2016-02-11
ดร.เติมชัย บุนนาค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภคของกลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของปี 2558 บริษัทมีรายได้รวม 22,444 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 1,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.6% จากปีก่อน
ซึ่งเป็นผลจากที่บริษัทฯ สามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบได้เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ทั้งจากโรงไฟฟ้าใหม่ที่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ในไตรมาส 4/2558 รวมถึงระยะเวลาแผนซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าที่ใช้เวลาน้อยกว่าแผน อีกทั้งบริษัทยังได้รับเงินปันผลจากการเข้าไปถือหุ้นในโรงไฟฟ้าอื่นๆ และได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ในปี 2558 เป็นปีที่บริษัทฯ มีประสิทธิภาพทั้งในแง่การบริหารจัดการ โดยเฉพาะโครงการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าศรีราชา สามารถใช้เวลาในการซ่อมบำรุงน้อยกว่าแผนที่วางไว้ ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น และค่าซ่อมบำรุงลดลง และบริษัทสามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ ของบริษัท ไออาร์พีซี คลีนพาวเวอร์ จำกัด(IRPC-CP) ซึ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ระยะที่ 1 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2558
โดยเป็นการผลิตไฟฟ้า 45MW และไอน้ำ 170 ตันต่อชั่วโมง และยังได้รับเงินปันผลจาก บริษัทราชบุรี เพาเวอร์ จำกัด (RPCL) ที่ได้เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 15% รวมทั้งยังได้รับส่วนแบ่งจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น จากบริษัทฯ ร่วม และการร่วมค้า เนื่องจากผลการดำเนินงานที่มีการปรับตัวดีขึ้น
ส่วนกำไรสุทธิของบริษัทฯ ในไตรมาส 4/2558 มีทั้งสิ้น 335 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2558 ปรับตัวลดลง 231 ล้านบาท ที่มีกำไรสุทธิที่ 566 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากไตรมาส 3/2558 มีการรับรู้ เงินปันผลจาก RPCL จำนวน 288 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อพิจารณาในส่วนของการดำเนินงานจริง โดยไม่รวมเงินปันผล จะเห็นได้ว่ากำไรสุทธิจากการดำเนินงานปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 20.5 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2558
พร้อมกันนี้บริษัทเตรียมจ่ายปันผลจากกำไรสะสม โดยจ่ายเป็นเงินสดอัตรา 0.60 บาทต่อหุ้น และขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 24 ก.พ. 2559 กำหนดจ่ายปันผลวันที่ 12 เม.ย. 2559
สำหรับแผนการดำเนินการในปี 2559 บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการดำเนินธุรกิจยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทฯ มีแผนการขายไฟฟ้าเข้าระบบของ บริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด (NNEG) ที่คาดว่าจะเริ่มขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ในเดือนมิถุนายนปีนี้ รวมทั้งบริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากโครงการ IRPC-CP ระยะที่ 1 เต็มปี หลังจากที่เริ่มขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2558 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีโครงการโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกจำนวน 579 เมกะวัตต์ โดยคิดเป็นอัตราการเติบโตตามกำลังการผลิตเฉลี่ย 9.4% ไปจนถึงปี 2562
ส่วนโครงการในต่างประเทศ บริษัทฯ ยังคงดำเนินการต่อเนื่องทั้งในกลุ่มอาเซียนและนอกกลุ่มอาเซียน โดยมีพื้นที่เป้าหมายทั้งใน ลาว เมียนมา อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมที่จะขยายการลงทุน โดยยึดหลักเป้าหมายการลงทุนจะต้องเป็นโครงการที่มีประสิทธิภาพและต้องมีผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่ดีซึ่งฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ยังมีความแข็งแกร่ง และมีขีดความสามารถในการลงทุน โดยบริษัทฯ มีเงินที่ได้จากการระดมทุนในการขาย IPO ราว 10,000 ล้านบาท และสามารถจัดหาจากสถาบันการเงินได้อีก 8,000 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินต่อทุนของบริษัทยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.10 เท่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น