ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: SAMARTไตรมาส1เด้ง
ได้ดีSIMขายมือถือทะลัก
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 11 เมษายน 2557
ผู้เข้าชม : 7 คน
"SAMART" แย้มงบไตรมาส 1/57 แจ่ม รับอานิสงส์ SIM มียอดขายมือถือทะลัก ลั่นไตรมาส 2-3 โตกว่านี้ หลังทีวีดิจิตอลหนุน พร้อมดันบริษัทย่อย "OTO" ขายไอพีโอ 80 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5.40 บาท จ่อเข้าเทรด mai วันที่ 15 พ.ค.นี้
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART กล่าวว่า ผลการดำเนินของบริษัทในช่วงไตรมาส 1/2557 เติบโตดี เนื่องจากในเดือน มี.ค. 2557 เพียงเดือนเดียว บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM มียอดขายโทรศัพท์มือถือกว่า 1,000 ล้านบาท ประกอบกับในช่วงหลังสงกรานต์นี้บริษัทเตรียมออกโทรศัพท์มือถือใหม่จำนวนหลายรุ่น
ขณะที่ด้านธุรกิจให้บริการโทรศัพท์มือถือบนโครงข่ายเสมือน (MVNO) ในปัจจุบันบริษัทมียอดลูกค้าอยู่ที่ 600,000-700,000 รายแล้ว ส่วนสัญญาให้บริการโทรศัพท์มือถือบนโครงข่ายเสมือน (MVNO) ใหม่ กับ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT จำนวน 2.88 ล้านเลขหมายนั้น ทาง TOT ไม่ได้ต่อรองเรื่องใดๆ กับบริษัท เนื่องจากเรื่องต่างๆ ได้ผ่านบอร์ด TOT ไปหมดแล้ว โดยในขณะนี้เหลือเพียง TOT ชี้แจงข้อมูลต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเม.ย.นี้
ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาส 2/2557 และไตรมาส 3/2557 คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/2557 เนื่องจากบริษัทได้รับแรงหนุนจากธุรกิจสื่อทีวีดิจิตอลที่จะสามารถทำรายได้จากการขายกล่องรับสัญญาณ set top box เข้ามา โดยขณะนี้มียอดขายกล่องดังกล่าวแล้วเกือบ 100,000 กล่อง และมั่นใจว่าจะสามารถเป็นไปตามเป้าหมายทั้งปีนี้อยู่ที่ 1 ล้านกล่อง เนื่องจากกสทช.สนับสนุนด้วยการแจกคูปอง ทำให้ประชาชนจะนำคูปองมาใช้สิทธิ์ในการซื้อกล่อง set top box อย่างแน่นอน
ดังนั้นในปี 2557 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้รวมของกลุ่มสามารถไว้ที่ 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 22,434 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทมีแผนเข้าซื้อกิจการ 2-3 ธุรกิจ โดยเป็นธุรกิจที่มีขนาด 100-1,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 3 เดือนนี้
นายวัฒน์ชัย กล่าวต่อว่า บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SAMART โดย OTO ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการศูนย์บริการครบวงจร คุณภาพสูง มีการการเติบโตที่แข็งแกร่ง และยังสามารถเติบโตต่อได้ในต่างประเทศ เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 15 พ.ค.นี้
ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ (10 เม.ย. 57) บริษัทได้เซ็นสัญญาแต่งตั้งให้บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ และมีผู้จัดจำหน่ายฯร่วมอีก 3 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) จำนวน 80 ล้านหุ้น
โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 20 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของ SAMART ตามสัดส่วนที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถือหุ้นใน SAMART (Pre-emptive Right) โดยมีสัดส่วนหุ้นสามัญเดิมของ SAMART 50.3165 หุ้นต่อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ OTO 1 หุ้น ซึ่งผู้ถือหุ้นสามัญของ SAMART มีสิทธิจองซื้อหุ้น OTO ได้ไม่เกินกว่าสิทธิ ซึ่งจะทำการเสนอขายในวันที่ 28 เม.ย.-2 พ.ค. 2557
