นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์กองทุน บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า กองทุนหุ้นไทยไม่นับรวมกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ช่วงปี 2558 ได้รับผลกระทบอย่างมากโดยตรงจากตลาดหุ้นไทยที่ผันผวนช่วงครึ่งปีหลังของปี 2558 ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมลดลง -10.33% มาอยู่ที่ 158,476 ล้านบาท ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่มูลค่าทรัพย์สินในกลุ่มนี้โตติดลบ
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิตลอดทั้งปีรวมประมาณ 6,680 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มหุ้นขนาดเล็กยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่กวาดเงินจากนักลงทุนมากที่สุดในกลุ่มนี้ คือ บลจ.กรุงศรี ซึ่งมีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิประมาณ 3,796 ล้านบาท โดยที่มีกองทุนอย่าง Krungsri Dividend Stock เป็นตัวชูโรงดึงเงินจากนักลงทุน ขณะที่อันดับ 2 นั้นตกเป็นของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ที่มีเงินไหลสุทธิเข้ากว่า 3,127 ล้านบาท และอันดับ 3 เป็นของ บลจ.กรุงไทย ที่ 1,553 ล้านบาท
นายกิตติคุณ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ 5 อันดับกองทุนหุ้นไทยที่สร้างผลตอบแทนดีสุด ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 พบว่า กองทุนกองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ ของบลจ.ทิสโก้ ทำผลตอบแทนสูงสุดถึง 15.09% รองลงมา คือ กองทุนเปิดเค Mid Small Cap หุ้นทุนของบลจ.กสิกรไทย ทำผลตอบแทนสูงถึง 9.86%
อันดับสาม กองทุนเปิดธนชาต Small Medium Cap ของบลจ.ธนชาต ทำผลตอบแทนประมาณ 6.04% อันดับสี่ คือ กองทุนเปิดบัวหลวงทศพล ของบลจ.บัวหลวง สร้างผลตอบแทนประมาณ 4.72% และอันดับห้า คือ กองทุนเปิดธนชาต Low Beta ของบลจ.ธนชาต สามารถทำผลตอบแทนที่ 2.61%
ทั้งนี้ มอร์นิ่งสตาร์เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยช่วงปีนี้ยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง จากปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ยังคงมีอยู่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากองทุนหุ้นไทยยังคงมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่หวือหวาเหมือนช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
แหล่งข่าวจากนักลงทุนสถาบัน กล่าวว่า สำหรับหลักทรัพย์ที่นักลงทุนสถาบันเลือกเข้าลงทุนมากสุด ทั้งหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นขนาดกลางและเล็ก ประกอบด้วย หุ้น EPG หุ้น WORK หุ้น BDMS หุ้น CPALL หุ้น GLOBAL หุ้น SAWAD หุ้น AAV หุ้น SCC หุ้น KTC และหุ้น PLANB ซึ่งหุ้นกลุ่มดังกล่าว สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนหุ้นไทยเติบโตดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น