40.76%)

หุ้น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC เป้าหมาย 26.86 บาท (63.76%), หุ้น บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เป้าหมาย 43.16 บาท (43.88%), หุ้น บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เป้าหมาย 41.15 บาท (32.73%)

หุ้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เป้าหมาย 373.39 บาท (30.1%), หุ้นบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC เป้าหมาย 519.61 บาท (31.55%), หุ้นบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR เป้าหมาย 24.5บาท (37.63%), หุ้นบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT เป้าหมาย 37.61 บาท (31.98 %), หุ้น บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เป้าหมาย 22.07 บาท (56.5%)

หุ้น บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP เป้าหมาย 6.52 บาท (35.89%), หุ้นบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เป้าหมาย 61.9 บาท (56.71%), หุ้น บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือ HEMRAJ เป้าหมาย 4.41 บาท (46.08%), หุ้นบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH เป้าหมาย 13.47 บาท (49.62%)

หุ้น บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เป้าหมาย 23.97 บาท (39.35%), หุ้นบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS เป้าหมาย 27.48 บาท (41.64%), หุ้น บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เป้าหมาย 4.05 บาท (50.97%)

หุ้นบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เป้าหมาย 2.41 บาท (34.03%), หุ้น บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เป้าหมาย 22.83 บาท (50.17%), หุ้นบริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL เป้าหมาย 21.66 บาท (31.27%), หุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เป้าหมาย 288.23 บาท (41.29%), หุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เป้าหมาย 105.82 บาท (45.96%) และหุ้นบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV เป้าหมาย 5.78 บาท (36.88%)

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนส่วนบุคคล บล.ทิสโก้ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มของดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (18 ธ.ค.) คาดว่าจะแกว่งตัวเพื่อรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ส่วนปัจจัยการเมืองภายในประเทศ สถานการณ์ก็ดีขึ้นมากจากที่หลายฝ่ายเจรจาหาทางออกให้กับประเทศ แต่ช่วงปลายสัปดาห์หน้าทาง กปปส.จะมีการชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอยู่เช่นเคย

นอกจากนี้นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ทางฝ่ายวิเคราะห์มองว่าจะมีเงินหมุนเวียนประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อวัน และสำหรับนักลงทุนที่ยังคงซื้อ-ขายหุ้นอยู่ก็ให้มองหุ้นที่ให้ปันผลดีและราคาก่อนหน้านี้ปรับตัวลงแรง ด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้รอซื้อที่แนวรับ ทั้งนี้ประเมินแนวรับที่ 1,330 จุด และแนวต้านที่ 1,350 จุด

posted from Bloggeroid

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

นิวส์เวฟ คอลัมน์ วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2556

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: นิวส์เวฟ

คอลัมน์ วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 10 คน
นิวส์เวฟ : หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ ฉบับประจำวันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2556 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายอยู่ที่ 1,328.40 จุด ปรับลดลง 12.73จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.3 หมื่นล้านบาท

.............................................................

หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ ฉบับประจำวันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2556 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายอยู่ที่ 1,328.40 จุด ปรับลดลง 12.73จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.3 หมื่นล้านบาท * ตลาดหุ้นไทยยังคงซื้อขายกันอย่างเบาบางต่อไป โดยปิดตลาดภาคเช้าพี่ SET มีมูลค่าการซื้อขายเพียง 1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ส่วนภาคบ่ายได้เข้ามาสมทบอีก 1.3 หมื่นล้านบาท เบ็ดเสร็จทั้งวันมีมูลค่าซื้อขาย 2.3 หมื่นล้านบาท * เมื่อวานนักลงทุนต่างชาติได้เทขายสุทธิไปทั้งสิ้น 2,443 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ที่ร่วมขาย 474 ล้านบาท ขณะที่ขาซื้อสุทธินำทีมด้วยรายย่อยซึ่งจัดเก็บไป 1,767 ล้านบาท และสถาบันโดดเข้าซื้อจำนวน 1,150 ล้านบาท * สามหุ้นใหญ่ PTT-ADVANC-INTUCH พากันดิ่งลบกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะ PTT ปิดลบติดต่อกันไปแล้วถึง 4 วันทำการ จนราคาหุ้นล่าสุดเหลือเพียงแค่ 287 บาทเท่านั้น * ขณะที่ ADVANC-INTUCH สภาพแทบไม่ได้แตกต่างกับ PTT เพราะดิ่งถอยลงมาลึกต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งโอกาสที่ราคาหุ้นทั้งสามบริษัทจะปรับตัวลงอีกยังมีอยู่มาก เพราะแรงเทขายหุ้นยังไม่สะเด็ดน้ำ (สักที) ดังนั้น หากใครที่เล็งจะเข้าไปเก็บ ก็ขอให้อดใจรอกันอีกนิดดีกว่า * หุ้น NYT ร้อนแรงได้ไม่มีหยุด เมื่อวานซัดทำราคาสูงสุดตั้งแต่เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึง 17.10 บาท จากนั้นราคาหุ้นจึงเริ่มอ่อนตัวลงพร้อมกับปิดบวกที่ระดับ 16.70 บาท เท่ากับปรับเพิ่มขึ้นไปกว่า 10%* หลังจากช่วงที่ผ่านมาทางก.ล.ต.ได้รายงานข้อมูลการเข้ามาเก็บหุ้น NYT ของ "JP MORGAN" มากถึง 8% (เมื่อสัปดาห์ก่อน) ตั้งแต่นั้นมาราคาหุ้น “นามยง เทอร์มินัล” ก็วิ่งบวกติดจรวดแบบชนิดผิดหูผิดตา ฉะนั้น ขาเทรดดิ้งทั้งหลายที่เข้าไปเล่นอยู่ ก็ควรต้องใช้ความระมัดระวังกันด้วย เพราะท่าทางราคาหุ้นกำลังขยับเข้าใกล้จุดขายทำกำไรรอบใหญ่กันแล้ว * หุ้น PTTGC วิ่งบวกรับข่าวดี หลังจากทางบริษัทได้ประกาศลงนามสัญญาร่วมทุนเพื่อการทำตลาดและการค้ากับเปอร์ตามิน่าไปอีกรอบ เพื่อเร่งเดินหน้าโครงการสร้างปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งได้กำหนดกรอบมูลค่าลงทุนไว้สูงท่วมท้นประมาณ 4,000-5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ * หุ้น JAS ถอยลงมาหนักเกินไปหน่อยแล้ว ล่าสุดหุ้นปิดลบเหลือแค่ 7.15 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งแม้ช่วงนี้หุ้น JAS จะดูว่ามีปัจจัยกดดันเข้ามาป่วนอยู่บ้าง จนทำให้หลายคนลืมปัจจัยพื้นฐานอย่างงบปี 56 ที่วงการเงินต่างประเมินกันแล้วว่ามีโอกาสทำกำไรสุทธิสูงถึงระดับ 3,000 ล้านบาท * อีกทั้ง โบรกฯหลายสำนักก็ยังคงกำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน พร้อมกับวางราคาเป้าหมายไว้เฉลี่ย 10-11 บาท เรียกได้ว่ามีอัพไซด์หุ้นกันเกินกว่า 30% จึงไม่อยากให้นักลงทุนมองข้ามประเด็นเหล่านี้กันไป * ด้าน “เมฆินทร์ เพ็ชรพลาย” ผู้อำนวยการใหญ่จากค่าย AOT ได้เปิดตัวพบเจอกับนักข่าวเป็นครั้งแรก โดยการประกาศวิสัยทัศน์การทำงานที่ต้องรีบขยายขีดความสามารถท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ให้ทันกับการเติบโตของผู้โดยสารในช่วงอนาคต * ขณะที่ประธานบอร์ด AOT ยังได้กล่าวกันออกมาอีกว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 57 (ต.ค. 56-ก.ย. 57) ทางบริษัทจะมีกำไรสุทธิมากถึงระดับ 11,000 ล้านบาท เอ้า งานนี้ยังต้องตามดูกันต่อไป เพราะการทำกำไรทั้งปีสูงระดับหมื่นล้านบาท ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายฝีมือผู้บริหารคนใหม่ไม่เบาเลยทีเดียว *