ส่วนที่ 2 เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่น้อยกว่า 50 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่ SAMART ถืออยู่ใน OTO จำนวนไม่เกิน 10 ล้านหุ้น รวมทั้งหุ้นที่เหลือจากการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของ SAMART ในส่วนแรก จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป ในวันที่ 6-8 พ.ค. 2557 โดยหลังเพิ่มทุน และ IPO จะมีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 280 ล้านบาท จากก่อนเพิ่มทุน และ IPO มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 210 ล้านบาท
สำหรับราคาเสนอขายทั้ง 2 ส่วน อยู่ที่ 5.40 บาทต่อหุ้น ดังนั้นจะได้เงินจากการระดมทุนในครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 430 ล้านบาท เพื่อนำไปรองรับการขยายการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงนำไปเป็นใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า เป้าหมายต่อจากนี้ นอกจากการขยายฐานลูกค้าและครองความเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลในประเทศไทยแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อยู่ที่ 22% ยังตั้งเป้าหมายในการขยายบริการสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV
ส่วนในปี 2557 ตั้งเป้าหมายรายได้ของ OTO เติบโตกว่า 30% จากปี 2556 ที่มีรายได้อยู่ประมาณ 700-800 ล้านบาท ส่วนในต่างประเทศนั้น ปัจจุบัน OTO ได้เปิดสาขาที่ประเทศกัมพูชา 1 สาขา และมีลูกค้าแล้ว ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีแผนเปิดสาขาในประเทศเมียนมาร์เพิ่มอีก 1 สาขา โดยเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาหลายราย
นางสุกัญญา วนิชจักร์วงศ์ กรรมการผู้จัดการ OTO กล่าวว่า บริษัทมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากผลกำไรในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ ซึ่งในปี 2554 มีกำไร 38.57 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.21%, ปี 2555 มีกำไร 74.57 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 8.31% และปี 2556 มีกำไร 89.66 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 12.96%
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ OTO กล่าวว่า การทำบุ๊คบิลด์ของ OTO มีการตอบสนองอย่างดี มีดีมานด์มากกว่า 5 เท่าของหุ้นเพิ่มทุนที่เสนอขาย ดังนั้นมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าการจำหน่ายหุ้นสามัญครั้งนี้จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องด้วยปัจจัยพื้นฐานของ OTO ที่แข็งแกร่ง
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า กำไรปี 2557 ของ SAMART ที่ 1,725 ล้านบาท เติบโต 18% จากปีก่อน คิดเป็นระดับกำไรสูงที่สุดในรอบ 8 ปีของบริษัท โดยได้อานิสงส์เชิงบวกต่อเนื่องจากการเติบโตของบริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM และบริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ SAMTEL ขณะที่บริษัทย่อยอื่นๆ ที่เคยขาดทุนกลับมามีกำไรก้าวกระโดด เช่น Samart engineering ที่คาดว่ายอดขายกล่อง Set-top-box และเสาสัญญาณ TV Digital ขับเคลื่อนกำไรใน 2-3 ปีข้างหน้า และธุรกิจในกัมพูชาสร้างรายได้ประจำ และไม่มีคู่แข่ง อย่างไรก็ตามในกรณี Base case ของเรายังค่อนข้างอนุรักษนิยมเนื่องจากยังต่ำกว่าเป้าหมายบริษัทที่คาดกำไรระดับสูงสุดใหม่ที่กว่า 2,000 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 36%
