วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

SINGERรุก เข้าแม็คโคร ครบ60สาขา ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2557 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: SINGERรุก
เข้าแม็คโคร
ครบ60สาขา
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 11 คน
“ซิงเกอร์” รุกเข้าแม็คโครกว่า 60 สาขา ตั้งเป้ามีรายได้จากซิงเกอร์ พาวเวอร์ 100 ล้านบาทต่อสาขาต่อปี คาดหวังเพิ่มสัดส่วนลูกค้ากลุ่มเชิงพาณิชย์เป็น 60-70% จาก 40% และลุ้นรายได้ปีนี้มากกว่า 10%




นายบุญยง ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ โดยเปิดซิงเกอร์ พาวเวอร์ ซึ่งจัดตั้งเป็นบูธในห้างแม็คโคร เนื่องจากมีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน ทั้งลูกค้าโช่ห่วย ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร ภัตตาคาร เป็นต้น ขณะนี้ได้เปิดแล้ว 3 สาขา คาดว่าภายในช่วงครึ่งปีแรกนี้จะสามารถขยายได้ทั้งหมดในสาขาของแม็คโครที่มีกว่า 60 สาขา จะช่วยเสริมช่องทางการจัดจำหน่าย ถ้ามีการเติบโตที่ดีก็น่าจะมีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อสาขาต่อปี

สำหรับสาขาของบริษัทเองปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 220 สาขา ซึ่งจะยังไม่มีการขยายเพิ่มในปีนี้ จากเดิมที่มีแผนจะขยายอีก 10 สาขา เนื่องจากแนวโน้มการทำธุรกิจโดยการเปิดบูธจะช่วยลดต้นทุนมากกว่า และได้ผลตอบแทนที่ดี เพราะไม่ต้องใช้เงินในการตกแต่งร้านมาก ตอนนี้มีการจำหน่ายสินค้าเพียง 5 รายการ ภายใต้แบรนด์ เมอร์ริทท์ บาย ซิงเกอร์ (MERRITT BY SINGER) ขณะเดียวกันได้มีการนำบริษัทลูก อย่างซิงเกอร์ ลีสซิ่ง มาให้บริการกับลูกค้าแม็คโครที่ต้องการซื้อสินค้าโดยการผ่อนชำระ เพื่อให้ซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น และไม่เป็นภาระในการชำระค่างวดต่อเดือน

ทั้งนี้ การขยายการจัดจำหน่ายเข้าไปในแม็คโคร น่าจะส่งผลให้บริษัทมีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นเป็น 60-70% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มเชิงพาณิชย์ประมาณ 40% กลุ่มเกษตรกร 25% (เป็นอาชีพชาวไร่ ชาวนาประมาณ 10% ที่ยังมีปัญหาจากโครงการรับจำนำข้าว) กลุ่มอาชีพอิสระประมาณ 25% กลุ่มข้าราชการประมาณ 5% และกลุ่มโรงงานประมาณ5%

ด้านการดำเนินงานในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา สินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือนมีมูลค่าการซื้อขายทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ในกลุ่มสินค้าเชิงพาณิชย์มีการเติบโตดี หลังจากที่บริษัทใช้สื่อโฆษณาทางทีวี ในชื่อซิงเกอร์ เก็ท ริช ทำให้สินค้าที่เป็นตู้แช่ ตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ และตู้น้ำมันหยอดเหรียญขายดี โดยมีการซื้อผ่านคอลเซ็นเตอร์มากขึ้น ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 60% จากเดิมที่ 50% ที่เหลือก็มีขายผ่านหน้าร้าน 220 สาขา ขายโดยตัวแทนขายที่มีอยู่ประมาณ 3,000 คน และมีรถเดินตลาดประมาณ 1,000 คัน

นายบุญยง กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อน หากสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายในช่วง 6 เดือนของปีนี้ แต่ถ้ายังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงมีความขัดแย้ง และยังไม่สงบ การเติบโตก็อาจจะไม่ถึง 10% แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทจะพยายามเพิ่มมูลค่าสินค้าที่มีอยู่ อย่าง ตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ นอกจากการขายตู้ ดอกเบี้ยจากเงินผ่อนแล้ว ก็จะมีการเติมเงินผ่านระบบของบริษัท โดยน่าจะวางตลาดตู้เติมเงินมือถือรุ่นใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะทำให้มีเงินหมุนเวียนจากตู้เติมเงินรุ่นใหม่นี้ประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี

ขณะเดียวกัน ด้านอัตราส่วนกำไรสุทธิปีนี้ บริษัทจะพยายามบริหารให้ได้ 10% จากการเพิ่มมูลค่าสินค้า ซึ่งตู้เติมเงินมือถือรุ่นใหม่จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนตู้น้ำมันหยอดเหรียญก็ยังขายได้ดี โดยขณะนี้ได้รับใบรับรองด้านความปลอดภัยแล้ว ทำให้การขายง่ายขึ้น จากเดิมขายได้ 150 ตู้ต่อเดือน ปรับขึ้นเป็น 500 ตู้ต่อเดือน ขณะที่ตู้โทรศัพท์มือถือ เดิมขายได้ 800 ตู้ต่อเดือน ก็ปรับขึ้นเป็น 1,500 ตู้ต่อเดือน ซึ่งจะเป็นตัวที่ขับเคลื่อนยอดขายสินค้าในกลุ่มสินค้าเชิงพาณิชย์ได้ดี

“กำไรปีก่อนที่ 320 ล้านบาท ถือว่าสูงที่สุดในรอบ 13 ปี ส่วนปีนี้ก็ยังมีการเติบโตจากการเพิ่มมูลค่าตัวสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง ขณะที่การปรับอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมา น่าจะทำให้กำไรสุทธิดีกว่าปีก่อน รวมถึงในช่วงฤดูร้อนสินค้าที่ขายดี อย่างเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ตู้เย็น ตู้แช่ จะเป็นตัวขับเคลื่อนที่ดี รวมถึงทีวีดิจิตอล ในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จะมีคูปองส่วนลดสำหรับซื้อกล่องจากทางกสทช.ออกมา ทางบริษัทก็จะมีการจัดแคมเปญซื้อทีวีแถมกล่อง หรือรับแลกทีวีเก่า เป็นต้น”

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น