posted from Bloggeroid

ถ้าประชาธิปัตย์บอยคอตอีก คอลัมน์ วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2556

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ถ้าประชาธิปัตย์บอยคอตอีก

คอลัมน์ วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 13 คน
ดูท่าทีการพลิกเกมของผู้นำเหล่าทัพจากการพบปะผู้นำ กปปส.ตามลำพัง มาเป็นพบกันในเวทีสาธารณะแทนแล้ว ก็ชัดเจนยิ่งว่า ทหารคงไม่ออกมากดดันรัฐบาล และไม่ออกมาทำการปฏิวัติรัฐประหาร

ท่าทีจากประชาคมโลกต่อการเมืองในประเทศไทยตอนนี้ ก็เปลี่ยนไปมากจากการรัฐประหารปี 49 ครั้งก่อน หรือตอนเหตุการณ์พันธมิตรฯชุมนุมยืดเยื้อโค่นล้มรัฐบาลสมัคร-สมชาย

เป็นท่าทีที่เป็นห่วงเป็นใยอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดปลอดภัยของระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย และสนับสนุนให้ทุกฝ่ายเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ เพื่อยุติความขัดแย้งโดยสันติวิธี

45 ประเทศแล้วนะครับ ที่รัฐบาลชาติต่างๆ ออกแถลงการณ์แสดงท่าทีดังกล่าว ซึ่งก็รวมทั้ง 5 ชาติมหาอำนาจของโลกอันได้แก่ สหรัฐ รัสเซีย จีน อังกฤษ และฝรั่งเศสด้วย

ใครคิดจะทำปฏิวัติรัฐประหารอีก คงไม่ “หมู” เหมือนเก่าอีก ซึ่งก็คงจะรวมหมายไปถึงขบวนการล้มรัฐบาลในรูปแบบอื่นอันไม่เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตยด้วย

สำหรับการเลือกตั้ง 2 ก.พ.ศกหน้าที่ยังเป็นลูกผีลูกคนอยู่ ก็ยังไม่มีความแน่ใจกันนักว่า พรรคประชาธิปัตย์จะทำการบอยคอตการเลือกตั้งเหมือนในปี 2549 อีกหรือเปล่า

มีความเป็นไปได้อยู่มากว่า พรรคประชาธิปัตย์อาจจะตัดสินใจไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง เพื่อเป็นการหนุนช่วยนายสุเทพ และไม่เป็นการตัดหางปล่อยวัดนายสุเทพ

แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า การบอยคอตครั้งนั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมดก็ร่วมบอยคอตด้วย จึงก่อให้เกิดวิกฤตที่ยุ่งที่สุดในโลก เพราะไม่มี ส.ส.ครบในสภาที่จะทำการเปิดประชุมสภาครั้งแรกเพื่อเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีได้

แต่มาคราวนี้ พรรคชาติไทย พรรคพลังชล และพรรคภูมิใจไทย ก็ประกาศตัวแล้วว่า พร้อมจะไปเลือกตั้ง หากประชาธิปัตย์ไม่ส่งผู้สมัคร พรรคเหล่านี้ก็พร้อมจะส่งคนไปลงสมัครอยู่แล้ว

นี่ยังไม่นับรวมพรรคเล็กพรรคน้อยต่างๆ อาทิ พรรคของร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ หรือพรรคมาตุภูมิของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อีก

โอกาสจะมาถึงก็คราวนี้แหละ ที่จะได้เป็นพรรคที่มีจำนวน ส.ส.มากขึ้น จากการไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์

โอกาสทองยังเป็นของผู้อยากจะลงเล่นการเมือง แต่ยังรีรอหาจังหวะที่เหมาะสมในการ ”แจ้งเกิด” อยู่อีกเช่นคนอย่างดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หรือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล

พรรคทางเลือกที่สามที่ไม่เอาทั้งขั้วทักษิณและขั้วประชาธิปัตย์ ย่อมจะแจ้งเกิดได้แน่ หากประชาธิปัตย์สละเรือไม่ลงเลือกตั้ง