นอกจากนี้ SAMART จะจัดประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 29 เม.ย. 2557 เพื่อขอมติอนุมัติการออกหุ้นกู้มูลค่า 5,000 ล้านบาท เนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่าการกู้เงินจากสถาบันการเงิน เราประเมินเงินลงทุนดังกล่าวเป็นมูลค่าที่มีนัยสำคัญ ซึ่งบริษัทยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของโครงการที่จะลงทุน โดยคาดโครงการที่มีศักยภาพสูงที่จะเป็นไปได้คือโรงไฟฟ้าในกลุ่มประเทศ CLMV โดยในกัมพูชามีโอกาสเป็นไปได้สูงสุด เนื่องจากเป็นประเทศที่ SAMART มีความคุ้นเคยในการทำธุรกิจดีอยู่แล้ว และเป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์อีกจำนวนมาก การลงทุนดังกล่าวเป็นไปได้ทั้งในรูปของการลงทุนใหม่ หรือซื้อกิจการอื่นที่ทำอยู่แล้ว แต่บริษัทให้ข้อมูลว่าหากจะซื้อกิจการต้องสามารถทำกำไรได้ทันที ซึ่งจะเป็นบวกต่อกำไร คาดว่าจะเห็นภาพชัดเจนในไตรมาส 2/2557
ทั้งนี้ จากผลของประมาณการกรณี Worst case ยังคงมี Upside gain ค่อนข้างสูงที่ 31% สำหรับปี 2557 และ 16% สำหรับปี 2558 สะท้อน Downside risk ของราคาตลาดที่จำกัด ขณะที่ราคายังมีความ Undervalued ค่อนข้างมาก โดยปัจจุบันราคาของ SAMART ซื้อขายที่ PER 2557 ต่ำที่เพียง 10 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังที่ 11 เท่า โดยราคาหุ้นเคยซื้อขายสูงสุดที่ระดับ PER 20 เท่าในปี 2556 จากความคาดหวังผลประกอบการที่กลับมาเติบโตสูง ขณะที่ปี 2557 ผลประกอบการยังเติบโตสูงต่อเนื่องจากปี 2556 แต่ระดับ PER กลับต่ำกว่ามากจึงเป็นโอกาสของการลงทุน และคาดเงินปันผลปี 2557 ที่ 1.03 บาท/หุ้น เป็นผลตอบแทน 6% ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24.40 บาท ขณะที่กรณีดีที่สุดราคาเป้าหมายจะอยู่ที่ 30 บาท
ได้ดีSIMขายมือถือทะลัก
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 11 เมษายน 2557
ผู้เข้าชม : 7 คน
"SAMART" แย้มงบไตรมาส 1/57 แจ่ม รับอานิสงส์ SIM มียอดขายมือถือทะลัก ลั่นไตรมาส 2-3 โตกว่านี้ หลังทีวีดิจิตอลหนุน พร้อมดันบริษัทย่อย "OTO" ขายไอพีโอ 80 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5.40 บาท จ่อเข้าเทรด mai วันที่ 15 พ.ค.นี้
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART กล่าวว่า ผลการดำเนินของบริษัทในช่วงไตรมาส 1/2557 เติบโตดี เนื่องจากในเดือน มี.ค. 2557 เพียงเดือนเดียว บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM มียอดขายโทรศัพท์มือถือกว่า 1,000 ล้านบาท ประกอบกับในช่วงหลังสงกรานต์นี้บริษัทเตรียมออกโทรศัพท์มือถือใหม่จำนวนหลายรุ่น
ขณะที่ด้านธุรกิจให้บริการโทรศัพท์มือถือบนโครงข่ายเสมือน (MVNO) ในปัจจุบันบริษัทมียอดลูกค้าอยู่ที่ 600,000-700,000 รายแล้ว ส่วนสัญญาให้บริการโทรศัพท์มือถือบนโครงข่ายเสมือน (MVNO) ใหม่ กับ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT จำนวน 2.88 ล้านเลขหมายนั้น ทาง TOT ไม่ได้ต่อรองเรื่องใดๆ กับบริษัท เนื่องจากเรื่องต่างๆ ได้ผ่านบอร์ด TOT ไปหมดแล้ว โดยในขณะนี้เหลือเพียง TOT ชี้แจงข้อมูลต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเม.ย.นี้
ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาส 2/2557 และไตรมาส 3/2557 คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/2557 เนื่องจากบริษัทได้รับแรงหนุนจากธุรกิจสื่อทีวีดิจิตอลที่จะสามารถทำรายได้จากการขายกล่องรับสัญญาณ set top box เข้ามา โดยขณะนี้มียอดขายกล่องดังกล่าวแล้วเกือบ 100,000 กล่อง และมั่นใจว่าจะสามารถเป็นไปตามเป้าหมายทั้งปีนี้อยู่ที่ 1 ล้านกล่อง เนื่องจากกสทช.สนับสนุนด้วยการแจกคูปอง ทำให้ประชาชนจะนำคูปองมาใช้สิทธิ์ในการซื้อกล่อง set top box อย่างแน่นอน
