วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์

ทำไมหลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยาก ขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอม ขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียน เก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต มากกว่าเหตผล

นาย เวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มี ใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน

ย้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้

*******************************

Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)

EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)

*******************************

แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับคำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์ อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน

ดังนั้นลำพังการคิดว่าเราต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์ อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจาก อุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้

ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น

อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณ อาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่าง สมเหตสมผล หมดไปด้วย

ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"

เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
บางคนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือ ทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความ เป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี

คำตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี

ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา

เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "

ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น

ดาบสองคม "นาโนไฟแนนซ์"

ดาบสองคม "นาโนไฟแนนซ์"
ดาบสองคม "นาโนไฟแนนซ์"
โดย วิไล อักขระสมชีพ

ในที่สุด ธุรกิจ "นาโนไฟแนนซ์" ก็คลอดออกได้สำเร็จดังใจของรัฐบาล ซึ่งวัตถุประสงค์ของรัฐบาล คือ ต้องการให้คนที่ทำธุรกิจรายย่อยมาก ๆ ที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนหรือเงินขาดมือหมุนเวียนทำธุรกิจ ก็สามารถมาขอเงินกู้นาโนไฟแนนซ์เพื่อใช้ประกอบอาชีพได้ เพราะเป็นเงินกู้ที่มีความยืดหยุ่นสูงกว่าการขอกู้จากแบงก์ทั้งหลาย ที่ผู้กู้จะต้องแสดงฐานะทางการเงิน เช่น บัญชีเงินเดือน บัญชีเงินฝาก เป็นต้น

เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ขุนคลัง "สมหมาย ภาษี" ได้อนุมัติใบอนุญาต (ไลเซนส์) ประกอบการธุรกิจสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์รอบแรก จำนวน 4 ราย ได้แก่ บริษัท เงินสดทันใจ จำกัด, บริษัท ไทยเอช แคปิตอล จำกัด, บริษัท สหไพบูลย์ 2558 จำกัด และ บริษัท แมคคาเล กรุ๊พ จำกัด (มหาชน) หลังจากนี้บริษัทเหล่านี้ก็สามารถเปิดให้ดำเนินการปล่อยกู้ให้รายละ 100,000 บาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมถึงปีละ 36%

เมนูนี้แต่ละบริษัทต่างต้องการเสิร์ฟให้สำหรับกลุ่มลูกค้าฐานรากของตัวเอง ที่มีทั้งทำอาชีพพ่อค้าแม่ค้า คนขับแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ กลุ่มรากหญ้าชาวนาชาวสวน รวมไปถึงลูกหนี้นอกระบบที่ใช้บริการกันอยู่ เป็นต้น

แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เกณฑ์นาโนไฟแนนซ์ได้เปิดช่องให้กู้เป็นอีกหนึ่งบัญชีสินเชื่อ ที่แยกออกมาจากบัญชีกู้ประเภทอื่น ๆ ของสถาบันการเงิน ดังนั้นลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาขอสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ในระยะแรกนี้ ก็มีโอกาสที่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนอยู่แล้ว และน่าจะมากกว่าเป็นกลุ่มที่ไม่เคยเข้าถึงแหล่งเงินกู้ อย่างที่วัตถุประสงค์ของรัฐบาลตั้งไว้เลย

โดยข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ระบุในรายงานผลสำรวจการเข้าถึงบริการทางการเงินภาคครัวเรือนในปี 2556 ระบุว่า มีจำนวนราว 1.3 ล้านครัวเรือนไทย ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้ และกว่า 6 แสนครัวเรือน ยังต้องพึ่งการกู้เงินนอกระบบด้วย

อีกข้อสังเกตที่ต้องจับตา คือ แม้ในระยะแรกธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ที่เพิ่งเริ่มต้น การทำธุรกิจก็ดำเนินการไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความเสี่ยงของระดับการเพิ่มหนี้ครัวเรือนของประเทศจะยังจำกัด แต่ในระยะข้างหน้า หากบริษัทนาโนไฟแนนซ์วางโมเดลธุรกิจลงตัว และสามารถขยายสินเชื่อไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีบัญชีเงินกู้ได้ เมื่อนั้นความเสี่ยงต่าง ๆ ก็จะปรากฏขึ้น ทั้งระดับหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงของคุณภาพหนี้เสีย กระบวนการบริหารความเสี่ยงในการติดตามชำระหนี้

นอกจากนี้ยังชูอีก 2 ตัวแปรสำคัญที่จะส่งผลต่อธุรกิจนาโนไฟแนนซ์เผชิญในการทวงหนี้ ได้แก่ 1.การแก้กฎหมายทวงหนี้ฉบับใหม่ ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.นี้ ได้ตีกรอบการทวงหนี้ไว้อย่างละเอียดและห้ามทวงหนี้มากเกินกว่าเหตุจนลูกหนี้เดือดร้อน หรือเป็นการข่มขู่ ฯลฯ และ 2.การเปิดช่องให้บริษัทนาโนไฟแนนซ์ไม่ต้องเข้าเป็นสมาชิกเครดิตบูโร จะเป็นการเปิดความเสี่ยงในระยะยาวของบริษัท และความเสี่ยงเชิงมหภาค เพราะลูกหนี้บางรายสามารถไปขอกู้กับนาโนไฟแนนซ์หลายๆ แห่งได้ จนทำให้วงเงินกู้รวมสูงกว่าความสามารถในการผ่อนชำระได้ ก็จะเป็นการเพิ่มปัญหาหนี้ครัวเรือนอีก เพราะปัจจุบันทางการเองก็ยังไม่ได้กำหนดระดับเพดานการปล่อยกู้รวมของลูกค้า และวงเงินสินเชื่อรวมของบริษัทนาโนไฟแนนซ์ เพราะกฎเกณฑ์เหล่านี้พอจะเป็นมาตรการหนึ่งที่ช่วยดูแลคุณภาพหนี้ไม่ให้เสียหายลุกลามหนักไปถึงภาคเศรษฐกิจโดยรวม

ขณะที่เวลานี้ประเทศไทยก็เผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงอยู่แล้วเพราะหลายปีที่ผ่านมาแบงก์และน็อนแบงก์ต่างแข่งขันกันให้สินเชื่อส่วนบุคคล มีทั้งกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ ต่อเติมบ้าน กู้อเนกประสงค์ ยังไม่นับรวมแบงก์รัฐที่มีมาตรการช่วยพักชำระหนี้อีก ซึ่งล้วนแต่เห็นภาพคนไทยยังมีหนี้ครัวเรือนพันรอบตัวไปหมด

โดยตัวเลขหนี้ครัวเรือนล่าสุดที่ ธปท.บอก อยู่ที่ 85.9% ของจีดีพี ซึ่งยังไม่นับรวมหนี้ที่กู้นอกระบบอีกมาก ขณะที่การออมเงินโตต่ำมาก ซึ่งทางผู้บริหารซิตี้แบงก์เคยพูดกันถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยเติบโตรวดเร็วมากในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า จนยอดหนี้ครัวเรือนอยู่สูง 10.2 ล้านล้านบาทแล้ว ปัจจุบันสัญญาณหนี้ครัวเรือนมีแต่เร่งตัวขึ้น เพราะคนไทยกู้หลากหลายช่องทางกันมาก และน่าจะเห็นหนี้ครัวเรือนพุ่งไปถึง 100% ของจีดีพี หรือเท่าตัวของจีดีพีในเวลารวดเร็ว

และนี่คือดาบสองคม ที่ทั้งกระทรวงการคลังและแบงก์ชาติ ต้องคำนึงถึงเมื่อเปิดประตูนาโนไฟแนนซ์แล้ว ก็ต้องสร้างฐานรากให้ธุรกิจเข้มแข็งและเดินถูกทาง เพื่อเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ

กบข.-ประกันสังคมตุนเงินหมื่น ล. รอจังหวะดัชนีพักฐานครึ่งปีหลังลุยช้อนซื้อหุ้นไทย

กบข.-ประกันสังคมตุนเงินหมื่น ล. รอจังหวะดัชนีพักฐานครึ่งปีหลังลุยช้อนซื้อหุ้นไทย
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ชื่อ:  01.jpg
ครั้ง: 12474
ขนาด:  57.1 กิโลไบต์
ประกันสังคม-กบข. ลั่นผลตอบแทนการลงทุนไตรมาส 1/58 ยังบวกแตะระดับหมื่นล้านบาท เล็งปรับพอร์ตครึ่งปีหลัง รอช้อนซื้อหุ้นช่วงตลาดพักฐาน ประกันสังคมตุนเงิน 1 หมื่นล้านจ้องซื้อหุ้นไทย

นายวิน พรหมแพทย์ หัวหน้ากลุ่มงานลงทุนและรองโฆษก สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภาพรวมไตรมาส 1/58 สำนักงานสามารถบริหารกองทุนประกันสังคมให้มีผลตอบแทน (นับเฉพาะผลตอบแทนที่รับรู้แล้ว) จำนวน 11,286 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนราว 0.96% แบ่งเป็นผลตอบแทนจากดอกเบี้ยและกำไรจากการขายตราสารหนี้จำนวน 9,661 ล้านบาท เป็นเงินปันผลและกำไรจากการขายหุ้นจำนวน 1,625 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มการลงทุนช่วงที่เหลือของปีกองทุนมีแผนจะเข้าซื้อหุ้นสะสมในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ปรับพอร์ตการลงทุนมากนัก เพราะมองว่าราคาหุ้นไทยยังแพง แต่ในช่วงครึ่งปีหลังประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับฐาน

โดยปัจจุบันเงินลงทุนของกองทุนประกันสังคมทั้งหมด มีจำนวน 1,282,247 ล้านบาท ลงทุนหุ้นไทยประมาณ 9% หรือคิดเป็นมูลค่า 1.1 แสนล้านบาท ดังนั้นจึงสามารถเพิ่มสัดส่วนลงทุนหุ้นไทยเป็น 10% หรือเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาทได้

อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราผลตอบแทนการลงทุนรวมในปีนี้น่าจะลดลงจากปี 2557 ที่ทำได้ราว 5.34% หรือมูลค่า 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะตลาดหุ้นปีนี้น่าจะไม่ดีเท่าปีที่ผ่านมา ขณะที่ดอกเบี้ยในประเทศก็มีทิศทางปรับตัวลดลง ส่งให้ผลตอบแทนจากพันธบัตรและหุ้นกู้ลดลงอีกทั้งล่าสุดบอร์ดประกันสังคมเพิ่งมีมติเห็นชอบแผนการลงทุนของกองทุนปี2558 โดยมีมติให้ศึกษาแนวทางการลงทุนรูปแบบใหม่รองรับอนาคต เช่น การลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทรัสต์ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่น่าจะคาดหวังผลตอบแทนเงินปันผลระดับ 6-8% ต่อปีได้

