วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

คาดICHIวิ่งทะยาน18บาท ปีนี้ลุ้นกำไร1.3พันล้าน

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ICHIวิ่งทะยาน18บาท
ปีนี้ลุ้นกำไร1.3พันล้าน
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 21 เมษายน 2557
ผู้เข้าชม : 12 คน
"อิชิตัน" เทรดวันแรกวิ่งทะยาน 18 บาท ยืนเหนือราคาไอพีโอ 13 บาท สะท้อนธุรกิจโตต่อเนื่อง คาดปี 57 กำไรสุทธิพุ่งทะลัก1.3 พันล้านบาท "ตัน” เชื่อมีนักลงทุนตามเก็บต่อในกระดานหวังลงทุนยาว พร้อมย้ำกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมไม่ทิ้งหุ้น



แหล่งข่าวจากวงการเงิน เปิดเผยว่า หุ้นของบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI ที่เข้าซื้อขาย (เทรด) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หรือ SET ในวันแรกในวันที่ 21 เม.ย. 2557 นี้ จะมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 18 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาเสนอขายราคาขาย IPO ที่ 13 บาทได้ เนื่องจากมองว่า ICHI เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีแนวโน้มกำไรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 2557 จะเติบโตที่ระดับ 1,300 ล้านบาท และคาดว่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) จะอยู่ที่ 16-18 เท่า โดยประเมินกำไรต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 1 บาท

นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนขาใหญ่อีกจำนวนมากที่พลาดได้หุ้นไอพีโอในช่วงที่เปิดให้จองซื้อขาย จึงมีความเป็นไปได้สูงที่นักลงทุนขาใหญ่จะเข้ามารอเก็บหุ้นในกระดานในวันแรกที่เปิดเทรดในวันนี้ ทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงกว่าราคาไอพีโอได้อย่างแน่นอน

ด้านนายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้น ICHI เข้าเทรดวันนี้ ราคาหุ้นน่าจะยืนเหนือราคาจองที่ 13 บาทต่อหุ้นได้ ซึ่งประเมินราคาเหมาะสมของหุ้น ICHI ที่ 16.10 บาท โดยคาดการณ์กำไรสุทธิของ ICHI ในปี 2557 มีแนวโน้มเติบโต 24% จากปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 884 ล้านบาท จากการขยายกำลังการผลิตเพิ่มอย่างต่อเนื่อง และกลยุทธ์เชิงรุกทางการตลาดของ ICHI ที่มีความแปลกใหม่และโดดเด่น ซึ่งสามารถผลักดันยอดขายและรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI กล่าวว่า การซื้อขายหุ้น ICHI ในวันนี้มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับดีจากนักลงทุน ทำให้สามารถยืนเหนือราคาจองที่ 13 บาทต่อหุ้นได้ เหตุเพราะธุรกิจชัดเจนมีความใกล้ชิดผู้บริโภค ประกอบกับการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชาเขียวที่มีทิศทางการเติบโตโดดเด่น ภายในเวลาเพียง 2 ปี บริษัทสามารถก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดชาพร้อมดื่มอันดับ 1 ในปี 2556 มีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) สูงถึง 42%

นอกจากนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งจะส่งผลทำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นในกระดานเพิ่มเติม และเพื่อลงทุนหวังผลตอบแทนในระยะยาว

ขณะที่ประสิทธิภาพการทำกำไรอยู่ในอัตราสูงจากการควบคุมต้นทุนการผลิตและบริหารงบประมาณการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำกำไรเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2556 มีอัตรากำไรเบื้องต้นอยู่ที่ 14% และคาดว่าในปีนี้อัตรากำไรเบื้องต้นจะมีแนวโน้มสูงขึ้น ตามสัดส่วนการปรับลดการว่าจ้างผลิต (OEM) ที่เดิมมีสัดส่วน 25% และกำลังจะลดลงเนื่องจากโรงงานเฟส 2 จะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายไตรมาส 2/2557 และจะส่งผลให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตแบบขวดเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านขวดต่อปีและ 200 ล้านกล่องต่อปี (จากเดิม 600 ล้านขวดต่อปีและ 200 ล้านกล่องต่อปี)

อีกทั้งบริษัทยังมีแผนเดินหน้าขยายธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสในการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในอนาคต ล่าสุดผลประกอบการปี 2556 บริษัทมีรายได้จากการขาย 6,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,577 ล้านบาท หรือเติบโต 65.96% และมีกำไรสุทธิ 884 ล้านบาท (ไม่รวมรายการจากอุทกภัยและการดำเนินงานที่ยกเลิก) เพิ่มขึ้น 578 ล้านบาท หรือเติบโต 188.89%