อย่างน้อยที่นั่ง ส.ส.กทม. 23 ที่นั่งของประชาธิปัตย์ ย่อมจะเทมาให้แน่ และที่นั่ง ส.ส.เก่าของพรรคเพื่อไทย 10 ที่นั่ง ก็อาจจะถ่ายเทมาให้พรรคทางเลือกใหม่ไม่น้อย เพราะคนเบื่อแล้วกับความขัดแย้งของพรรคการเมือง 2 ขั้วนี้ อันทำให้ประเทศชาติเสียหายยับเยิน

โอกาสของพรรคทางเลือกใหม่มาถึงอย่างเป็นจริงแล้วครับ หากพรรคประชาธิปัตย์คิดสละเรือ

posted from Bloggeroid

มนุษย์เงินเดือนได้เฮ ภาษีลดฮวบกว่า50%

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: มนุษย์เงินเดือนได้เฮ
ภาษีลดฮวบกว่า50%
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 96 คน
สรรพากรประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทันปีภาษี 2556 ส่งผลผู้มีรายได้น้อย เสียภาษีลดลงกว่า 50% ถ้าไม่เกิน 2 หมื่นต่อเดือนไม่เสียภาษี ขณะที่ 11 กลุ่มธุรกิจส้มหล่น กำลังซื้อเพิ่มหลังรัฐลดภาษีให้มนุษย์เงินเดือน



นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวยืนยันว่า พระราชกฤษฎีกาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะมีผลบังคับใช้ได้ทันสำหรับปีภาษี 2556 นี้ เพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้สามารถยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในระหว่างเดือนม.ค.-มี.ค. 57 ซึ่งคาดว่าพระราชกฤษฎีกาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะสามารถประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาได้ในสัปดาห์หน้า

ทั้งนี้อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่นี้ คำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา มาเป็น 7 ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุด 37% เหลือ 35% ทำให้ผู้มีเงินได้เสียภาษีลดลง 5-50% โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีรายได้น้อย มีภาระภาษีลดลงถึง 50% ขณะที่ผู้มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาท/เดือน จะไม่ต้องเสียภาษี

โดยหลังจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาฯ ทำให้กฎหมายภาษีของกรมสรรพากรต้องตกไปกว่า 10 ฉบับ เช่น ภาษีเงินได้ของคณะบุคคล ภาษีปรับโครงสร้างหนี้ เมื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารจึงค่อยเสนอเข้ามาอีกครั้ง

สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้สุทธิ 0-150,000 บาทต่อปี ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ กลุ่มเงินได้สุทธิ 150,001 - 300,000 บาทต่อปี อัตราภาษีเฉลี่ยลดลงมากที่สุดถึง 50.53% รองลงมาตามลำดับ คือ กลุ่มเงินได้สุทธิ 300,001-500,000 บาทต่อปี ลดลง 31.91%, กลุ่มเงินได้สุทธิ 500,001-750,000 บาทต่อปี ลดลง 22.74%, กลุ่มเงินได้สุทธิ 750,001-1,000,000 บาทต่อปีลดลง 18.71%, กลุ่มเงินได้สุทธิ 1,000,001-2,000,000 บาทต่อปี ลดลง 15.61%, กลุ่มเงินได้สุทธิ 2,000,001-4,000,000 บาทต่อปี ลดลง 10.72% และกลุ่มเงินได้สุทธิ 4,000,001 บาทต่อปีขึ้นไป ลดลง 5.98% หากรวมเงินได้สุทธิทั้งหมด คิดเป็นอัตราภาษีเฉลี่ยที่ลดลง 15.89%

ด้านภาระภาษีอัตราเดิมเทียบกับอัตราใหม่ กลุ่มเงินเดือน 15,000 บาท (180,000 บาทต่อปี) ยกเว้นภาษีเงินได้ กลุ่มเงินเดือน 30,000 บาท (360,000 บาทต่อปี) มีภาระภาษีใหม่อยู่ที่ 9,060 บาท ลดลง 7,500 บาท จากภาระภาษีเดิม 16,560 บาท หรือลดลง 45.29%,กลุ่มเงินเดือน 100,000 บาท (1,200,000 บาทต่อปี) มีภาระภาษีใหม่อยู่ที่ 145,000 บาท ลดลง 26,100 บาท จากภาระภาษีเดิม 171,600 บาทหรือลดลง 15.21%, ขณะที่กลุ่มเงินเดือน 500,000 บาท (6,000,000 บาทต่อปี) มีภาระภาษีใหม่อยู่ที่ 1,633,500 บาทหรือลดลง 108,200 บาท จากภาระภาษีเดิม 1,741,700 บาท หรือลดลง 6.21%

ทั้งนี้กรมสรรพากรได้ประเมินว่า 11 กิจการ จะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก 2.ธุรกิจบริการเช่าซื้อรถยนต์ 3.กลุ่มธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง 4.กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม 5.ธุรกิจกลุ่มระบบโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว 6.กลุ่มสุรา เหล้า เบียร์ เครื่องดื่มสุขภาพ เครื่องดื่มชูกำลัง 7.กลุ่มสถาบันการเงิน ธนาคารและประกันภัย 8.กลุ่มเครื่องใช้สำนักงานและเครื่องครัว 9.กลุ่มธุรกิจน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซ 10.กลุ่มยานยนต์ชิ้นส่วน และ 11.กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

posted from Bloggeroid

:: THCOM-VGIเข้าSET50

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: THCOM-VGIเข้าSET50

ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2556
ผู้เข้าชม : 11 คน
THCOM-VGI มาตามนัดเข้าคำนวณ SET 50 หลังตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดรายชื่อหุ้นคำนวณดัชนีช่วง 6 เดือนแรกปี 2557 นำโดย SET50 มี 2 หุ้นดังกล่าว ส่วน SET100 มี 11 หุ้น ส่วน AMATA-ASP เข้าคำนวณ SETHD มีอัตราปันผลสูงถึง 4.18%


นางเกศรา มัญชุศรี รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่ตลาดหลักทรัพย์จะใช้ในการคำนวณดัชนี SET50, SET100 และ SETHD ระหว่างวันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน หรือช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ว่า มีหลักทรัพย์ใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกสำหรับดัชนี SET50 ในครั้งนี้ ได้แก่ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM และบริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ VGI