ขณะที่นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า ผลตอบแทนการลงทุนของ กบข.ในช่วงที่ผ่านมาถือว่าปรับตัวค่อนข้างดี โดยเฉพาะอานิสงส์จากการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้ไตรมาส 1/58 กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ราว 1.66% หรือมีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ทิศทางการลงทุนในตลาดต่างประเทศในครึ่งปีหลัง น่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มยุโรป และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ซึ่งกองทุนอาจต้องลดน้ำหนักการลงทุนหรือลดพอร์ตลงทุนหุ้นต่างประเทศลงเหลือ 12% จากปัจจุบันมีสัดส่วน 14.5% ของเงินลงทุนทั้งหมด 7.3 แสนล้านบาท

ส่วนมุมมองการลงทุนในประเทศ เขากล่าวว่า ยังมีสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี โดยเฉพาะตราสารหนี้และพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งแม้ทิศทางดอกเบี้ยในประเทศจะปรับตัวลดลง แต่มูลค่าตราสารก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นเชื่อว่าระยะยาวยังน่าสนใจ จึงเลือกเข้าลงทุนหุ้นรายตัว โดยรอดูจังหวะช่วงที่ราคาหุ้นเทียบมูลค่าพื้นฐานมีการปรับเปลี่ยน

ทั้งนี้ ปัจจุบันกองทุน กบข.มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทย 11.5%

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

ทองคำพุ่งมากสุดนับตั้งแต่มกราคม

ทองคำพุ่งมากสุดนับตั้งแต่มกราคม

2015-04-29 12:02:00
ผู้เข้าชม : 8

:แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐจะทำให้ราคาทองผันผวนมากขึ้น

นิวยอร์ก - ทองคำปรับตัวขึ้นมากสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม การเดิมพันเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯทำให้ทองคำมีความผันผวนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ราคาเงินก็ปรับตัวขึ้นมากสุดในปีนี้

เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯจะมีการประชุมในสัปดาห์นี้ นักลงทุนทองคำได้วิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจเพื่อหาเบาะแสว่าเมื่อไหร่ที่อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น  และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทองคำแท่งได้ปรับตัวลงมากสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม และมีความผันผวนในรอบ 30 วันสูงที่สุดในรอบ 7 สัปดาห์
เทรดเดอร์กำลังได้รับอิทธิพลจากเศรษฐกิจอเมริกาซึ่งกำลังโตอย่างติดๆ ขัดๆ จึงทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าเฟดจะรอเวลาให้นานขึ้นก่อนที่จะขึ้นดอกเบี้ย ความเห็นดังกล่าวทำให้เทรดเดอร์พันธบัตรวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้ออีกครั้งและหมายถึงว่าดอลลาร์กำลังจะอ่อนตัวลง  ดอกเบี้ยที่ลดลง ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับทองคำ ซึ่งมักให้ผลตอบแทนก็ต่อเมื่อราคาสูงขึ้น และทองยังเป็นตัวบริหารความเสี่ยงแต่ดั้งเดิมต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคและเป็นทางเลือกแทนเงินดอลลาร์สหรัฐ
โฮเวิร์ด เหวิน นักวิเคราะห์โลหะมีค่าของเอชเอสบีซี กล่าวว่า ในขณะนี้ตลาดมีชีวิตชีวามาก  การประชุมของเฟดและดัชนีเศรษฐกิจเหล่านี้ทำให้เกิดภาวะที่ราคาทองคำจะมีความผันผวนมากขึ้น  ตราสารทองคำที่ส่งมอบในเดือนมิถุนายนในตลาดโคเม็กซ์ พุ่งขึ้น 2.4% อยู่ที่ 1,203.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์   ปรับตัวขึ้นมากสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม
การปรับตัวขึ้นของทองคำเมื่อวันจันทร์มีขึ้นหลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาทองคำปรับตัวลง 2.3%  ดัชนีวัดความผันผวนของอีทีเอฟ ทองคำในตลาดชิคาโกทะยานขึ้นเป็นวันที่สี่ติดต่อกัน ซึ่งนานสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม
เฟดเริ่มการประชุมเป็นเวลาสองวันตั้งแต่เมื่อวานนี้ (28 เม.ย.) หลังจากที่รายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาชี้ว่า คำสั่งซื้ออุปกรณ์สำหรับธุรกิจลดลงอย่างไม่คาดคิดและการซื้อบ้านใหม่ลดลงมากกว่าประมาณการในเดือนมีนาคม  อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้นักลงทุนชอบสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มจะมีผลตอบแทนดีกว่า  เช่น หุ้นและพันธบัตร
ไต หว่อง  ผู้อำนวยการฝ่ายซื้อขายผลิตภัณฑ์โภคภัณฑ์ของบีเอ็มโอ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ คอร์ป กล่าวว่า ราคาทองคำได้ดีดตัวต่อเมื่อวันจันทร์หลังจากที่มีการประมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ แทนที่การกำหนดราคาตายตัวในตลาดลอนดอน ชี้ว่า มีดีมานด์เกินกว่าซัพพลายมาก
ทองคำยังปรับตัวขึ้นหลังจากที่กำไรในภาคอุตสาหกรรมของจีนลดลงในเดือนมีนาคม ซึ่งสนับสนุนเหตุผลให้จีนเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ราคาทองได้ปรับตัวขึ้น 70% จากเดือนธันวาคม 2551 ถึงเดือนมิถุนายน 2554 เนื่องจากธนาคารกลางหลายแห่งเพิ่มปริมาณเงินในขนาดที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งทำให้เกิดความวิตกว่าเงินเฟ้อจะโตเร็วขึ้น
บาร์ต เมเล็ก หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์โภคภัณฑ์บริษัท ทีดี ซีเคียวริตีส์ กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯเมื่อเร็วๆ นี้ชี้ว่า เฟดอาจเลื่อนการเข้มงวดนโยบายครั้งแรกไปจนถึงปี 2559 และเมื่อคืนวันจันทร์ เราได้รับสัญญาณจากรัฐบาลจีนว่าอาจจะดำเนินนโยบายเงินบางอย่างที่ผิดแผกจากเดิม
ในขณะเดียวกันตราสารเงินที่จะส่งมอบในเดือนกรกฎาคม ปรับตัวขึ้น 4.8% เป็น 16.439 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในตลาดโคเม็กซ์  ซึ่งเป็นการดีดตัวมากสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม  และในตลาดไนเม็กซ์ พลาตินั่มพุ่งขึ้นมากสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2556  ส่วนพาลลาเดียม ปรับตัวขึ้นเช่นกัน

SCCซด1.1หมื่นล.โต32%

SCCซด1.1หมื่นล.โต32%

2015-04-30 12:01:00
ผู้เข้าชม : 2

"ปูนใหญ่" ตั้งเป้าปีนี้ปั๊มรายได้ทะลุ 4.8 แสนล้านบาท โชว์งบQ1/58 มีรายได้ 1.09 แสนล้านบาท ซดกำไร 1.1 หมื่นล้านบาท โต 32% ส่วน Q2/58 แย้มดีขึ้น มั่นใจโรงปูนซีเมนต์แห่งที่ 2 กัมพูชาเดินเครื่องมิ.ย.นี้ และที่อินโดนีเซียเดินเครื่องปลายปีนี้

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายมีรายได้มากกว่า 480,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/58 มีรายได้จากการขาย 109,276  ล้านบาท ลดลง 6% จากไตรมาสก่อน และลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาเคมีภัณฑ์ปรับลดลงตามราคาแนฟทาและราคาน้ำมันที่ลดลง
ส่วนกำไรในไตรมาส 1/58 อยู่ที่ 11,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้น แม้จะมีขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 930 ล้านบาท รวมถึงมีกำไรจากการขายเงินลงทุน 10% ในบริษัท สยามมิชลิน กรุ๊ป จำกัด จำนวน1,485 ล้านบาท
“แม้ว่าในช่วงไตรมาส 1/58 รายได้จะลดลง 10% เนื่องจากปีนี้บริษัทได้รับผลกระทบจากยอดขายปิโตรเคมีที่จะลดลง ซึ่งยอดขายรวมของบริษัทประมาณ 50% มาจากธุรกิจปิโตรเคมี แต่เชื่อว่ายอดขายซีเมนต์และกระดาษจะเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามา โดยโรงงานปูนซีเมนต์แห่งที่ 2 ในกัมพูชาจะเริ่มเดินเครื่องในเดือนมิถุนายนนี้ และโรงงานปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซียจะเดินเครื่องในปลายปีนี้ ซึ่งจะทำให้แต่ละไตรมาสมียอดขายเพิ่มขึ้นได้”
สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2/58 ตลาดปูนซีเมนต์และสินค้าวัสดุก่อสร้างในประเทศจะปรับตัวดีขึ้น จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายภาครัฐ อย่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีการประมูลเรียบร้อยแล้ว พร้อมคาดว่าโครงการภาครัฐจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนตลาดต่างประเทศทั้งในประเทศเมียนมาร์ (พม่า) กัมพูชา และเวียดนาม ยังมีการเติบโต
“ตลาดปูนซีเมนต์และสินค้าวัสดุก่อสร้างในประเทศช่วงไตรมาส 2/58 จะปรับตัวดีขึ้นแม้ตลาดจะอ่อนตัวลงในไตรมาส 1/58 เนื่องมาจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการลงทุนของภาครัฐที่คืบหน้ามากขึ้น และน่าจะเห็นผลชัดเจนในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจของประเทศปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น”
ด้านธุรกิจเคมีภัณฑ์อยู่ในช่วงขาขึ้น และมีแนวโน้มจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการสินค้าในตลาดโลกสูงขึ้นและราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ส่วนธุรกิจกระดาษคาดการณ์ส่งออกในตลาดอาเซียนจะดีขึ้น เนื่องจากความต้องการสินค้ากระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนเติบโตต่อเนื่อง
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการลงทุนในสายการผลิตที่ 2 ของ Vina Kraft Paper Company Limited (VKPC) ในประเทศเวียดนาม ประมาณ 4,125 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์อีก 243,000 ตันต่อปี ก็จะส่งผลให้บริษัทมีธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์มีกำลังการผลิตสูงสุดในอาเซียนรวม 2.6 ล้านตัน ทั้งนี้ VKPC เป็นกิจการร่วมทุน โดยบริษัท สยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด ในเอสซีจี เปเปอร์  ในสัดส่วน 70% และ Rengo Company Limited (ประเทศญี่ปุ่น) ในสัดส่วน 30%  
รวมถึงกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จาก 1.75% เหลือ 1.50% ต่อปี น่าจะส่งผลต่อค่าเงินให้อ่อนตัวลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออก โดยบริษัทมีการส่งงออกไปในภูมิภาคอาเซียน และจากการส่งออกไปยังอาเซียนในช่วงไตรมาส 1/58 อยู่ที่ 24,122 ล้านบาท คิดเป็น 22% ของรายได้รวม ซึ่งเพิ่มขึ้น 2%
นายเชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน  SCC กล่าวว่า ด้านการออกหุ้นกู้ บริษัทได้ดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นกู้ไปแล้วจำนวน 30,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 2 ชุด คือ หุ้นกู้ชุดที่ 1 จำนวน 15,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.75% และหุ้นกู้ชุดที่ 2 จำนวน 15,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.90%
อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท โดยจะใช้ลงทุนในโรงปูนซีเมนต์ 4 แห่งในต่างประเทศทั้งประเทศกัมพูชา อินโดนีเซีย เมียนมาร์ และสปป.ลาว ประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพต่างๆ รวมถึงการซื้อกิจการหรือร่วมลงทุน (M&A)