นายตัน กล่าวต่อว่า กลุ่มตนเองและคุณอิง ภาสกรนที คือกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมรายใหญ่สุด มีสัดส่วนการถือหุ้น 60.4% ตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ปริมาณหุ้นที่ห้ามขาย (Silent Period) ขั้นต่ำ 55% โดยหุ้นของกลุ่มตนเองและนางอิง ภาสกรนที 51% ติด Silent Period ถูกห้ามขายเป็นระยะเวลา 1 ปี ส่วนอีก 4% ที่เหลือที่ติด Silent Period เป็นของผู้บริหารท่านอื่น ซึ่งกลุ่มตนเองและนางอิง ภาสกรนที และผู้บริหารท่านอื่น มีความตั้งใจจะถือหุ้นทั้งหมดในระยะยาวและไม่มีแผนจะลดสัดส่วนการถือหุ้นอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ICHI เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท หรือคิดเป็น 23.1% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหลักทรัพย์ ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 1,300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วจำนวน 1 พันล้านบาท เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จำนวน 3,900 ล้านบาท จะนำไปขยายโรงงานเฟส 2 และเป็นเงินหมุนเวียนในธุรกิจจำนวน 1,400 ล้านบาท ชำระหนี้เงินกู้กรรมการและสถาบันการเงินจำนวน 2,500 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด จำกัด ระบุว่า ประเมินมูลค่าเหมาะสมหุ้น ICHI ที่ 16.40 บาท (P/E ปี 57 ที่ 16 เท่า) ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของการประเมินด้วยวิธีอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ที่ 20 บาท กับวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ที่ 12.80 บาท

อีกทั้งคาดว่าผลการดำเนินงานปี 2557 ของ ICHI มีแนวโน้มเติบโตสูงจาก 3 ปัจจัย ประกอบด้วย 1.การเติบโตของตลาดชาพร้อมดื่มคาดโต 15% จากปีก่อน ซึ่ง ICHI มีส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่ง 2.การลดสัดส่วนการจ้างผลิตสินค้าภายนอก (OEM) ทำให้อัตราการทำกำไรสูงขึ้น และ 3.การนำเงินเพิ่มทุน IPO ไปชำระหนี้เงินกู้ทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง

โดยคาดว่า ICHI จะมียอดขายราว 7,400 ล้านบาท เติบโต 15% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,300 ล้านบาท เติบโต 47% จากปีก่อน คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (Fully Diluted) 1 บาท โดยคาดว่า ICHI จะจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 40 สตางค์ หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 3% ขณะที่ผลประกอบการช่วง 5 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มเติบโตสูงต่อเนื่องเฉลี่ย 25% ต่อปี จากการเติบโตของตลาดชาพร้อมดื่มตามกระแสการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ และการลดสัดส่วนการจ้างผลิตทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ราคาพื้นฐานปี 2557 ของหุ้น ICHI จะอยู่ที่ 17.45 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 2557 ของ ICHI เพิ่มขึ้น 28.43% จากปีก่อนอยู่ที่ 1,135.06 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของยอดขาย 15.32% จากปีก่อน จากการเพิ่มสายการผลิตขวดขึ้น 2 สาย ส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตขวดเพิ่มขึ้นอีก 400 ล้านขวดต่อปี รวมสิ้นปี 2557 ICHI จะสามารถผลิตขวดได้ทั้งหมด 1,000 ล้านขวดต่อปี และผลิตกล่องได้ทั้งหมด 200 ล้านกล่องต่อปี

สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ที่ 33.36% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 31.76% เนื่องจากบริษัทจะมีสัดส่วน OEM ลดลงอยู่ที่ 11.05% ซึ่งทำให้ประหยัดต้นทุนต่อขวดได้มากขึ้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขาย คาดยังคงมีสัดส่วนต่อยอดขายเพิ่มขึ้นมาที่ 15% เนื่องจากการรุกตลาดเพื่อส่งเสริมการขายโดยการโฆษณาหรือทำโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ทั้งการขายแบบค้าปลีกและค้าส่ง

อย่างไรก็ตามในปี 2557 บริษัทยังได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง โดยการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนหุ้น IPO มาชำระหนี้จากสถาบันการเงิน 1,500 ล้านบาท และชำระหนี้จากกรรมการอีก 1,000 ล้านบาท ส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายปี 2557 ลดลงถึง 42.54% จากปีก่อนอยู่ที่ 92.86 ล้านบาท ดังนั้นปี 2557 จะมีกำไรสุทธิเพิ่มมากขึ้นถึง 28.43% จากปีก่อน โดยประเมินกำไรต่อหุ้น (ESP) ปี 2557 เท่ากับ 0.87 บาท และเงินปันผลต่อหุ้น 0.35 บาท

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น