ทั้งนี้หลักทรัพย์ที่อยู่ในดัชนี SET50 มีมูลค่าตามราคาตลาดรวม 9,035,908 ล้านบาท คิดเป็น 75.16% ของมูลค่าตามราคาตลาดของตลาดหลักทรัพย์ โดยรวม 12,023,026 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2556

ส่วนดัชนี SET100 มีหลักทรัพย์ใหม่ 11 หลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART

บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ N-PARK บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO บริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TFD และ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON

สำหรับมูลค่าตามราคาตลาดรวมของหลักทรัพย์ดัชนี SET100 ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2556 นั้นอยู่ที่ระดับ 9,930,168 ล้านบาท คิดเป็น 82.59% ของมูลค่าตามราคาตลาดของหลักทรัพย์ทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์

ขณะที่ SETHD มีหลักทรัพย์ใหม่ 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA และบริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ทั้งนี้ หลักทรัพย์ที่อยู่ในดัชนี SETHD รอบนี้มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยอยู่ที่ 4.18 % สูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดหลักทรัพย์โดยรวมเฉลี่ย 2.90%

โดยตั้งแต่ต้นปี 2557 เป็นต้นไปนั้น หมวดธุรกิจของดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้นเป็น 28 หมวดธุรกิจ โดยหมวดธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้น คือ หมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง เป็นการเพิ่มหมวดธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างปัจจุบันประกอบด้วยหมวดธุรกิจ 3 หมวด คือ หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และหมวดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

posted from Bloggeroid

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Access to Basic Banking Is a Crisis for 40 Million Americans

business.time.com
Access to Basic Banking Is a Crisis for 40 Million Americans
by DAN KADLEC | DEC. 11, 2013

Justin Sullivan / Getty Images
With nagging questions about our ability to broadly raise the financial I.Q. of most people, the global financial education movement is pivoting to a large pocket where results are near certain and the impact may be greatest: the poor and unbanked.

Globally, half of adults totaling some 2.5 billion people do not have a formal bank account. This shuts them off from credit and savings opportunities that you may take for granted; it hinders their rise to a better life and squanders the potential to convert hundreds of millions of people from economic drains into economic contributors.

The vast majority of these unbanked are in underdeveloped nations like Kenya, India, Pakistan, and Columbia. More than 50 nations recently set targets for improving access to financial products—and the Alliance for Financial Inclusion, funded by the Bill and Melinda Gates Foundation, now has around 90 member nations supporting a set of common financial inclusion principles known as the Maya Declaration.

This is not just a less-developed world problem. Some 40 million unbanked are in the U.S., and the number of Americans more broadly defined as financially underserved is around 100 million. Activists like John Hope Bryant have been arguing for decades that financial inclusion is in many ways a civil rights issue on par with the right to vote in 1962. It disproportionately affects minorities, women, youth, poor people, and rural dwellers. In some ways, this issue has been with us since Lincoln established the Freedman’s Savings Bank in 1865 to teach freed slaves about money and how free enterprise works. As Bryant writes:

“Today, particularly in inner city and underserved America, issues around money and the economy are mixed up and interrelated with emotions, self-esteem, identity, and even core issues of human dignity.”

For this group, financial education clearly works. It’s not hard to convince someone borrowing from a payday lender at annual rates of 200% or more to instead borrow from a bank at 12% or even a credit card at 24%. The real challenge is getting them to a credit firm in the first place. According to a World Bank report, most of the unbanked cite barriers such as documentation, cost, distance, and trust. Access to insurance, tax-deferred retirement savings and credit is fundamental to our life today; such banking products should be broadly available to individuals. Meanwhile, unbanked small businesses fail to reach their potential. As Mahmoud Mohieldin, special envoy to the World Bank Group, writes:

“The estimated financing gap globally for micro, small, and medium enterprises is more than $3.1 trillion. Approximately 70% of micro, small, and medium enterprises in the developing world do not use external financing. Another 15% are underfinanced, despite some form of access to formal financial services. Micro, small, and medium enterprises have the potential to expand their activities, take on new workers, and generate income. Alleviating their credit constraints will be part of the solution.”

Of course, not all of the financially underserved want or need traditional banking services and, in fact, when given access history shows many become over indebted. So some level of protection and financial education must accompany broad access. Recent research out of Brazil shows that financial education works.

The country has pilot programs teaching high school students financial concepts and calls for some lessons to be completed at home with parents. This is how officials there are reaching an adult population that is 40% unbanked and highly skeptical of a system that three decades ago froze bank assets to fight hyperinflation. The program has produced big improvements in financial knowledge and behavior, and is now being scaled up to 5,000 high schools. Brazil has come a long way. Today, its largest city, Sao Paulo, is among the most economically powerful in the world—and Brazil’s financial literacy programs get some of the credit.

powered by Readability
SIGN UP LOG IN

posted from Bloggeroid

Good Morning News 12 ธันวาคม 2556

11 ธ.ค. 56 23:50 โดย : aotto
Good Morning News 12 ธันวาคม 2556
Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง

12 ธันวาคม 2556





General News
--------------

• ส.สถิติเยอรมนีรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย.ว่าเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าเดือนก่อนที่เป็น 1.2% โดยสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำมาจากราคาพลังงานลดลง

• ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 0.6% เทียบกับเดือนก่อนหน้า เป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน เพราะมีการลงทุนปรับปรุงกระบวนการผลิตมากขึ้น หลังจากผู้ประกอบการมั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

• ก.คลังจีน ระบุว่า รายได้การคลังขยายตัวถึง 15.9% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายปี เป็น 9.125 แสนล้านหยวน เนื่องจากเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ ทั้งนี้ รายได้การคลังขยายตัวเป็นเลขสองหลักมา 3 เดือนติดต่อกันแล้ว

• ยอดขายรถยนต์ของจีนในเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 14.1% ทำยอด New High ที่ 2.04 ล้านคัน จากความต้องการรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่แข็งแกร่ง