CHOเซ็นเอ็มโอยูCPALL-PIM

CHOเซ็นเอ็มโอยูCPALL-PIM

2015-04-28

:พัฒนารถขนส่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์

CHO เซ็นเอ็มโอยูร่วมกับ CPALL-PIM พัฒนารถขนส่งเชิงพาณิชย์ใช้พลังงานไฟฟ้า หวังลดต้นทุนการขนส่งสินค้า มั่นใจเริ่มผลิตใช้คันแรกภายในปี 59

นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช. ทวี ดอลลาเซียน จำกัด  (มหาชน) หรือ CHO เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้เข้าลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) 3 ฝ่าย กับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หรือ PIM เพื่อร่วมดำเนินโครงการการพัฒนายานยนต์และพลังงานทางเลือกในระบบโลจิสติกส์
โดยถือเป็นการพัฒนารถขนส่งเชิงพาณิชย์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าคันแรกของประเทศไทย  เนื่องจาก CPALL เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาประสิทธิภาพของยานยนต์และพลังงานทางเลือกในระบบโลจิสติกส์ เพราะปัจจุบัน ซีพี ออลล์ มีการใช้ยานยนต์สำหรับขนส่งสินค้าจากคลังสินค้าสู่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นสาขาต่างๆ มีมากกว่า 8,300 สาขาทั่วประเทศ
ดังนั้น การพัฒนายานยนต์และพลังงานทางเลือกจะส่งผลให้ประสิทธิภาพด้านการจัดการต้นทุนดีขึ้น อาทิ ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ค่าเชื้อเพลิงต่างๆ และยังเป็นการลดมลภาวะบนท้องถนน โดยคาดว่าใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการออกแบบและพัฒนา จากนั้นจะสามารถผลิตรถขนส่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์คันแรกของประเทศไทยในปี 2559
ขณะที่นายชูศิลป์ จิรวงศ์ศรี รองกรรมการผู้จัดการ CPALL กล่าวว่า การร่วมลงนาม MOU ทั้ง3 ฝ่ายในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนายานยนต์และพลังงานทางเลือกในระบบโลจิสติกส์ และดำเนินการเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมตามแนวคิด Green Logistics
โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 7 Go Green ของบริษัท และหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ จะถือได้ว่าเป็นรถขนส่งเชิงพาณิชย์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่ผลิตโดยฝีมือคนไทย และเป็นคันแรกของประเทศไทยที่จะมาช่วยลดภาระต้นทุนด้านโลจิสติกส์แก่ผู้ประกอบการในระยะยาว ซึ่งแม้การลงทุนในขั้นแรกจะสูงกว่ารถทั่วไป แต่สิ่งที่สังคมจะได้ทันที คือ การอนุรักษ์พลังงาน รักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อน
ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.พิสิษฐ์ ชาญเกียรติก้อง คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี PIM กล่าวว่า การร่วมลงนามในครั้งนี้เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงพัฒนายานยนต์และพลังงานทางเลือกในระบบโลจิสติกส์
อีกทั้ง เพื่อดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนาความรู้ด้านยานยนต์ให้สามารถนำมาต่อยอดและใช้ประโยชน์ต่อธุรกิจได้รวมถึงเป็นการช่วยพัฒนาหลักสูตรการศึกษาด้านการพัฒนายานยนต์และพลังงานทางเลือกในระบบโลจิสติกส์ เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพบุคลากร
ทั้งนี้ CHO ได้มีการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์สำเร็จแล้ว คือ รถลำเลียงอาหารสำหรับสายการบิน (Catering) ซึ่งใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้า และควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างทดลองใช้งานจริงตามสนามบินต่างๆ ทั่วโลก  จึงมั่นใจว่า การร่วมพัฒนายานยนต์นำร่องต้นแบบคันแรกแบบ 6 ล้อ และพัฒนาศักยภาพการชาร์ตแบตเตอรี่ได้เต็มเร็วและใช้งานได้นานมากขึ้น พร้อมปรับลดต้นทุนการผลิตรถดังกล่าวเพื่อให้เหมาะสมแก่ผู้ประกอบการทั่วไป จะสามารถเห็นผลสำเร็จได้ภายในปี 2559

CHOเสนอราคาต่ำสุด ใกล้ฝันรับงานเมล์NGV

CHOเสนอราคาต่ำสุด
ใกล้ฝันรับงานเมล์NGV

2015-04-30 12:03:00
ผู้เข้าชม : 3

"CHO" เสนอราคาจัดหารถเมล์ NGV ล็อตแรก 489 คัน ต่ำกว่า 1 แสนบาท จากราคากลางคันละ 3.65 ล้านบาท เป็น 3.55 ล้านบาท แต่ยังเหลือขั้นตอนเจรจาสัญญาซ่อมบำรุงปีที่ 6-10 กับขสมก.ในช่วงต้นเดือนพ.ค.นี้ ก่อนสรุปผลประมูล

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ดวานนี้ (29 เม.ย.) ขสมก.ได้รายงานผลการประกวดราคาโครงการจัดซื้อรถโดยสารที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 3,183 คัน วงเงิน 13,162.2 ล้านบาท ล็อตแรกจำนวน 489 คัน วงเงิน 1,784,850,000 บาท สัญญา 10 ปี ซึ่งสรุปว่า เอกชนที่เสนอราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (อี-อ๊อคชั่น) ต่ำสุด คือ กลุ่มกิจการร่วมค้า JVCC (บริษัท ช.ทวี ดอลลาเซียน จำกัด (มหาชน) หรือ CHO ถือหุ้น 50% และ  บริษัท ช.ทวีขอนแก่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CHO ถือหุ้น 50%) ซึ่งได้เสนอราคาต่ำกว่าราคากลาง 100,000 บาท โดยราคากลางรถโดยสารปรับอากาศคันละ 3,650,000 บาท เหลือ 3,550,000 บาทต่อคัน
อย่างไรก็ตาม ขสมก.ยังไม่สามารถประกาศผลผู้ชนะการประกวดราคาได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการเจรจากับเอกชนกรณีค่าซ่อมบำรุงปีที่ 6-10 ซึ่งจะเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด ส่วนการจัดหารถโดยสารที่เหลืออีก 2,694 คันนั้น ล่าสุดบอร์ด ขสมก.ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาศึกษาการใช้รถโดยสารพลังงานไฟฟ้ามาวิ่งบริการร่วมกับรถโดยสารที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากประเมินในเบื้องต้นว่าในอนาคตราคา NGV จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้น หากสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าได้จะสามารถประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงได้มากกว่า
ด้านนายนิติธร ดีอำไพ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและการเงิน บริษัท ช.ทวี ดอลลาเซียน จำกัด (มหาชน) หรือ CHO เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้ยื่นประมูลโครงการรถเมล์ NGV ล็อตแรกไปแล้ว ขณะนี้บริษัทอยู่ในระหว่างการรอเจรจาต่อรองราคากับทางขสมก. รองรับการซ่อมแซมบำรุงตั้งแต่ช่วงระยะเวลา 6-10 ปี รวมถึงรอการประกาศผลออกมาอย่างเป็นทางการ
โดยในเบื้องต้นการเจรจากับทางขสมก.ถึงการซ่อมบำรุงน่าจะเริ่มพูดคุยได้ในช่วงต้นเดือนพ.ค.นี้ ซึ่งบริษัทเชื่อว่าทั้ง 2 ฝ่ายน่าจะหาข้อสรุปกันได้ ซึ่งในแง่พื้นที่รองรับการทำงานจะมีอยู่ 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นพื้นที่ของขสมก.ในกรุงเทพฯ ซึ่งบริษัทจะเข้าไปปรับปรุงพื้นที่ให้เหมาะสมต่อการทำงานและส่งคนเข้าไปดูแลซ่อมบำรุง
ส่วนที่ 2 จะอยู่ที่ย่านวังน้อย ซึ่งเป็นศูนย์ดูแลรองรับการซ่อมบำรุงใหญ่เกินระดับ 1 วันขึ้นไป ดังนั้น จากพื้นที่การซ่อมบำรุงดังกล่าว และประสบการณ์ทำงานของบริษัทที่ผ่านการดูแลรถขนาดใหญ่มายาวนาน จึงมั่นใจว่า CHO มีศักยภาพมากพอที่จะรับงานดูแลรถเมล์ NGV ล็อตแรกเป็นอย่างดี
“ขณะนี้เราอยู่ในระหว่างการรอที่จะพูดคุยกับทางขสมก. ถึงในแง่การดูแลซ่อมบำรุงระยะ 6-10 ปี ซึ่งในช่วงเดือนพ.ค.ก็น่าจะมีหารือกัน โดยทางบริษัทมั่นใจว่าศักยภาพการทำงานซ่อมบำรุง บริษัทมีความพร้อมเต็มที่ ทั้งในแง่พื้นที่รองรับและประสบการณ์ทำงานรถใหญ่” นายนิติธร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเสนอแข่งราคาอี-อ๊อคชั่น เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา มีผู้เสนอราคา 2 ราย คือ กลุ่มกิจการร่วมค้า JVCC (บริษัท ช.ทวี ดอลลาเซียน จำกัด (มหาชน) หรือ CHO ถือหุ้น 50% และบริษัท ช.ทวีขอนแก่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CHO ถือหุ้น 50%) กับ บริษัท เบสท์รินกรุ๊ป จำกัด โดย CHO เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด ซึ่งผู้ที่ได้รับงานนี้ ต้องรับประกันการชำรุดบกพร่องจากการใช้งานตามปกติของรถโดยสารทั้งคันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี (โดยไม่จำกัดระยะทางการใช้งาน) เฉลี่ย 5 ไม่เกินจำนวน 925.91 บาท ต่อคันต่อวัน  ขณะเดียวกันต้องเสนอแผนการซ่อมบำรุงรักษา พร้อมค่าซ่อมบำรุงรักษารถโดยสารในอัตราต่อคันต่อวันตั้งแต่ปีที่ 6 ถึงปีที่ 10 โดยละเอียดด้วย
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) ขสมก. กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีการสรรหาผู้อำนวยการ ขสมก. ว่า ล่าสุดนายเพชร ชินบุตร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ชนะการสรรหาแล้ว ได้ทำหนังสือชี้แจงมายังคณะกรรมการสรรหาว่าขอถอนตัวจากการสรรหาครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่ายังมีภารกิจในหน่วยงานเดิมที่ค้างอยู่
อย่างไรก็ตามการถอนตัวของนายเพชรครั้งนี้ไม่ได้มีสาเหตุจากการยื่นอุทธรณ์เกี่ยวกับคุณสมบัติ ดังนั้นบอร์ดขสมก.จึงได้มอบหมายให้นางปราณี ศุกระศร รักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. ดำเนินการพิจารณาแนวทางการสรรหาผู้อำนวยการคนใหม่อีกครั้ง
ด้านนางปราณี  เปิดเผยว่า  ในการสรรหาผู้อำนวยการครั้งใหม่จะต้องหารือคณะอนุกรรมฝ่ายกฎหมายก่อน ควรเลื่อนผู้ได้คะแนนลำดับที่ 2 ต่อจากนายเพชรขึ้นมาพิจารณาได้หรือไม่ หรือควรเริ่มกระบวนการสรรหาใหม่ ซึ่งเบื้องต้นเห็นว่าควรเริ่มกระบวนใหม่ทั้งหมดจะเหมาะสมกว่า โดยในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการฝ่ายกฎหมาย หากได้ข้อสรุปก็สามารถกำหนดวันรับสมัคร โดยใช้เงื่อนไขการรับสมัครเดิม และรวมถึงคณะกรรมการคัดเลือกชุดเดิมเพื่อเสนอบอร์ด ขสมก.ในการประชุมครั้งหน้า

