“WICE” ปักธงปี 59 ปั๊มรายได้ 900 ล้านบาท โต 30% เน้นรักษาฐานลูกค้าเก่า-เพิ่มลูกค้าใหม่ พร้อมลุยขยายงานบริการคลังสินค้า ทุ่มงบ 300 ล้านบาท ลุยซื้อรถบรรทุกหัวลาก-หางพ่วงเพิ่ม ขยายลานจอดรถบรรทุก และปรับปรุงระบบ IT
นางอารยา คงสุนทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมปี 2559 อยู่ที่ 900 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 20-30% จากปี 2558 ที่คาดจะทำรายได้ใกล้เคียงกับปี 2557 ซึ่งอยู่ที่ 676 ล้านบาท โดยจะมาจากการให้บริการกลุ่มลูกค้าหลักที่มีอยู่ 60% ด้วยการเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นการรักษาฐานลูกค้าเก่า
ขณะเดียวกันบริษัทจะให้บริการต่อยอดลูกค้ากลุ่มที่เคยใช้บริการแล้วซึ่งมีอยู่ 30% ด้วยการให้บริการใหม่ๆ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการเพิ่ม ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีบริการให้เลือกในหลากหลายบริการ เช่น Customs Broker, Transportation, Warehouse เป็นต้น
อีกทั้งยังรวมถึงการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เพิ่ม 10% ด้วยบริการใหม่ เช่น Warehouse in LCB, Transportation in BKK สำหรับสัดส่วนรายได้ในปี 2559 มาจากการขนส่งระหว่างประเทศจะอยู่ที่ 70% และสัดส่วนรายได้จากงานให้บริการพิธีการศุลกากร และขนส่งในประเทศ รวมถึงงานให้บริการจัดการคลังสินค้าจะอยู่ที่ 30%
นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ WICE กล่าวว่า ในปี 2559 บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากงานใหม่ด้านการบริหารคลังสินค้า บนพื้นที่ขนาด 13,000 ตารางเมตร ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ประมาณ 35 ล้านบาทต่อปี, การขยายลานจอดรถหัวลาก-หางพ่วง รวมทั้งขยายลานวางตู้คอนเทนเนอร์ พื้นที่รวมขนาด 4,000 ตารางเมตร ซึ่งสามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้ 200 ตู้ คาดจะสร้างรายได้ประมาณ 25 ล้านบาทต่อปี และการบริหารคลังสินค้าให้กับผู้ส่งออกกระจกรายใหญ่บนพื้นที่ขนาด 8,000 ตารางเมตร คาดจะสร้างรายได้ประมาณ 28 ล้านบาทต่อปี โดยจะเริ่มบริหารตั้งแต่เดือนพ.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มหัวลาก-หางพ่วง รองรับปริมาณงานในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่เป็นตลาด Consumer ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น บริษัทคาดจะสร้างรายได้ประมาณ 12 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา ลาว เป็นต้น ซึ่งจะเข้ามาช่วยเสริมผลประกอบการให้เติบโตขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทมีนโยบายรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 20-25% และรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ที่ระดับ 9-10% ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2557 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 26% และมีอัตรากำไรสุทธิ 9.6% ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปี 2558 อัตรากำไรสุทธิและอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงจากปี 2557 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจโลจิสติกส์ชะลอตามไปด้วย ประกอบกับบริษัทมีค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มขึ้น จากการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 24.49% และมีอัตรากำไรสุทธิ 7.65%
สำหรับแผนการขยายธุรกิจในปี 2559 จะเป็นการลงทุนขยายธุรกิจต่อเนื่องจากปี 2558 ซึ่งบริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 300 ล้านบาท โดยแบ่งใช้เป็นเงินลงทุนในการซื้อรถบรรทุกหัวลาก-หางพ่วง 80 ล้านบาท, ใช้ขยายลานจอดรถบรรทุกหัวลาก-หางพ่วง และลานวางตู้คอนเทนเนอร์ 10 ล้านบาท และใช้ลงทุนปรับปรุงระบบ IT ภายในบริษัท 10 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 200 ล้านบาท ใช้ลงทุนขยายคลังสินค้า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาทั้งการเข้าซื้อและการก่อสร้างใหม่ คาดจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 2/59 ทั้งนี้ ขนาดของคลังสินค้าที่มีความเหมาะสมต้องมีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 10,000 ตารางเมตร และจะยังอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับคลังสินค้าแหลมฉบังที่เป็นพื้นที่เช่า
นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการ 2-3 แห่ง ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวมีรายได้แล้วประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่สามารถเปิดเผยถึงรายละเอียดและสรุประยะเวลาในการเข้าซื้อกิจการได้ เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณา ด้านแหล่งเงินทุนบริษัทมีความพร้อม ปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ระดับ 0.17 เท่า
“เกณฑ์การหาพันธมิตรของเรา จะต้องเป็นพันธมิตรที่เข้ามาเสริมธุรกิจซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง เราไม่ต้องการเงินทุน เพราะปัจจุบันยังมีเงินทุนเพียงพอต่อการขยายกิจการเพิ่ม ทั้งนี้ ปัจจุบันเรายังมีแผนหาพันธมิตรในประเทศจีนเพิ่มอีก 1-2 ราย เพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่มและเพื่อผลักดันการขนส่งระหว่างประเทศ โดยจะขยายไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน (AEC)”
ส่วนภาพรวมธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2559 บริษัทมองว่าจะเติบโตขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศของสหรัฐอเมริกาเริ่มปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าและส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม อีกทั้งการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศจีนเข้ามาสู่ภูมิภาคอาเซียน จะทำให้ความต้องการงานบริการด้านโลจิสติกส์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าและบริการด้านต่างๆ ของบริษัทเพิ่ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น