• ธ.เอดีบี ลดประมาณการการขยายตัวของ GDP ภายในประเทศของภูมิภาคอาเซียนในปีนี้เป็น 4.8% จากเดิม 4.9% โดยอ้างถึงผลกระทบทางการเมืองในไทยต่อภาคการบริโภคและท่องเที่ยว รวมถึงความเสียหายจากภัยพิบัติไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนในฟิลิปปินส์

• Paul Gruenwald กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิคของ S&P กับ Ritesh Maheshwari กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิเคราะห์ของ S&P ให้มุมมองในปีหน้ากับ Bloomberg ผ่าน Teleconference วานนี้ว่า มาเลเซียกับไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น โดยระดับหนี้ภาคครัวเรือนของมาเลเซียจะมีปัญหาถ้าเศรษฐกิจเติบโตช้า ส่วนวิกฤติหนี้ภาครัฐของยุโรปนั้นถ้าเกิดขึ้นอีกก็เชื่อว่าเอเชียจะบริหารจัดการได้

• คณะกรรมการ กปปส. ขอพบหน่วยงานของรัฐที่ดูแลความมั่นคง คือ ผบ.สูงสุด ผบ.3 เหล่าทัพ และ ผบ.สตช. ก่อน 20.00 น.ของวันที่ 12 ธ.ค. เพื่อชี้แจงในจุดยืนกับแนวทางการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศเพื่อให้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ และจะนัดพบองค์กรภาคเอกชน เช่น องค์กรวิชาชีพและองค์กรทางสังคมอื่นๆ ที่สนับสนุนแนวทางนี้ด้วย

• วันนี้ ปปช จะเริ่มกระบวนการไต่สวน สส. สว. 312 คน ซึ่งต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน โดย ปปช.จะแจ้งให้ทั้ง 312 คนทราบก่อน แต่จะเชิญมาให้ถ้อยคำเฉพาะเจ้าของเรื่องหลัก และ ปปช.จะดูว่าในกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีผู้ถูกกล่าวหาคนใดปฏิเสธไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลฯ และใครแจ้งความจับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

• ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องของ ส.ส.ปชป. เพื่อวินิจิฉัยว่าร่าง พรบ.ที่ให้อำนาจ ก.คลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ 2 ล้านล้านบาทนั้น จะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

• ปลัดคลัง กล่าวว่า โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท จะเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะนำโครงการมาพิจารณาหรือไม่ ส่วนเกษตรกรที่ได้รับใบประทวนตามโครงการรับจำนำข้าวไปแล้วก็จะจ่ายเงินให้ตามแผน แต่จะกู้เงินเพื่อนำมาใช้ในโครงการดังกล่าวหรือไม่ ยังต้องศึกษารายละเอียด

• สมชัย สัจจพงษ์ ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รายงานว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสที่จะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3 แม้ว่าจะมีปัจจัยทางการเมืองเข้ามากดดัน

• ก.คลัง ระบุว่า พรก.ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากำลังอยู่ในขั้นตอนการรอลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อ 19 พ.ย. 56 ที่ผ่านมา แต่ถ้าไม่สามารถประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ทัน ก็จะต้องใช้อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในโครงสร้างปัจจุบันไปก่อนสำหรับปีภาษี 2556

Equity Market
---------------


• SET Index ปิดที่ 1,369.35 จุด เพิ่มขึ้น 1.93 จุด (+0.14%) ด้วยมูลค่าซื้อขาย 26,001.97 ล้านบาท โดยดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบ เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลปัจจัยทางการเมืองว่าจะมีข้อยุติออกมาในลักษณะใด รวมถึงการติดตามผลการประชุมของเฟดที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการประกาศลดมาตรการทางการเงินเชิงปริมาณ (QE) ลง

• Mark Mobius ประธานกรรมการ Templeton Emerging Markets Group ที่บริหารกองทุนรวมขนาด 53,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ให้สัมภาษณ์ Bloomberg ว่า แม้จะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่ยังหาทางออกไม่ได้ เขาก็จะยังคงการลงทุนในหุ้นไทยต่อไป และจะลงทุนในหุ้นที่มีอยู่แล้วเพิ่มขึ้นถ้าราคาในกระดานตกลงมามากๆ โดยให้เหตุผลว่าปัญหาทางการเมืองเกิดกับไทยมาเรื่อยๆ และเขาเข้าใจที่มาที่ไป ใครทำอะไร โอกาสจะออกมาเป็นอย่างไร ดังนั้น เขาจึงไม่กังวล และเชื่อว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะชนะเลือกตั้งได้

ทั้งนี้ Mobius ชื่นชอบหุ้นในกลุ่ม Banking และ Consumer

สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม (ล้านบาท)
-----------------------------------------------------

นักลงทุนสถาบัน +2,530.82
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ -72.29
นักลงทุนต่างชาติ -3,517.23
นักลงทุนทั่วไป +1,058.70

Fixed Income Market
------------------------

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่าง -0.04% ถึง 0.00% สำหรับวันนี้ไม่มีการประมูล

Guru Corner
-----------

Jeff Gundlach ซีอีโอของดับเบิลไลน์แคปปิทอล ให้ความเห็นถึงภาพรวมเศรษฐกิจและตลาด รวมถึงมุมมองสำหรับกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนพันธบัตรของเขา โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

o นักลงทุนต้องคอยจับตาดูระดับการเติบโตของหนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งได้เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา

o อัตราการว่างงานควรจะอยู่ที่ระดับ 9.3% หากมีการนับรวมคนที่ออกจากกำลังแรงงาน (Labor force) ไปแล้ว

o มีความกังวลเกี่ยวกับการกู้เงินที่มีข้อสัญญาไม่เข้มงวด (covenant-lite loans) และมาตรฐานการกู้ยืมที่ผ่อนปรนเกินไปในตลาดหุ้นกู้มากขึ้น โดยปัญหาเหล่านี้จะยังไม่เกิด ตราบใดที่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูง

o การอัดฉีดเงินของเฟดจะยังคงอยู่นานกว่าที่คาดเนื่องจากการไม่มีเงินเฟ้อ

o พันธบัตรที่มีอัตราผลตอบแทนสูง (high-yield bonds) ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีกว่าพันธบัตรของตลาดเกิดใหม่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์

o ตะกร้าค่าเงินในเอเชียสามารถใช้เป็นดัชนีชี้นำระยะสั้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐได้ โดยเมื่อค่าเงินในเอเชียอ่อนลง อัตราดอกเบี้ยมักจะปรับตัวขึ้น

o ในมุมมองระยะยาว หุ้นตลาดเกิดใหม่ไม่น่าสนใจไปกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ
เท่าไรนัก

o ปัจจุบัน Gundlach กำลังชื่นชอบตลาด non-agency mortgage เป็นอย่างมาก

o Gundlach มองว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นนั้นมีผลกระทบมาจากราคาทองคำที่ปรับลดลง
11 ธ.ค. 56 23:58 โดย : losomon