NMGฉีกพรบ.หลักทรัพย์ฯ ขวางผู้ถือหุ้นอริประชุม :"สุทธิชัย หยุ่น" เดินเกมรักษาอำนาจยาว

NMGฉีกพรบ.หลักทรัพย์ฯ
ขวางผู้ถือหุ้นอริประชุม
:"สุทธิชัย หยุ่น" เดินเกมรักษาอำนาจยาว 

2015-04-30 12:04:00
ผู้เข้าชม : 11

"NMG" ฉีกพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ขวางผู้ถือหุ้นฝ่ายอริไม่ให้เข้าร่วมประชุมสามัญวานนี้ อ้างประธานกรรมการบริษัทมีคำสั่ง ขณะที่การประชุมรวบรัดลงมติ 9 วาระรวด ห้ามซักถาม ฟาก "ทนายสุวัฒน์" เดินหน้าฟ้องทั้งแพ่งและอาญา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (29 เม.ย.) บรรยากาศการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 ของบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG ณ ห้องแลนด์มาร์ค บอลรูม ชั้น 7 โรงแรมเดอะแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ เกิดความวุ่นวายตั้งแต่ก่อนเริ่มการประชุมจริงในเวลา 14.00 น. เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของทาง NMG ไม่ยอมให้ผู้ถือหุ้นบางกลุ่มเข้ามาลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมประชุม
โดยขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารนั้น จะให้ผู้ถือหุ้นเข้าไปลงทะเบียนที่ชั้น 9 ของโรงแรม ขณะที่ห้องประชุมสามัญผู้ถือหุ้นอยู่ที่ชั้น 7 ซึ่งผู้ถือหุ้นทั้งที่มาเอง หรือรับมอบฉันทะ (พร็อกซี่) มา  ที่ทาง NMG เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับทางบริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NEWS และบริษัท โพลาริส แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) หรือ POLAR มายื่นเอกสารจะถูกกันตัวให้ไปอยู่ห้องขนาดเล็กซึ่งอยู่ใกล้กับจุดลงทะเบียน และเชิญให้กลับไป โดยบอกแค่เหตุผลสั้นๆ ว่า "ท่านประธานกรรมการบริษัทมีคำสั่งไม่ให้เข้าประชุมผู้ถือหุ้น" แม้ว่าผู้ถือหุ้นดังกล่าวจะมีเอกสารสิทธิมาครบถ้วนสมบูรณ์ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้สิทธิให้เข้าประชุมได้ลงมาประท้วงหน้าห้องประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งหน้าห้องประชุมผู้ถือหุ้นนั้นนอกจากจะมีเจ้าหน้าที่ของทาง NMG แล้ว ยังได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 20 กว่านายเข้ามาดูแลสถานการณ์ ซึ่งก่อนที่จะเริ่มเปิดประชุมผู้ถือหุ้นได้มีผู้ถือหุ้น  2 รายที่ไม่ได้สิทธิให้เข้าประชุม ได้ฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่ของทาง NMG เข้ามา และได้พยายามสอบถามถึง "จริยธรรมและความถูกต้อง" ของการไม่ให้ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิตามกฎหมายเข้าร่วมประชุม แต่กลับได้รับการตะโกนโห่ร้องและไล่ให้ออกจากห้องประชุม โดยผู้ถือหุ้น NMG ซึ่งได้รับสิทธิให้เข้าร่วมประชุมที่นั่งอยู่ภายในห้อง
เมื่อเปิดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นแล้ว "นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น" ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทของ NMG ทันที และบอกว่าทางคณะกรรมการบริหารของบริษัทได้รับทราบแล้ว และการประชุมวานนี้ทางตนและนายเสริมสิน สมะลาภา จะไม่ใช้สิทธิออกเสียงเพราะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และอยู่ในข้อขัดแย้งระหว่างผู้ถือหุ้น โดยนายสุทธิชัยยังนั่งอยู่บนเวทีการประชุมร่วมกับคณะกรรมบริษัทจนจบการประชุม ทั้งที่ประกาศว่าได้ลาออกจากประธานกรรมการบริษัทแล้ว และในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น NMG วานนี้ ได้แต่งตั้ง "นายณิทธิมล หัสดินทร ณ อยุธยา" เป็นประธานการประชุมแทน (เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 58)
สำหรับการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ NMG ในวานนี้ ได้มีผู้ถือหุ้นเข้าประชุมทั้งสิ้นจำนวน 933 ราย แบ่งเป็นผู้ถือหุ้นที่มาด้วยตนเอง จำนวน 233 ราย และผู้ถือหุ้นที่ได้รับมอบฉันทะจำนวน 700 ราย โดยมีจำนวนหุ้นรวมกันทั้งสิ้น 870 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 41.54% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นวานนี้ ผู้ถือหุ้น NMG ที่ไม่ได้สิทธิให้เข้าร่วมประชุมพยายามที่จะดันประตูเพื่อฝ่าเจ้าหน้าที่ของ NMG ที่กั้นไว้เพื่อเข้ามาตลอดเวลา ซึ่งวาระที่ 1 เรื่องพิจารณารับรองรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 นั้น ได้มีผู้ถือหุ้นรายหนึ่งซึ่งอยู่ในห้องประชุมได้ถามประธานในที่ประชุมผู้ถือหุ้นว่า การที่ไม่ยอมให้ผู้ถือหุ้นคนอื่นเข้ามาทั้งที่มีสิทธิตามกฎหมายนั้นท่านประธานจะเป็นผู้รับผิดชอบหรือไม่
นายณิทธิมล ในฐานะเป็นประธานการประชุม ตอบว่า จะรับผิดชอบ และเมื่อผู้ถือหุ้นรายเดิมถามว่าที่จะรับผิดชอบนั้นทั้งความผิดในเชิงกฎหมายอาญา และทางแพ่งเลยหรือไม่ ซึ่งประธานฯเลี่ยงไม่ตอบ แม้ว่าผู้ถือหุ้นรายเดิมจะพยายามซักถามต่อ แม้ว่าไมโครโฟนจะถูกตัดเสียงลง  และเมื่อเข้าสู่วาระที่ 2 พิจาณาอนุมัติและรับรองรายงานผลการดำเนินงานของบริษัท และวาระที่ 3 พิจารณาอนุมัติและรับรองงบการเงินประจำปี 2557 ซึ่งแม้ว่าผู้ถือหุ้นจะพยายามซักถามในระหว่างวาระ ทางประธานในที่ประชุมก็พยายามตัดบทและให้ซักถามแต่เรื่องที่อยู่ในวาระ
ต่อจากนั้น เมื่อเข้าสู่วาระที่ 4 พิจารณารับทราบการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ซึ่งทางผู้ถือหุ้นได้มีข้อซักถามว่าการเปลี่ยนแปลงข้อประชุมการถือหุ้นในวาระที่ 4 จากการปันผลประจำปีมาเป็นปันผลระหว่างกาล โดยไม่ได้แจ้งผู้ถือหุ้นล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วันนั้น  ได้มีการสอบถามทางตลาดหลักทรัพย์ฯไปหรือไม่ และทางตลาดหลักทรัพย์ฯได้อนุญาตหรือไม่ ซึ่งประธานฯไม่ได้ตอบคำถามในข้อนี้ และได้พยายามจะเลี่ยงไปยังวาระข้อที่ 5 พิจารณาแต่งตั้งผู้สอบบัญชีและกำหนดค่าตอบแทนของผู้สอบบัญชีประจำปี 2558
และเมื่อเข้าสู่วาระข้อที่ 6 พิจารณาแต่งตั้งกรรมการแทนกรรมการที่ต้องออกตามวาระนั้น มีผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้สิทธิให้เข้าประชุมผู้ถือหุ้นที่อยู่ด้านนอกได้เข้ามาเป็นบางคน โดยหนึ่งในนั้นบอกว่าเป็นตัวแทนจาก POLAR ซึ่งในวาระ 6 นี้ ประธานในที่ประชุมได้บอกว่าในวาระที่ 6 นี้ไม่ต้องลงมติ เพราะจะไม่เป็นธรรมกับผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม โดยเรื่องการแต่งตั้งกรรมการแทนกรรมการที่ต้องออกตามวาระนั้น มีความสำคัญจึงควรรอให้เป็นการประชุมครั้งหน้า
นอกจากนี้  ผู้ถือหุ้นที่เพิ่งได้เข้ามา ได้ร้องถามว่าใน 5 วาระที่ผ่านมาไม่มีความสำคัญหรืออย่างไร ถึงได้มีการลงมติ โดยไม่ยอมให้ผู้ถือหุ้นที่อยู่ด้านนอกได้เข้ามาร่วมลงมติด้วย ซึ่งประธานในที่ประชุมพยายามตอบว่า วาระที่ 6 มีความสำคัญ การจะพิจารณาใดๆ นั้นจะต้องมีธรรมาภิบาลและตรวจสอบได้ ทั้งนี้เมื่อมาถึงวาระที่ 7 พิจารณากำหนดค่าตอบแทนของกรรมการบริษัทประจำปี 2558 และวาระที่ 8 พิจารณาอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาท ก็มีการลงมติเห็นชอบให้บริษัทดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่วาระที่ 9 พิจารณาเรื่องอื่นๆ โดยวาระที่ 9.1 เพื่อทราบถึงปัญหาและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทุน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ตามที่สื่อสารมวลชนได้นำเสนอข่าว และวาระที่ 9.2 พิจารณาคุณสมบัติและพฤติกรรมของนายเสริมสิน สมะลาภานั้น ประธานในที่ประชุมได้บอกว่าเป็นการแจ้งให้รับทราบและไม่ต้องมีการลงมติ โดยได้ผ่านสองวาระนี้ไป และไม่เปิดโอกาสให้มีการซักถาม
ต่อมาวาระที่ 9.3 พิจารณาแต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติม เพื่อเข้าทำหน้าที่กำกับและตรวจสอบตลอดจนร่วมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ประธานในที่ประชุมให้ลงมติในความไม่เห็นด้วยกับวาระนี้  ซึ่งก็มีการลงมติเห็นด้วย และเมื่อจบวาระที่ 9.4 การพิจารณาให้ระงับการทำธุรกรรมที่มีลักษณะผิดปกติ อาทิ การเพิ่ม-ลดทุน การกู้ยืมเงิน รวมถึงการห้ามขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย และบริษัทร่วม จนกว่าการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาจะแล้วเสร็จ
อย่างไรก็ตาม หลังการประชุมจบวาระที่ 9.4 ทางคณะผู้บริหารของ NMG ก็ได้รีบเดินทางกลับโดยไม่มีการเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นหรือนักข่าวที่เข้าไปร่วมสังเกตการณ์เป็นจำนวนมากได้เข้ามาซักถาม
โดยภายหลังจากจบการประชุมผู้ถือหุ้น ทางผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสซักถามผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของ NMG ที่ไม่ได้สิทธิให้เข้าประชุมผู้ถือหุ้น คือ นายเอกชัย ชัยเวชกุล ซึ่งกล่าวว่า ตอนแรกผมได้เข้าไปในห้องประชุม เพราะเอกสารผมก็เป็นปกติ และไม่ได้เป็นนอมินีหรือเป็นตัวแทนของกลุ่มทุนรายใด แต่เมื่อเข้าไปในห้องประชุม พอเห็นเพื่อนผู้ถือหุ้นจำนวนมากที่ไม่ได้เข้ามาทั้งที่มีเอกสารสิทธิครบจึงออกไปดู ก็พอดีกับจังหวะที่ประธานในที่ประชุมกล่าวว่า ถ้าใครออกจากห้องประชุมนี้จะไม่ได้เข้ามาอีก ซึ่งผมก็สงสัยว่าทำไม
แต่พอประธานฯกล่าว่าเขามีสิทธิที่จะให้ใครเข้า หรือไม่เข้าห้องประชุมตามที่ประกาศ ผมก็ยิ่งสงสัยเข้าไปอีก ซึ่งสุดท้ายผมก็ได้เข้ามา เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งเจ้าหน้าที่ของ NMG ซึ่งอยู่ด้านนอกให้คนที่มีเอกสารปกติเข้ามา แต่ผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้สิทธิเข้าตั้งแต่แรกก็ไม่ได้เข้ามา เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่รายใดของ NMG ในจุดลงทะเบียนทำการลงทะเบียนให้ทั้งๆ ที่พวกเขาก็มีเอกสารครบ
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความในฐานะตัวแทนของ NEWS เปิดเผยว่า ในฐานะตัวแทนของ NEWS ที่ถือหุ้นใน NMG จำนวน 404 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 12.25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่งถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมประชุม ได้มีการรวมตัวกับผู้ถือหุ้นรายอื่นที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี และจะดำเนินการฟ้องร้องต่อไปภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะฟ้องทั้งในทางแพ่งและทางอาญา เพราะการกีดกันผู้ถือหุ้นมีความผิดอาญา และมีโทษจำคุก และห้ามดำเนินการบริหารในบริษัท
เนื่องจากถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการที่ผู้บริหาร NMG ไม่ยอมให้ตนเองและผู้ถือหุ้นอีกหลายรายเข้าร่วมประชุมนั้น เพราะน่าจะเป็นความกลัวว่าเราจะเข้าไปโหวตคัดค้านในวาระต่างๆ ซึ่งอาจจะไม่เป็นผลดีต่อเขา ยกตัวอย่าง การลงมติยกเลิกวาระที่ 9.3 พิจารณาแต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมเพื่อเข้ามาทำหน้าที่แทนกรรมการที่ลาออกไป แต่วาระที่ 4 พิจารณารับทราบการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลกลับคงไว้ สะท้อนเจตนาต้องการนำเงินออกจากบริษัทให้ได้
แต่อย่างไรก็ตาม ตนเองต้องกลับไปทำการการวิเคราะห์ว่า จะการยื่นฟ้องเพื่อเพิกถอน และยกเลิกมติการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นดังกล่าว จะมีผลทำให้กลุ่มผู้บริหารของ NMG จะรักษาอำนาจในการบริหารต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีกำหนด จนกว่าคดีความจะสิ้นสุดหรือไม่