ดังนั้นในปี 2557 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้รวมของกลุ่มสามารถไว้ที่ 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 22,434 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทมีแผนเข้าซื้อกิจการ 2-3 ธุรกิจ โดยเป็นธุรกิจที่มีขนาด 100-1,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 3 เดือนนี้
นายวัฒน์ชัย กล่าวต่อว่า บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SAMART โดย OTO ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการศูนย์บริการครบวงจร คุณภาพสูง มีการการเติบโตที่แข็งแกร่ง และยังสามารถเติบโตต่อได้ในต่างประเทศ เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 15 พ.ค.นี้
ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ (10 เม.ย. 57) บริษัทได้เซ็นสัญญาแต่งตั้งให้บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ และมีผู้จัดจำหน่ายฯร่วมอีก 3 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) จำนวน 80 ล้านหุ้น
โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 20 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของ SAMART ตามสัดส่วนที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถือหุ้นใน SAMART (Pre-emptive Right) โดยมีสัดส่วนหุ้นสามัญเดิมของ SAMART 50.3165 หุ้นต่อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ OTO 1 หุ้น ซึ่งผู้ถือหุ้นสามัญของ SAMART มีสิทธิจองซื้อหุ้น OTO ได้ไม่เกินกว่าสิทธิ ซึ่งจะทำการเสนอขายในวันที่ 28 เม.ย.-2 พ.ค. 2557
ส่วนที่ 2 เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่น้อยกว่า 50 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่ SAMART ถืออยู่ใน OTO จำนวนไม่เกิน 10 ล้านหุ้น รวมทั้งหุ้นที่เหลือจากการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของ SAMART ในส่วนแรก จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป ในวันที่ 6-8 พ.ค. 2557 โดยหลังเพิ่มทุน และ IPO จะมีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 280 ล้านบาท จากก่อนเพิ่มทุน และ IPO มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 210 ล้านบาท
สำหรับราคาเสนอขายทั้ง 2 ส่วน อยู่ที่ 5.40 บาทต่อหุ้น ดังนั้นจะได้เงินจากการระดมทุนในครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 430 ล้านบาท เพื่อนำไปรองรับการขยายการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงนำไปเป็นใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า เป้าหมายต่อจากนี้ นอกจากการขยายฐานลูกค้าและครองความเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลในประเทศไทยแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อยู่ที่ 22% ยังตั้งเป้าหมายในการขยายบริการสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV
ส่วนในปี 2557 ตั้งเป้าหมายรายได้ของ OTO เติบโตกว่า 30% จากปี 2556 ที่มีรายได้อยู่ประมาณ 700-800 ล้านบาท ส่วนในต่างประเทศนั้น ปัจจุบัน OTO ได้เปิดสาขาที่ประเทศกัมพูชา 1 สาขา และมีลูกค้าแล้ว ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีแผนเปิดสาขาในประเทศเมียนมาร์เพิ่มอีก 1 สาขา โดยเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาหลายราย
นางสุกัญญา วนิชจักร์วงศ์ กรรมการผู้จัดการ OTO กล่าวว่า บริษัทมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากผลกำไรในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ ซึ่งในปี 2554 มีกำไร 38.57 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.21%, ปี 2555 มีกำไร 74.57 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 8.31% และปี 2556 มีกำไร 89.66 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 12.96%
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ OTO กล่าวว่า การทำบุ๊คบิลด์ของ OTO มีการตอบสนองอย่างดี มีดีมานด์มากกว่า 5 เท่าของหุ้นเพิ่มทุนที่เสนอขาย ดังนั้นมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าการจำหน่ายหุ้นสามัญครั้งนี้จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องด้วยปัจจัยพื้นฐานของ OTO ที่แข็งแกร่ง
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า กำไรปี 2557 ของ SAMART ที่ 1,725 ล้านบาท เติบโต 18% จากปีก่อน คิดเป็นระดับกำไรสูงที่สุดในรอบ 8 ปีของบริษัท โดยได้อานิสงส์เชิงบวกต่อเนื่องจากการเติบโตของบริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM และบริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ SAMTEL ขณะที่บริษัทย่อยอื่นๆ ที่เคยขาดทุนกลับมามีกำไรก้าวกระโดด เช่น Samart engineering ที่คาดว่ายอดขายกล่อง Set-top-box และเสาสัญญาณ TV Digital ขับเคลื่อนกำไรใน 2-3 ปีข้างหน้า และธุรกิจในกัมพูชาสร้างรายได้ประจำ และไม่มีคู่แข่ง อย่างไรก็ตามในกรณี Base case ของเรายังค่อนข้างอนุรักษนิยมเนื่องจากยังต่ำกว่าเป้าหมายบริษัทที่คาดกำไรระดับสูงสุดใหม่ที่กว่า 2,000 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 36%
นอกจากนี้ SAMART จะจัดประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 29 เม.ย. 2557 เพื่อขอมติอนุมัติการออกหุ้นกู้มูลค่า 5,000 ล้านบาท เนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่าการกู้เงินจากสถาบันการเงิน เราประเมินเงินลงทุนดังกล่าวเป็นมูลค่าที่มีนัยสำคัญ ซึ่งบริษัทยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของโครงการที่จะลงทุน โดยคาดโครงการที่มีศักยภาพสูงที่จะเป็นไปได้คือโรงไฟฟ้าในกลุ่มประเทศ CLMV โดยในกัมพูชามีโอกาสเป็นไปได้สูงสุด เนื่องจากเป็นประเทศที่ SAMART มีความคุ้นเคยในการทำธุรกิจดีอยู่แล้ว และเป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์อีกจำนวนมาก การลงทุนดังกล่าวเป็นไปได้ทั้งในรูปของการลงทุนใหม่ หรือซื้อกิจการอื่นที่ทำอยู่แล้ว แต่บริษัทให้ข้อมูลว่าหากจะซื้อกิจการต้องสามารถทำกำไรได้ทันที ซึ่งจะเป็นบวกต่อกำไร คาดว่าจะเห็นภาพชัดเจนในไตรมาส 2/2557
ทั้งนี้ จากผลของประมาณการกรณี Worst case ยังคงมี Upside gain ค่อนข้างสูงที่ 31% สำหรับปี 2557 และ 16% สำหรับปี 2558 สะท้อน Downside risk ของราคาตลาดที่จำกัด ขณะที่ราคายังมีความ Undervalued ค่อนข้างมาก โดยปัจจุบันราคาของ SAMART ซื้อขายที่ PER 2557 ต่ำที่เพียง 10 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังที่ 11 เท่า โดยราคาหุ้นเคยซื้อขายสูงสุดที่ระดับ PER 20 เท่าในปี 2556 จากความคาดหวังผลประกอบการที่กลับมาเติบโตสูง ขณะที่ปี 2557 ผลประกอบการยังเติบโตสูงต่อเนื่องจากปี 2556 แต่ระดับ PER กลับต่ำกว่ามากจึงเป็นโอกาสของการลงทุน และคาดเงินปันผลปี 2557 ที่ 1.03 บาท/หุ้น เป็นผลตอบแทน 6% ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24.40 บาท ขณะที่กรณีดีที่สุดราคาเป้าหมายจะอยู่ที่ 30 บาท
posted from Bloggeroid
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น