12 ธ.ค. 56 00:00 โดย : FreedomShip

ตอบกลับกระทู้กลับไปหน้าแรก

เข้าเว็บไซต์แบบปกติ

© COPYRIGHT 2013 STOCK2MORROW
posted from Bloggeroid

เศรษฐกิจญี่ปุ่น... การฟื้นตัวบนความเสี่ยงทางการคลัง

12 ธ.ค. 56 00:11 โดย : dave
เศรษฐกิจญี่ปุ่น... การฟื้นตัวบนความเสี่ยงทางการคลัง


คอลัมน์ เลียบรั้วเลาะโลก

โดย ขวัญใจ เตชเสนสกุล ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธสน.


คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือที่รู้จักกันภายใต้นโยบาย Abenomics ซึ่งมีเครื่องมือสำคัญคือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE แบบเดียวกับที่ธนาคารกลางสหรัฐใช้ในการเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ผ่านการเข้าซื้อตราสารทางการเงิน ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง และส่งผลดีต่อการส่งออก

อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจญี่ปุ่นในภาพรวมจะดูดีขึ้น แต่ญี่ปุ่นยังต้องเผชิญปัญหารุมเร้า โดยเฉพาะปัญหาด้านการคลัง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยบั่นทอนการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในระยะถัดไป


ปัจจุบัน ญี่ปุ่นมียอดขาดดุลการคลังราว 9% ต่อ GDP และหนี้สาธารณะมากถึง 230% ต่อ GDP ถือเป็นระดับสูงสุด เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ

ทั้งนี้ ความเสี่ยงทางการคลังที่เร่งตัวขึ้นจากนโยบายข้างต้น ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับฐานะทางการคลังของญี่ปุ่นในระยะยาว ซึ่งจะมีผลต่ออันดับเครดิตและต้นทุนการกู้ยืมของญี่ปุ่นในอนาคต อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน หรือทำธุรกิจกับประเทศใดประเทศหนึ่ง

ข้อกังวลดังกล่าวทำให้รัฐบาล ญี่ปุ่นเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการคลังควบคู่กับการแก้ ปัญหาเศรษฐกิจในด้านอื่น ๆ มากขึ้น

เห็นได้จากการประกาศจะขึ้นภาษีการขาย (Sales Tax) จาก 5% เป็น 8% ในเดือนเมษายน 2557 และจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 10% ในเดือนตุลาคม 2558

ปัจจัย นี้จะส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 60% ของ GDP ชะลอตัวลง และอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่มีทีท่าดีขึ้นต้องสะดุดลง อย่างที่เคยเกิดขึ้นในเดือนเมษายน

ปี 2540 อีกทั้งญี่ปุ่นมีมาตรการเพิ่มภาษีการบริโภคเป็นครั้งแรกจาก 3% เป็น 5% ซึ่งส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสดังกล่าวหดตัวถึง 13% และทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่น 2 ปีหลังจากนั้นหดตัว 2.0% และ 0.2% ตามลำดับ

นอก จากนี้ การที่ญี่ปุ่นได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2563 ทำให้ญี่ปุ่นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในการสร้างสนามกีฬาและสิ่งอำนวยความ สะดวกต่าง ๆ ซึ่งหากขาดการบริหารจัดการที่ดี ก็อาจเป็นชนวนที่จะนำไปสู่วิกฤตหนี้สาธารณะ เช่นที่เคยเกิดกับกรีซมาแล้ว

ยิ่ง ปกว่านั้น การที่ญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ด้วยสัดส่วนผู้สูงอายุ มากที่สุดในโลกถึงราว 24% ของประชากรทั้งประเทศในปัจจุบัน ทำให้ในอนาคตญี่ปุ่นจะต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการในการดูแลผู้สูง อายุที่เพิ่มขึ้นมาก และจะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงทางการคลังของญี่ปุ่นเร่งตัวขึ้น

อย่าง ไรก็ตาม คาดว่าปัญหาทางการคลังของญี่ปุ่นในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า จะไม่ถึงกับกดดันให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวต้องประสบกับภาวะ Hard Landing เนื่องจากหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นหนี้ในประเทศ ประกอบกับรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะออกนโยบายผ่อนคลายทางเศรษฐกิจอื่น ๆ มาชดเชยผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

จากการขึ้นภาษีการขาย อาทิ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อกระตุ้นการลงทุน อีกทั้งการที่รัฐบาลและธนาคารกลางญี่ปุ่นยืนยันจะใช้มาตรการ QE จนกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะบรรลุเป้าหมายที่ 2% ประเด็นดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของญี่ปุ่นยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป ซึ่งจะหนุนให้อุปสงค์ในประเทศไม่หดตัวรุนแรงนัก

แม้ความเสี่ยงทาง การคลังของญี่ปุ่นในระยะสั้นจะยังไม่รุนแรงถึงขั้นเกิดเป็นวิกฤต เหมือนเช่นในยุโรป และรัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องตัดลดรายจ่ายภาครัฐ อย่างเช่นในสหรัฐ แต่ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยต้องติดตาม อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้วางแผนการค้าการลงทุนและเตรียมเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่ อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างทันท่วงที

Disclaimer : คอลัมน์นี้เผยแพร่เพื่อให้ความรู้ ซึ่งเป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า แห่งประเทศไทย (ธสน.)