JASกำไรพุ่ง1.27หมื่นล. อานิสงส์บุ๊คพิเศษJASIF

JASกำไรพุ่ง1.27หมื่นล.
อานิสงส์บุ๊คพิเศษJASIF

2015-04-30 

"จัสมินฯ" แจ้งงบไตรมาส 1/58 โชว์กำไรสุทธิพุ่ง 1,399% แตะ 12,771 ล้านบาท หลังบันทึกกำไรพิเศษ JASIF ขณะที่ลูกค้า 3BB เพิ่ม 80,948 ราย เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ดันลูกค้า 3BB สิ้นไตรมาส 1/58 พุ่ง 1.75 ล้านราย

นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จากัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/58 เมื่อบันทึกรายการที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF ทั้งหมดแล้ว บริษัทฯและบริษัทย่อยจะมีกำไรทั้งสิ้นอยู่ที่ 12,865 ล้านบาท เมื่อหักรายการกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนของบริษัทย่อยจำนวน 31 ล้านบาท
รวมทั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของ TTTBB และบริษัทย่อย จำนวน 60 ล้านบาท โดย TTTBB มีการเปลี่ยนการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้ที่มียอดค้างชำระจากเดิม 6 เดือน เป็น 3 เดือน, Deferred Tax ของบริษัทฯและบริษัทย่อย จำนวน 62 ล้านบาท และบริษัทฯได้สำรองประมาณการหนี้สินตามแผนฟื้นฟูกิจการเพิ่มเติมอีกจำนวน 3 ล้านบาท
ดังนั้น ส่งผลให้บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/58 อยู่ที่ 12,771 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,919 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,399% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/57 ที่บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 852 ล้านบาท   
ขณะเดียวกัน บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวมจากการดำเนินงานในไตรมาส 1/58 อยู่ที่ 3,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 478 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/57 ที่บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวมจากการดำเนินงานอยู่ที่ 2,996 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบรนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTTBB มีเงินรับจาก JASIF จำนวน 46,957 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดสุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายบางส่วนออกไปแล้ว ซึ่งในไตรมาส 1/58 JASIF มีรายได้รวม 654 ล้านบาท มีการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงานรวม 606 ล้านบาท โดยบริษัทฯจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก JASIF จำนวน 33%
สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการของ 3BB ในไตรมาส 1/58 มีจำนวนเพิ่มขึ้นสุทธิ 80,948 ราย (Net Additional Subscriber) เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/57 ที่มี 60,699 ราย ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/58 ลูกค้าที่ใช้บริการมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 1.75 ล้านราย
ก่อนหน้านี้ นายพิชญ์ กล่าวว่า ในปี 2558 ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20-25% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 12,411 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิเติบโต 15-20% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,271 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 350,000-360,000 ราย ทำให้สิ้นปีนี้มีลูกค้ากว่า 2 ล้านราย จากปีก่อนอยู่ที่ 1.67 ล้านราย เป็นลูกค้าเขตกรุงเทพฯ 30% และต่างจังหวัด 70%
ส่วนปี 2558 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 7,000 ล้านบาท เพื่อขยายโครงข่ายบรอดแบนด์ทั่วทุกตำบลทั้งประเทศ หรือ 7,000 ตำบล จากปีก่อนทำได้ 3,400 ตำบล และขยายการให้บริการครอบคลุมพื้นที่ 100% ซึ่งการที่บริษัทสร้างโครงข่ายที่มั่นคงแข็งแรงมีเสถียรภาพเป็นโครงข่ายที่สมบูรณ์เป็นของบริษัทเอง และการขยายงานด้านเทคโนโลยี ADSL และเทคโนโลยี FTTx ที่เติบโตมากยิ่งขึ้น เป็นผลให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้น

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

IRPCลุ้นQ1โต900% โชว์กำไร3.6พันล้าน :GIM พุ่ง 13 เหรียญฯ งบปีนี้เทิร์นอะราวด์

IRPCลุ้นQ1โต900%
โชว์กำไร3.6พันล้าน
:GIM พุ่ง 13 เหรียญฯ งบปีนี้เทิร์นอะราวด์

2015-04-29 12:05:00
ผู้เข้าชม : 9

"ไออาร์พีซี" ลุ้นไตรมาส 1/58 กำไรสุทธิพุ่ง 3,684 ล้านบาท โตขึ้น 971% รับผลบวก GIM ทะยาน 13 เหรียญฯ งบปี 58 พลิกกำไรทะลุ 8,000 ล้านบาท ซุกข่าวดีหนุนหุ้นตลอดปี