ที่มา..ประชาชาติธุรกิจ
12 ธ.ค. 56 00:18 โดย : FreedomShip


น่าติดตาม ญี่ปุ่น ต่อเนื่องครับช่วงนี้ เงินยิ่งเฟ้อ หุ้นญี่ปุ่นก็น่าจะยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
ตอบกลับกระทู้กลับไปหน้าแรก

เข้าเว็บไซต์แบบปกติ

© COPYRIGHT 2013 STOCK2MORROW

posted from Bloggeroid

ยุบสภาแล้วไงต่อ? 11dec2013

ยุบสภาแล้วไงต่อ?


หลังจากการชุมนุมครั้งใหญ่ของมวลมหาประชาชน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และการลาออกจาก สส. ทั้งพรรคของ สส. พรรคประชาธิปัตย์เมื่อเย็นวันอาทิตย์ ส่งผลให้นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาเมื่อเช้าวันจันทร์ ทำให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี กลายเป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการ และจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน ซึ่งประจวบเหมาะกับ พลพรรคบ้านเลขที่ 109 เพิ่งจะพ้นโทษแบนทางการเมือง 5 ปี บุคคลเหล่านั้นก็รับสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเดิมของคน เพื่อจะได้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตามเงื่อนเวลา 30 วันก่อนวันเลือกตั้ง จากการที่มีประชาชนออกมาเดินขบวนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย ทำสถิติใหม่เหนือวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาและเหตุการณ์ 14 ตุลามหาวิปโยค โชคดีที่ไม่มีความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น น่าจะเป็นที่ประหลาดใจแก่คนทั่วโลก ถึงแม้จะมีประกาศยุบสภาแล้วแต่ข้อเรียกร้องของกลุ่ม กปปส.(คณะกรรมการประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (ขื่อยาวจริงๆ) ยังยืนยันให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการเพื่อขอคืนประชาธิปไตย เพื่อเปิดโอกาสใช้อำนาจในมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ โดยตั้งรัฐบาลรักษาการที่เป็นกลางที่ไม่ใช่นักการเมืองหรือพรรคการเมืองใดๆ เลย คงต้องติดตามต่อไปว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ผมมั่นใจมากๆ ก็คือ การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะมีขึ้นจะมีจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมาใช้สิทธิกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเป็นแน่ ซึ่งหลังจากเลือกตั้งเสร็จ ยังไม่รู้ว่าจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นอีกหรือไม่อย่างไร จากกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. หรือกลุ่มเสื้อแดง คงได้แต่ภาวนาให้ประเทศชาติของเราได้ก้าวผ่านความขัดแย้งที่ได้ฝังรากลึก ลงในสังคมไทย ไปได้สักทีอย่าให้เราต้องกลายเป็นคนป่วยของเอเซียอย่างประเทศฟิลิปปินส์ในอดีตที่เคยเป็นประเทศที่เจริญมากที่สุดเมื่อหลายสิบปีที่แล้วเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย แต่ผลจากได้ผู้ปกครองไม่ดีทำให้ฟิลิปปินส์ต้องก้าวช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน เพิ่งจะมาไล่ตามประเทศอื่นๆ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา จริงๆ แล้วการเมืองที่มีอิทธิพลต่ออัตราการเจริญเติบโตของประเทศเป็นอย่างยิ่ง ลองดูสิครับหลังจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ได้รัฐบาลที่ดี ความวุ่นวายทางการเมืองลดลงทั้ง 2 ประเทศมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจแซงหน้าเพื่อนบ้านอย่างไทยเราอย่างเห็นได้ชัด มีเงินทุน FDI และเงินลงทุนทางอ้อม (เงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดตราสารหนี้) หลั่งไหลเข้าไป 2 ประเทศนี้มากกว่าไทยเรา จะเห็นได้ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของ 2 ประเทศนี้ ช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้สูงขึ้น Out Perform ตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ผมยังจำได้หลายปีก่อนดัชนี SET INDEX กับดัชนี JAKARTA COMPOSITE เคยอยู่ในระดับเดียวกันแต่ปัจจุบันนี้ SET INDEX เรายังต้วมเตี้ยมอยู่แถว 1,300-1,400 ขณะที่ดัชนี JAKARTA COMPOSITE อยู่แถว 4,200 จุด คิดเป็น 3 เท่าของดัชนี SET INDEX นี่ขนาดว่า 3-4 ปีที่ผ่านมา SET INDEX OUTPERFORM ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกแล้วก็ตามผมอยากให้ท่านผู้อ่านลองจินตนาการดูนะครับว่า ถ้าเมื่อ 20-30 ปีที่แล้วเราได้คนอย่างท่านลีกวนยูผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของสิงคโปร์ มาปกครองประเทศเราสัก 20-30 ปี แล้วเราสลับเอานัการเมืองไทยไปเป็นรัฐบาลปกครองประเทศสิงคโปร์สัก 20-30 ปี ท่านคิดว่าประเทศไทยของเรากับประเทศสิงคโปร์จะเป็นอย่างไรครับ ส่วนตัวผมเองคิดว่าประเทศไทยคงเจริญไปกว่านี้มากมายเลย GDP ต่อประชาการน่าจะสูงกว่านี้อย่างน้อย 2-3 เท่า เห็นหรือยังครับว่า ความสำคัญของการเมืองมีมากแค่ไหน ดังนั้นเมื่อมีการเลือกตั้ง ทุกคนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งควรจะไปใช้สิทธิของตนเอง เลือกผู้แทนที่ดีที่คาดว่าจะสร้างคุณูปการให้กับชาติบ้านเมือง อย่าเลือกเพราะว่า เขาดีกับท้องถิ่นเท่านั้นหรือเลือกเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง ยิ่งผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ใช้เงินหว่านล้อมให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งให้มาเลือกตนเอง บุคคลเหล่านี้คาดได้เลยว่าจะต้องมีการถอนทุนคืนแน่ๆ
กลับมาดูที่ตลาดหุ้นเรากันบ้างครับ ปัจจัยภายในประเทศยังเป็นปัจจัยหลักที่จะกำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวของ SET INDEX อย่างไรก็ตามถ้าไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นผมยังเชื่อมั่นว่า แนวรับแถวๆ 1,340 บวกลบยังแข็งแกร่ง ดังนั้น นับจากนี้ ถ้ามีการหย่อนตัวลงของตลาดหุ้น ท่านนักลงทุนควรจะถือเป็นโอกาส่ที่ดีในการทยอยเก็บสะสมหุ้นพื้นฐานดีที่ย่อตัวลงมา และสำหรับผู้เสียภาษี นั่นก็คือโอกาสในการซื้อกองทุน LTF&RMF ในราคาที่ต่ำลง และแถมได้ลดหย่อนภาษีด้วยตามอัตราภาษีเงินได้ใหม่ที่มีผลใช้ในปีภาษีนี้เลย