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/58 ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC จะมีโอกาสทำกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 3,684 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดไตรมาส 4/57 ที่ขาดทุนสุทธิ 5,779 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 971% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ได้กำไรสุทธิจำนวน 344 ล้านบาท
โดยฝ่ายวิจัยได้กำหนดมูลค่าพื้นฐานปี 2558 เท่ากับ 5.20 บาทต่อหุ้น พร้อมกับยังคงคำแนะนำ “ซื้อลงทุน” จากเติบโตอย่างแข็งแกร่งบนพื้นฐานใหม่ หลังจากจากแผนลงทุน Phoenix แล้วเสร็จ ซึ่งจะส่งผลให้ PER ในปี 2558 ปรับตัวลดลงเหลือ 11.5 เท่า และลดลงเหลือ 10.3 เท่าในปี 2559
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/58 ที่พลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิสูงถึง 3,684 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 4/57 ที่ขาดทุนสุทธิ เนื่องจากมีปัจจัยหนุนบันทึกขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน และ LCM เหลือเพียง 0.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือคิดเป็นมูลค่า 261 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าที่บันทึกขาดทุนถึง 16.04 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือมูลค่าราว 8.8 พันล้านบาท
ขณะที่ Market GIM ในงวดไตรมาส 1/58 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 25.9% จากไตรมาส 4/57 มาอยู่ที่ระดับ 13.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม Crack spread น้ำมันเตาและแนฟทาที่เพิ่มขึ้น รวมถึงได้รับอานิสงส์จาก Fuel loss (ค่าสูญสิ้นเปลือง) และ Crude Premium ทีปรับตัวลดลง ดังนั้น จะช่วยหนุนมาร์จิ้นรวมอีกราว 2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนสเปรดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีโดยรวมปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ IRPC ยังบันทึกรายได้พิเศษจากการบันทึกกลับค่าเผื่อหนี้สูญที่เคยบันทึกไว้ก่อนหน้านี้แล้วเป็นจำนวน 2.6 พันล้านบาท เนื่องจากลูกหนี้ได้นำที่ดินมาขอชำระหนี้แทน บันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นราว 145 ล้านบาท ดังนั้น โดยรวมแล้วคาดกำไรสุทธิงวด 1/58 จะคิดเป็น 45.8% ของประมาณการทั้งปี 2558
ฝ่ายวิจัย กล่าวอีกว่า ภาพรวมงบปี 2558 ได้คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 8,043 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดปี 2557 ที่ขาดทุนสุทธิ 5,235 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 1/58 น่าจะเป็นการทำระดับสูงสุดของปีจากค่าการกลั่นที่อยู่ในช่วงฤดูกาลไฮซีซั่นและมีการบันทึกรายได้พิเศษระดับสูง
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาแนวโน้มกำไรจากการดำเนินปกติในช่วงที่เหลือของปี ประเมินจะยังประคองตัวได้ในระดับสูงต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 2/58 ค่าการกลั่นยังได้รับปัจจัยหนุนจากการหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงประจำปีของโรงกลั่นหลายแห่งทั่วโลก
ขณะที่แนวโน้มสเปรดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกลับมาดีดตัวขึ้นแรงยืนเหนือ 800 เหรียญสหรัฐต่อตันได้อีกครั้ง ทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ PE (Polyethylene) และ PP (Polypropylene) ทำให้แนวโน้มกำไรปกติงวดไตรมาส 2/58 น่าจะยังอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับงวดไตรมาส 1/58 ได้
ส่วนในช่วงไตรมาส 3/58 คาดธุรกิจโรงกลั่นจะได้รับแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น รวมถึงยังมีซัพพลายใหม่เกิดขึ้นถึง 3 แห่ง กำลังการผลิตรวมราว 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะเข้ามาช่วยพยุงภาพรวมของกำไรได้จากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเมื่อเทียบครึ่งแรกปี 2558
นอกจากนี้ ในงวดไตรมาส 4/58 คาดจะได้รับปัจจัยหนุนหลักจากโครงการ UHV (Phoenix Projects) ที่จะแล้วเสร็จ โดยเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ต้นงวดไตรมาส 4/58 ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันได้ขั้นต่ำ 2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อีกทั้งในงวดครึ่งหลังปี 2558 คาดหวังจะมีการบันทึกรายการพิเศษเกิดขึ้นซึ่งฝ่ายวิจัยยังไม่รวมไว้ในประมาณการ ได้แก่ เงินชดเชยจากการเคลมประกันในส่วนที่เหลืออีกราว 1.7 พันล้านบาท กำไรจากการขายที่ดินที่ยังคงเหลืออยู่ และกำไรจากสต๊อกน้ำมัน เป็นต้น

AOTจ่อประมูลใหม่

AOTจ่อประมูลใหม่

2015-04-29 12:00:00
ผู้เข้าชม : 3

: พื้นที่เชิงพาณิชย์อ.2 สนามบินดอนเมือง

ประธานบอร์ด AOT จ่อเปิดประมูลใหม่ พื้นที่เชิงพาณิชย์อาคารผู้โดยสาร 2 วงในยันไม่กระทบ "คิงเพาเวอร์-เดอะมอลล์"

นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพกร ในฐานะประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ (29 เม.ย.) ตนพร้อมด้วยนายนิตินัย ศิริสมรรถการ ผู้อำนวยการใหญ่ AOT จะลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินการปรับปรุงพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อเร่งรัดให้สามารถเปิดบริการอาคารผู้โดยสาร 2 ได้ในเดือนสิงหาคมนี้  ซึ่งจะช่วยลดความแออัดของอาคารผู้โดยสาร 1 พร้อมกันนี้ จะตรวจดูพื้นที่เชิงพาณิชย์ในอาคารผู้โดยสาร 2 ที่เพิ่มขึ้น เพื่อจัดแบ่งเป็นโซนนิ่งให้มีความสะดวกในการให้บริการ และทำการเปิดประกวดราคาคัดเลือกผู้ประกอบการเข้ามาให้บริการ
แหล่งข่าวจาก AOT เปิดเผยว่า  แนวทางการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ท่าอากาศยานดอนเมืองนั้น จะนำพื้นที่ทั้งหมด คือ อาคาร 1, 2 มาจัดโซนนิ่งใหม่ พร้อมทั้งกำหนดอัตราค่าเช่าใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น แต่จะไม่เกี่ยวกับสัญญาสัมปทานพื้นที่ร้านค้าปลอดภาษีของบริษัท คิงเพาเวอร์ และบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผู้ประกอบการพื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่ได้ดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยมีอายุสัญญา 10 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม  2555-30 กันยายน 2565
ทั้งนี้เฉพาะพื้นที่เชิงพาณิชย์ในอาคารผู้โดยสาร 2 นั้นมีประมาณ 24,000 ตารางเมตร โดย AOT ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเข้ามาช่วยจัดสรรพื้นที่พร้อมกำหนดอัตราค่าเช่าใหม่  และ AOT ต้องขยายอายุสัญญาเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบการทุกรายที่จะหมดอายุสัญญาตั้งแต่เดือนเมษายน 2558 ออกไปอย่างน้อยถึงเดือนกันยายน 2558 เพื่อรอให้การปรับปรุงอาคารผู้โดยสารและการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองระยะ 2 แล้วเสร็จ จากนั้นจะนำพื้นที่ทั้งหมดมาประกวดราคาใหม่ และเริ่มสัญญาเช่า พร้อมกัน ซึ่งจะทำให้ AOT มีรายได้จากพื้นที่เชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น
สำหรับแผนพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองระยะ 2 วงเงิน 3,304 ล้านบาท ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 18.5 ล้านคนเป็น 30 ล้านคนต่อปี  โดย  AOT ได้ปรับการดำเนินงานจากวิธีพิเศษเป็นการเปิดประกวดราคาเพื่อความโปร่งใสทำให้การเปิดให้บริการล่าช้าจากภายในปี 2557 เป็นเดือนตุลาคม 2558

สุทธิชัยเปิดศึก NEWSแย่งNMG เล่นแง่ล้มเกม

สุทธิชัยเปิดศึก
NEWSแย่งNMG
เล่นแง่ล้มเกม

2015-04-29 12:00:00
ผู้เข้าชม : 6

"สุทธิชัย หยุ่น" เปิดศึก "NEWS" ชิง NMG ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นวันนี้ ลุ้นระทึกผลออกมาปรองดอง หรือแตกหัก หลังบอร์ด NMG เล่นแง่มีมติแก้ไขและเพิ่มวาระนอกเหนือหนังสือเชิญประชุม ฟาก NEWS เตรียมฟ้องบอร์ด NMG

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (29 เม.ย.) บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG จะมีการจัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 ขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นการประชุมที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เพราะคงจะมีการชิงไหวชิงพริบช่วงชิงเสียงสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น  และถือเป็นนัดชี้วัดกันเลยระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มใหม่อย่างบริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NEWS (ชื่อเดิมบริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) จำกัด (มหาชน) หรือ SLC) ซึ่งถือหุ้นอันดับหนึ่ง 12.21% กับผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มเดิมอย่างนายสุทธิชัย แซ่หยุ่น ที่ถือหุ้นเป็นอันดับสองที่ 10.01% โดยต้องติดตามผลประชุมดังกล่าว จะออกมาแบบจะปรองดองกันได้ หรือแตกหักกันไปเลย
ทั้งนี้ เพราะก่อนการประชุมผู้ถือหุ้นเพียง 2 วัน ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2558 ของ NMG เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2558 มีมติเปลี่ยนแปลงและวาระการประชุมเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งอยู่นอกเหนือวาระการประชุมที่ระบุอยู่ในหนังสือเชิญประชุมที่ส่งให้กับผู้ถือหุ้นก่อนหน้านี้  
สำหรับมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2558 ของ NMG เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2558 ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ มีออกมา 2 มติ คือ เรื่องการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และการแก้ไขเพิ่มเติมวาระการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558
โดยรายละเอียดมติสำคัญใน 2 กรณีดังกล่าว คือ 1.มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล โดยบริษัทจะนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อรับทราบ แทนการพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานประจำปีตามที่ได้เสนอไว้เดิมต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 โดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นทั้งปวง และเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับผู้ถือหุ้นจากความไม่ราบรื่นที่อาจเกิดขึ้นในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 และ 2.ให้บรรจุระเบียบวาระต่างๆ ตามที่มีกลุ่มผู้ถือหุ้นได้มีหนังสือขอให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น โดยบรรจุเป็นวาระย่อยของระเบียบวาระที่ 9
ขณะที่ NEWS ในฐานะผู้ถือหุ้นของ NMG ระบุว่า มติของคณะกรรมการดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นการปฏิบัติที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมาย กล่าวคือ ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พุทธศักราช 2535 มาตรา 101 บัญญัติให้การเรียกประชุมผู้ถือหุ้นนั้นให้คณะกรรมการจัดทำหนังสือนัดประชุม ระบุสถานที่ วัน เวลา ระเบียบวาระการประชุมและเรื่องที่กล่าวเสนอต่อการประชุมพร้อมด้วยรายละเอียดตามสมควร จัดส่งให้ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 7 วันก่อนวันประชุม
โดยการที่คณะกรรมการมีมติในเรื่องการเปลี่ยนแปลงการจ่ายเงินปันผล ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอันควรให้สิทธิผู้ถือหุ้นเป็นผู้พิจารณา ตามมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นการรับทราบการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ซึ่งดำเนินการโดยคณะกรรมการของบริษัท ถือว่าเป็นการจงใจและเจตนาลิดรอนสิทธิของผู้ถือหุ้น และเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ขัดต่อหลักกฎหมาย หลักคุณธรรม และหลักธรรมาภิบาลทั้งยังอาจเป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์
เนื่องจากกรรมการของบริษัทหลายคน ก็เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทอยู่ด้วย ซึ่งจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการดำเนินการในครั้งนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่กรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบ จะต้องรับผิดชอบในการพิจารณาความโปร่งใสของการออกมติดังกล่าว รวมถึงการเพิ่มระเบียบวาระย่อยในวาระที่ 9 ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสำคัญทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อบริษัทได้จัดส่งหนังสือนัดประชุมผู้ถือหุ้น โดยกำหนดระเบียบวาระการประชุมไว้แล้วบริษัทจึงไม่อาจใช้มติคณะกรรมการเพื่อเปลี่ยนแปลงวาระการประชุมที่มีนัยสําคัญ และกระทบสิทธิ์ผู้ถือหุ้นได้
นอกจากนี้ NEWS ระบุว่า หากการกระทำใดของคณะกรรมการบริษัทที่ได้มีการดำเนินการไปแล้ว หรือจะมีการดำเนินการใดๆ ต่อไปนั้น ส่งผลทำให้การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 ซึ่งกำหนดนัดประชุมในวันที่ 29 เม.ย. 2558 ไม่สามารถดำเนินการได้ หรืออาจส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อการลงมติของผู้ถือหุ้น หรือทำให้การประชุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีการกระทำอย่างใดๆ อันมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย 
โดย NEWS มีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้น ร้องขอให้บริษัทดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับคณะกรรมการบริษัท เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายให้แก่บริษัทตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด ฯ มาตรา 85 รวมทั้งขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับคณะกรรมการบริษัท ในความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พุทธศักราช 2535 มาตา 89/7 และมาตรา 311 ต่อไป

ผู้ถือหุ้นJASใจดีแจกW3Jas

ผู้ถือหุ้นJASใจดีแจกW3
เปิดต่างชาติถือหุ้น20%

2015-04-29 12:03:00
ผู้เข้าชม : 3

ผู้ถือหุ้น JAS ไฟเขียวแจก W3 ไม่เกิน 3.5 พันล้านหน่วย อัตราส่วน 2.04 หุ้นเดิมต่อ 1 วอร์แรนต์ ลุยเจรจาพันธมิตรต่างชาติ 5-6 ราย ถือหุ้น 15-20% เพื่อร่วมทำ 4G คาดสรุปได้ครึ่งหลังปีนี้ ส่วนกำไรไตรมาส 1/58 ใกล้เคียงไตรมาส  1/57

นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จากัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2558 เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2558 ที่ผ่านมา มีมติเสียงข้างมากอนุมัติการออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 3 (JAS-W3) จำนวนไม่เกิน 3,497,332,189 หน่วย อายุ 5 ปี ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) ในอัตราส่วนการจัดสรรที่หุ้นสามัญเดิม สัดส่วน 2.04 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิฯ โดยบริษัทจะไม่ได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิฯ จากหุ้นที่บริษัทได้ซื้อคืนเป็นจำนวน 142,730,000 หุ้น
ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหน่วยละ 0 บาท โดยมีอัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิฯต่อ 1 หุ้น ราคาใช้สิทธิ 4.30 บาทต่อหุ้น  (เว้นแต่ในกรณีมีการปรับสิทธิ) ในกรณีที่มีเศษของหุ้นหรือใบสำคัญแสดงสิทธิ จากการคำนวณ (หากมี) ให้ปัดเศษทิ้ง โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิซื้อหลักทรัพย์แปลงสภาพ คือ วันที่ 25 มิ.ย. 2558
นอกจากนี้ อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 1,748,666,094.50 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 3,568,697,189 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 5,317,363,283.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนสามัญจำนวน 3,497,332,189 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิฯ JAS-W3
นายพิชญ์ กล่าวว่า ในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างชาติประมาณ 5-6 ราย เพื่อให้เข้ามาถือหุ้น JAS ในสัดส่วน 15-20% โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงครึ่งหลังปี 2558 เนื่องจากบริษัทเตรียมเข้าประมูล 4G ที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง  กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะเปิดประมูลในช่วงปลายปีนี้
"พาร์ตเนอร์ที่จะเข้ามาร่วมทำ 4G ขณะนี้เรายังคุยอยู่ 5-6 ราย การเข้ามาจะมาพร้อมเงินลงทุนและ know how คงเข้ามาถือหุ้น JAS เหมือนที่ China Mobile เข้าถือหุ้นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ซึ่งราคาขายมีพรีเมี่ยม และพาร์ตเนอร์คงเข้ามาเสริมธุรกิจให้เรา เพราะ Cash Flow เรามีเพียงพอ โดยปัจจุบันมีเงินสดในมือประมาณ 10,000 ล้านบาท" นายพิชญ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าหากได้รับใบอนุญาต 4G จะสามารถทำกำไรได้ในปีแรกที่เริ่มดำเนินการ เพราะบริษัทมีฐานลูกค้าบรอดแบนด์อยู่แล้ว 1.7 ล้านราย และคาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 2 ล้านราย ประกอบกับบริษัทไม่มีลูกค้าระบบ 2G ทำให้จำนวนคลื่นที่ประมูลได้มาจะสามารถรองรับการการใช้งานดาต้าในระบบ 4G ได้ครบทั้ง 20 ล้านราย ขณะเดียวกันบริษัทจะมีการให้บริการด้านเสียงด้วย แต่จุดขายจะเป็นการให้บริการดาต้า
ดังนั้น หากบริษัทประมูลได้ใบอนุญาต 4G จะสามารถดำเนินธุรกิจ Mobile Broadband 4G ต่อยอดธุรกิจปัจจุบันคือธุรกิจ Fixed Broadband ซึ่งบริษัทขึ้นมาเป็นอันดับ 2 แทนที่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT และมี Wifi กว่า 1 แสนจุด
ขณะที่มีคู่แข่งที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3 ราย ในปัจจุบัน ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ที่ยังไม่มีการให้บริการ 4G เนื่องจากมีจำนวนคลื่นความถี่ไม่เพียงพอรองรับ 3G ส่วนบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC มีลูกค้า 4G จำนวน 600,000 ราย และ TRUE มีลูกค้า 4G จำนวน 800,000 ราย ซึ่งบริษัทพร้อม Industry Challenge กับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3 รายที่มีอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ โอกาสทางธุรกิจยังมาจากแนวโน้มการใช้บริการดาต้าสูงขึ้น ตามแนวโน้มการใช้สมาร์ทโฟน ซึ่งปัจจุบันคนไทยใช้สมาร์ทโฟนกว่า 30 ล้านเครื่อง และมีโทรศัพท์มือถือที่รองรับระบบ 4G ได้มากขึ้น ขณะที่อัตราการใช้มือถืออยู่ที่ 143% ของประชากรไทยทั้งหมด หรือเท่ากับ 96 ล้านซิม โดย 50% ของ 96 ล้านซิม เป็นผู้ใช้งานดาต้าเป็นหลัก
"จุดแข็งของ JAS คือเราไม่ได้เริ่มจากศูนย์ ทุกคนมองว่าเราไม่สามารถให้บริการมือถือได้ แต่ JAS มีไฟเบอร์ออพติก มีพนักงานและวิศวกรที่ดูแลและซ่อมบำรุงได้กว่า 6,500 คน มีช็อป 3BB อยู่กว่า 300 แห่ง รวมทั้งเราจะคุมต้นทุน" นายพิชญ์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/58 คาดว่ากำไรจะใกล้เคียงกับในไตรมาส 1/57 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 851.75 ล้านบาท ทั้งนี้ไม่รวมกำไรพิเศษจากการนำสินทรัพย์ขายเข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF)
สำหรับปี 2558 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 7,000 ล้านบาท เพื่อขยายโครงข่ายบรอดแบนด์ทั่วทุกตำบลทั้งประเทศ ซึ่งการที่บริษัทสร้างโครงข่ายที่มั่นคงแข็งแรงมีเสถียรภาพเป็นโครงข่ายที่สมบูรณ์เป็นของบริษัทเอง และการขยายงานด้านเทคโนโลยี ADSL และเทคโนโลยี FTTx ที่เติบโตมากยิ่งขึ้น เป็นผลให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้น