กิติชัย เตชะงามเลิศ
11/12/56
หนังสือ "จาก 1 ล้านเป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร" ยอดขายขื้นอันดับหนื่งตั้งแต่วันแรกจำหน่ายและครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานาน


ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Youtube : http://www.youtube.com/user/wittayu9
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
Instagram : Gid_Kitichai

หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10 และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa ทุกเดือน


สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน ลองเข้า http://www.pantipmarket.com/mall/homeproperty

คอนโดหรูในซอยสุขุมวิท 23 (ประสานมิตร) (เดิน 6 นาที จาก MRT,BTS อโศก) ราคา 50,000/ตรม.




ขาย-เช่า คอนโดเพรสทรีจคอนโด อยู่ในซอยสุขุมวิท 23 (ประสานมิตร) ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดิน (สุขุมวิท) และสถานีรถไฟฟ้า BTS (อโศก) ไม่ถึง 500 เมตร ทางไปตึกเริ่มจากปากซอยสุขุมวิท23(ซอยนี้เป็นทางลัดไปออกสุขุมวิท55ทองหล่อและถนนเพชรบุรีได้)ตรงเข้าซอยไป200ม.ถึง3แยกเลี้ยวขวา ตรงไป50ม.เป็น4แยกเล็กๆเลี้ยวซ้าย ตรงไป100ม.เป็น4แยกเล็กๆให้ตรงไปอีก30ม.ตึกอยู่ขวามีอ ในโครงการมีสระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส ห้องล๊อคเกอร์แยกชายหญิง ห้องที่จะขายอยู่ชั้น 5 อาคาร B เลขที่ห้อง 168/40 พื้นที่ 174.49 ตารางเมตร พร้อมที่จอดรถส่วนตัว 1 คัน ในห้องนี้ มี 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ รับแขก ครัว ซักล้าง และห้องคนรับใช้พร้อมห้องน้ำในตัว 1 ห้อง เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า สวยมาก ครบถ้วน ขายที่ราคา 8.5 ล้านบาทถ้วน ให้เช่าห้อง 35,000 บาท/เดือน ค่าส่วนกลางเดือนละ4,300บาท
ติดต่อ 081-5549777
โพสต์เมื่อ 6 hours ago โดย Kitichai Taechangamlert

ดูความคิดเห็น

The investment strategy by Kitichai Taechangamlert
Timeslide
หน้าแรก
DEC
11
ยุบสภาแล้วไงต่อ?
ยุบสภาแล้วไงต่อ?

หลังจากการชุมนุมครั้งใหญ่ของมวลมหาประชาชน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และการลาออกจาก สส. ทั้งพรรคของ สส.

ช่วงนี้ลงทุนอะไรดี ?
ช่วงนี้ลงทุนอะไรดี ?

จากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศโดยเฉพาะการเมืองบนท้องถนนที่ฝ่ายประท้วงซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นผู้นำและเป็นเลขา การประท้วงเริ่ม

เอาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กันดีกว่า
เอาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กันดีกว่า

เศรษฐกิจไทยเรามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ไม่เพียงจากบริษัทชั้นนำอย่างเช่นเครือปตท.

ทักษิณาธิปไตย และทักษิโณมิกส์



นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยกับตลาดหุ้นไทย



ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต



ปัจจัยที่ต้องติดตามในไตรมาศ 4





AEC กับการท่องเที่ยว



ธุรกิจถ่านหิน กับโซลาร์รูฟ



ถึงเวลาลงทุนในอสังหาต่างแดน?



ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยควรลดหรือไม่



เกษตรกรไทยจะไม่เป็นง่อยถ้า...

เศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร



เกษตรกรไทยจะเป็นง่อยก็เพราะรัฐ



หรือจะรอให้เวียดนามแซงเรา



AUG
21
เป็นไปตามคาด
เป็นไปตามคาด

ถ้าท่านผู้อ่านติดตามบทความผมอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าผมได้คาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจไตรมาส 2 น่าจะแย่เอาการ แล้วตัวเลขที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช) ที่ประกาศออกมาเมื่อวันจันทร์ ปรากฏว่าไตรมาส 2 เศรษฐกิจไทยโตเพียง 2.80% ซึ่งเมื่อเทียบกับ Analyst Consensus ที่

สิงหาว้าวุ่น
สิงหาว้าวุ่น

เดือนสิงหาคมปีนี้เป็นเดือนที่จะมีความเข้มข้นทางด้านการเมืองมากที่สุดในยุคสมัยของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมาเป็นวันเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญเป็นวันแรก มีการชุมนุมของกลุ่มบุคคลที่เรียกตัวเองว่า “กองทัพประชาขน” โดยมีผู้นำกลุ่มเป็นนายทหาร ตำรวจนอกราชการ

July 31st, 2013
การออมและให้เงินทำงานตอนที่ 2

ท่านที่มีหนี้อยู่ไม่ว่าจะเป็นหนี้ในหรือนอกระบบ ที่เกิดจากการบริโภคไม่นับหนี้จากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ท่านควรจะรีบชำระหนี้ให้หมดเร็วที่สุด เพราะว่าอัตราดอกเบี้ยจากสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค จะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากยิ่งถ้าเป็นหนี้นอกระบบ เจอเจ้าหนี้โหดหน่อย อาจจะเ

การลงทุนหุ้นของกิติชัยใน Stop Lost 4 ทุ่มทางเนชั่นแชนแนล 27/7/56

การออมและให้เงินทำงานตอนที่ 1







กำลังโหลด
เทมเพลต Dynamic Views. ขับเคลื่อนโดย Blogger.


posted from Bloggeroid