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

อนาคตหุ้นปันผล

อนาคตหุ้นปันผล

2015-04-28 12:03:00
ผู้เข้าชม : 7

พลวัตปี2015: วิษณุ โชลิตกุล                      

ปีนี้กระแสการจ่ายหุ้นปันผลมาแรงขึ้นเรื่อยๆ ถือว่า เป็นทั้งข่าวดีในระยะสั้น และข่าวร้ายในระยะยาวไม่เพียงแค่บริษัทขนาดเล็กเท่านั้นที่นิยมกระทำ ด้วยเหตุผลว่ามันช่วยประคองราคาหุ้น เพราะบางบริษัทเล่นเกมวิศวกรรมการเงินมากถึงขั้นปันผลเป็นหุ้น แล้วยังแจกวอร์แรนต์แถมอีกในสัดส่วนที่กำหนด แต่บริษัทขนาดใหญ่ ที่อ้างว่าต้องการเก็บเงินสดไว้กับบริษัท ก็ยังโหนกระแสตามมาอีกด้วย
โดยปกติ และตามจารีตทางบัญชี การจ่ายเงินปันผลคือภาพสะท้อนความแข็งแกร่งของความสามารถทำกำไร แต่มาระยะหลัง นักการเงิน และผู้บริหารบริษัท กลับมองเห็นว่าการจ่ายหุ้นผันผล (แถมพ่วงด้วยเงินสดเพื่อเอาไปเสียภาษีอีกเล็กน้อย) เป็นทางเลือกที่ไม่จำเป็นต้องสะท้อนความแข็งแกร่งทางการทำกำไรอะไร
ผลลัพธ์คือ การจ่ายหุ้นปันผลกลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่จะรักษาเงินสดเอาไว้ในบริษัท แล้วเป็นการเพิ่มทุนโดยตรงโดยที่ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นราย่อยรู้สึกขุ่นเคือง แถมยังทำให้รายใหญ่สามารถรักษาสัดส่วนการถือครองหุ้นโดยไม่ต้องจ่ายเงินสดเพิ่มเติมจากกระเป๋าของตนเอง
วิธีคิดจ่ายหุ้นปันผลมากกว่าจ่ายเงินสด เกิดจากแนวคิดง่ายๆ ที่ว่า  หากบริษัทสามารถรักษาไม่ต้องจ่ายเงินสด เอาเงินสดไปขยายกิจการต่อ โดยไม่ต้องกู้เงินเพิ่ม หรือไม่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ทำให้ได้รายได้เพิ่ม บางครั้งจะไม่ดีต่อผู้ถือหุ้นที่อยากได้เงินสดมากกว่าได้หุ้น
ข้ออ้างที่นำมาใช้จ่ายปันผลด้วยหุ้น จึงมักจะอ้างว่า การจ่ายปันผลมากๆ เป็นเงินสด มีโอกาสที่ในระยะยาวจะบั่นทอนความสามารถในการเติบโตของกิจการได้ โดยจะเห็นว่าที่เติบโตแรงๆ มักจะมีนโยบายปันผลไม่ถึง 50% ของกำไร เพราะต้องเอาไปขยายกิจการ แต่นั่นก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น ข้อเท็จจริงอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ดังที่เรารู้กันดีบริษัททุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะมีการเปิดเผยนโยบายเงินปันผลอยู่แล้ว  โดยบริษัทจะบอกว่าบริษัทจะจ่ายเป็นเท่าไรของกำไรสุทธิ เช่น ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนจะได้ในเว็บของตลาด หรือของบริษัท ที่จะมีข้อกำหนดให้แจ้งเรื่องนโยบายเงินปันผลเอาไว้
หุ้นปันผลจึงเป็นการพยายามรักษาพันธะสัญญาของกรรมการบริษัท ที่มีต่อผู้ถือหุ้น หากกำไรแล้วไม่ทำตามที่สัญญาก็จะมีปัญหาตามมาในเรื่องศรัทธานักลงทุน ในยามที่บริษัทเองก็ต้องการเงินสดเพื่อดำเนินการต่อไป ไม่อยากเอาเงินสดมาปันผลอย่างเดียวมากเกินขนาด
ทางออกของกิจการที่มีกำไรไม่มาก และมีปัญหาสภาพคล่อง แต่ไม่อยากกู้เงินเพิ่มเติมของบริษัทต่างๆ ด้วยการเลี่ยงมาจ่ายเงินปันผลออกมา แต่ไม่ได้จ่ายในรูปแบบของเงินสด แต่จ่ายเป็นหุ้นแทน ซึ่งมันก็คือการเพิ่มจำนวนหุ้นที่จะส่งผลให้ในอนาคต ราคาหุ้นจะไดลูทลงมา เป็นเรื่องปกติ แต่ในเรื่องของมูลค่าของผู้ถือหุ้นแล้วไม่ได้เสียหายอะไร เพราะเป็นเรื่องวิน-วิน สำหรับทุกฝ่าย คือบริษัทรักษาเงินสด ผู้ถือหุ้นได้หุ้นในมือเพิ่ม
กุญแจสำคัญของการจ่ายปันผลเป็นหุ้นก็คือ ความสนใจของนักลงทุนต่ออัตรากำไรสุทธิจะถูกเบี่ยงเบนไป ทั้งที่จุดดังกล่าวเป็นกุญแจสำคัญที่จะเข้าใจฐานะที่แท้จริงของกิจการได้ในระดับสำคัญเลยทีเดียว
สิ่งที่นักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อย มักจะหลงลืมกันไปก็คือว่า หลังจากจ่ายปันผลเป็นหุ้นไปแล้ว จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราส่วนทำกำไรของบริษัท เพิ่มขึ้นหรือลดลงมากน้อยเท่าใด
หากลดลงมากก็แสดงว่าเงินที่เอาไปใช้โดยอ้างว่าเพื่อรักษาความสามารถของกิจการเอาไว้ ไม่ได้ใช้ไปเกิดดอกออกผลมากนัก ประเด็นดังกล่าว ทำให้นักลงทุนต้องระลึกถึงอยู่เสมอว่า กิจการที่จ่ายหุ้นปันผลควรเป็นกิจการที่โตสม่ำเสมอ และมีแผนการขยายกิจการที่ชัดเจนเป็นประจักษ์ไม่ใช่สูตรสำเร็จสำหรับทุกกิจการ ดังที่มีการทำจนเป็นเรื่องกลายเป็นกระแสในปัจจุบันจนเกร่อ
ข้อสังเกตของเซียนหุ้นอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ บริษัทที่จ่ายหุ้นปันผลแล้วจะโตได้ในระยะยาว จะต้องเป็นกิจการที่เติบโตเฉลี่ยปีละเป็นตัวเลข 2 หลักขึ้นไป ไม่ใช่กิจการที่ขาดเงินสด แล้วเลือกเอาการจ่ายเป็นหุ้นแทน ซึ่งมีแต่จะทำให้มูลค่าผู้ถือหุ้นในระยะยาวย่ำแย่ไปด้วย
ยิ่งบางกิจการ ไม่ใช่จ่ายหุ้นปันผลเท่านั้น หากยังคิดไปไกลถึงขั้นเล่นเกมการเงินยาวด้วยการแตกพาร์พร้อมไปอีก เพื่อเพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้น หรือพูดง่ายๆ ดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น โดยอ้างว่าการเพิ่มจำนวนหุ้นแบบนี้ และจ่ายปันผลเป็นหุ้น จะทำให้มาร์เก็ตแคปของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ยามที่กระแสจ่ายปันผลเป็นหุ้นกำลังคึกคัก การทบทวนเรื่องนี้ก็มีความสำคัญสำหรับนักลงทุน เพราะอนาคตของการจ่ายปันผลด้วยหุ้นนั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ยากจะหยุดยั้งได้
เว้นเสียแต่ว่านักลงทุนไม่เอาด้วย หรือไม่ยอมเล่นเกมตามที่กรรมการหรือผู้บริหารบริษัทกำหนด ภายใต้การชี้นำของที่ปรึกษาการเงิน เพราะทนไม่ไหวที่เพิ่มทุนๆๆๆ ไปเรื่อยๆ แล้วราคาหุ้นแน่นิ่งหรือถดถอยลงไป
ในกระแสสูงเช่นนี้ นักลงทุนคงต้องใคร่ครวญด้วยการทำการบ้านให้ดีว่า จะยอมเล่นเกมนี้ตามบริษัทหรือ โดยมีผลประโยชน์และมูลค่าผู้ถือหุ้น

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

ตลาดหุ้นเอเชียเมินข้อมูลจากจีน

ตลาดหุ้นเอเชียเมินข้อมูลจากจีน

2015-04-24 12:01:00

:โตเกียวและโซลปิดสูงสุดในรอบหลายปี

ซีเอ็นบีซี - หุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นเมื่อวานนี้  ตลาดโตเกียวและโซลปิดสูงสุดในรอบหลายปี แม้ว่าผลการสำรวจของเอกชนรายหนึ่งชี้ว่า กิจกรรมในภาคผลิตของจีนต่ำสุดในรอบหนึ่งปี

การอ่านค่ากิจกรรมโรงงานจีนในเบื้องต้นของเอชเอสบีซีในเดือนเมษายนอยู่ที่ 49.2 จากที่รอยเตอร์ประมาณการไว้ 49.6 และเมื่อเดือนที่ผ่านมา ข้อมูลของรัฐบาลจีนชี้ว่า ดัชนีผู้จัดการจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ของทางการจีนเพิ่มขึ้นเป็น 50.1 ซึ่งดีกว่าดัชนีพีเอ็มไอที่อ่านค่าครั้งสุดท้ายของเอชเอสบีซี ซึ่งอยู่ที่  49.6  นั่นชี้ว่าภาคผลิตอันกว้างใหญ่ของจีนหดตัว
เมื่อคืนวันพุธ หุ้นสหรัฐฯปิดสูงขึ้นประมาณครึ่งเปอร์เซ็นต์ และปิดฉากการซื้อขายอย่างผันผวนเมื่อนักลงทุนวิเคราะห์ผลกำไรที่ออกมาคละเคล้ากันไปทั้งดีและไม่ดี และสัญญาณที่มีความแข็งแกร่งในตลาดที่อยู่อาศัย
ข้อมูลภาคผลิตที่สดใสน้อยกว่าที่คาด ทำให้ตลาดหุ้นจีนซื้อขายอย่างผันผวนเมื่อวานนี้  ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ปิดเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากที่ดัชนีเคลื่อนไหวระหว่างบวกและลบ ในขณะเดียวกัน ดัชนีฮั่งเส็งซื้อขายครั้งสุดท้ายในแดนกลางๆ หลังจากที่ดีดตัวขึ้นไปถึง 280 จุดในช่วงเช้า
หุ้นที่เกี่ยวกับสื่อและผู้ผลิตเหล็ก เป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมากสุด  ขณะที่บริษัทการเงินเป็นกลุ่มที่มีการซื้อขายในแดนลบ  ส่วนในฮ่องกง หุ้นกาสิโนปรับตัวลงมากสุด
ตลาดหุ้นจีนได้ปรับตัวขึ้นประมาณ 80% ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาแม้ว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลงต่ำสุดในรอบ 6 ปี โดยโตเพียง 7% ในช่วงไตรมาสหนึ่ง  หนังสือพิมพ์พีเพิลส์ เดลี่ ของทางการจีนได้แสดงความเห็นว่า ตลาดกระทิงของจีนเพิ่งเริ่มต้น และการดีดตัวของราคาหุ้นได้รับแรงหนุนจากการปฏิรูปเศรษฐกิจและกลยุทธ์ในการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ของจีน
ดัชนีนิกเกอิปรับตัวขึ้น 0.3% และยังคงดีดตัวเหนือ 20,000 จุด เมื่อวานนี้ โดยปิดสูงสุดในรอบ 15 ปี เป็นวันที่สองติดต่อกัน
สแตน ชามุ นักกลยุทธ์ตลาด บริษัทไอจี กล่าวว่า ดัชนีนิกเกอิ ได้ดีดตัวขึ้น 33% ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา และนั่นเป็นเพราะว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นและรัฐบาลอาเบะกำลังทำงานในหน้าที่เดียวกันด้วยการกระตุ้นนโยบายคลังและนโยบายเงิน   สิ่งที่จะยังคงทำให้ดัชนีนิกเกอิ ปรับตัวขึ้นคือสัญญาณที่ชี้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นกำลังพิจารณากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มอีกเนื่องจากไม่สามารถทำให้เงินเฟ้อถึง 2% ตามเป้าภายในกรอบเวลาสองปี
บริษัทโบรกเกอร์และประกันยังคงเรียกคำสั่งซื้อจากนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นวันที่สองติดต่อกัน แต่โซนี่ปรับตัวลง 1.6% โดยสูญเสียแรงส่งจากข่าวที่ว่า บริษัทกำลังเพิ่มประมาณการกำไรเป็นครั้งที่สองในรอบสามเดือนเนื่องจากยอดขายวิดีโอ เกม และกล้องดิจิตอล ดีขึ้น
ดัชนีคอสปิ ปิดเพิ่มขึ้น 1.4% หลังจากที่ปรับตัวขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดวันจนปิดสูงสุดในรอบสามปีครึ่ง ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ผลประกอบการบริษัทดีกว่าที่คาด
 บริษัทแอลจี ดิสเพลย์ดีดตัวขึ้น เกือบ 3% หลังจากรายงานว่า กำไรไตรมาสหนึ่งดีที่สุดในรอบกว่า 4 ปี เมื่อค่ำวันพุธ  ขณะเดียวกันหุ้นฮุนได มอเตอร์ก็ปรับตัวขึ้น 3.2%  โดยกำไรสุทธิในช่วงไตรมาสหนึ่งดีกว่าที่คาดที่ 1.91 ล้านล้านวอน ทั้งที่กำไรสุทธิลดลงจากปีก่อนหน้า 1%
ขณะเดียวกัน  เศรษฐกิจเกาหลีใต้ ดีกว่าที่คาด โดยขยายตัว 0.8% ในช่วงไตรมาสเดือนมกราคม-มีนาคม จากที่ขยายตัว 0.3% ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า  และเมื่อวัดเป็นรายปี เกาหลีใต้โต 2.4% ในช่วงไตรมาสหนึ่ง ซึ่งตรงกับประมาณการของรอยเตอร์ แต่โตช้าสุดนับตั้งแต่ไตรมาสเดียวกันในปี 2556
ตลาดออสเตรเลีย ปรับตัวขึ้น 0.1% โดยสามารถดีดตัวขึ้นได้ในชั่วโมงสุดท้าย เมื่อหุ้นเหมืองแร่ดีดตัวกลับมาซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบที่ข้อมูลใหม่จากจีนน่าผิดหวัง  บริษัทเหมืองแร่ยินดีที่ราคาแร่เหล็กดีดตัวขึ้นในชั่วข้ามคืน จึงสร้างแรงหนุนให้กับตลาดออสเตรเลีย อย่างไรก็ดี หุ้นธนาคารปรับตัวลงต่อเพราะยังคงได้รับผลกระทบจากข้อมูลเงินเฟ้อไตรมาสหนึ่งที่ไม่ได้สนับสนุนให้มีการลดดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคม