วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

“แสนสิริ”แจงปี56กำไรสุทธิหด34%เหตุการเมืองกระทบแผนโอนกรรมสิทธิ์

“แสนสิริ”แจงปี56กำไรสุทธิหด34%เหตุการเมืองกระทบแผนโอนกรรมสิทธิ์
1 มีนาคม 2557 17:04 น.

       แสนสิริ เผยปี56รายได้รวม 28,987 ล้านบาท ลดลงจากปี55ที่มีรายได้ 30,087 ล้านบาท 4% เหตุรายได้จากการขายโครงการลดลง4%หลังปัญหาแรงงานขาด-การเมืองกระทบแผนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด แจงอสังหาฯยังคงเป็นรายได้หลักโดยมีแชร์รายได้รวมกว่า96% ด้านกําไรสุทธิอยู่ที่ 1,930 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 34% ปัจจัยหลักจากลดลงของรายได้รวม ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานปรับตัวสูงขึ้น
       
       นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยว่า ในปี 56 มีรายได้รวมที่ 28,987 ล้านบาท ลดลงที่ 4% จากปี 55 ซึ่งมีรายได้รวมที่ 30,087 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักของการลดลงจากรายได้มาจากการขายโครงการลดลง 4% และรายได้จากโครงการเพื่อเช่าลดลง 20% โดยในปีที่ผ่านมารายได้จากการขายโครงการมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 96% ของรายได้รวม ส่วนกําไรสุทธิของปี 56 อยู่ที่ 1,930 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 34% โดยในปี 55 บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 2,938 ล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจัยหลักของการลดลงของกำไรสุทธิเกิดจากการลดลงของรายได้รวม ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานปรับตัวสูงขึ้น
       
       “ ในปี56บริษัทมีรายได้รวมที่ 27,724 ลดลงจากปี 55 กว่า 4% โดยมีรายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียม15,157 ล้านบาทคิดเป็น55% รายได้จากการขายโครงการบ้านเดี่ยว 10,166 ล้านบาท 37% และรายได้จากการขายโครงการทาวน์เฮาส์2,367 ล้านบาท คิดเป็น8% ขณะที่ในปี55แสนสิริ มีรายได้รวมที่ 28,954ล้านบาท โดยมาจากบ้านเดี่ยว 9,406 ล้านบาท จากทาวน์เฮาส์และอาคารพาณิชย์ 4,635 ล้านบาท และมีรายได้จากคอนโดมิเนียม 14,804 ล้านบาท”
       
       ทั้งนี้ การลดลงของรายได้ในปี 56 มีปัจจัยหลักมาจากความวุ่นวายทางการเมืองซึ่งทําให้หน่วยงานราชการบางแห่งไม่สามารถเปิดดําเนินการได้ตามปกติ อาทิ จังหวัดภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถออกโฉนดที่ดินและอาคารชุดให้ลูกค้าได้ทันตามกำหนด ทําให้ต้องเลื่อนกําหนด การโอนกรรมสิทธิ์ในบางโครงการออกไป ส่งผลให้รายได้จากการขายโครงการในปี56 มีจํานวนลดลง
       
       สําหรับรายได้จากการขายโครงการบ้านเดี่ยวในปี 56 อยู่ที่ 10,166 ล้านบาท ปรับเพิ่มสูงขึ้น 8%เมื่อเทียบกับปี55 โดยเป็นรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ “เศรษฐสิริ” จํานวน 8 โครงการ มูลค่ารวม 4,276 ล้านบาท และเป็นรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ “ฮาบิเทีย” จํานวน 9 โครงการ มูลค่า 2,500 ล้านบาท รายได้รวมจากทั้ง 2 แบรนด์ดังกล่าวคิดเป็น 24% ของรายได้จากการขายโครงการทั้งหมด ทั้งนี้ โครงการเศรษฐสิริ แจ้งวัฒนะ-ประชาชื่น เป็นโครงการบ้านเดี่ยวที่มีการรับรู้รายได้สูงที่สุดในปี 56 ที่โดยมีรายได้ที่1,284 ล้านบาท
       
       ส่วนรายได้จากโครงการทาวน์เฮาส์ในปี 56 มีจํานวน 2,367 ล้านบาท ลดลง 49% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นรายได้จากโครงการทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ “ทาวน์ อเวนิว” จํานวน 8 โครงการ มูลค่ารวม 848 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ “ฮาบิทาวน์” จํานวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 694 ล้านบาท โดยโครงการทาวน์เฮาส์ที่มีการรับรู้รายได้สูงสุด คือโครงการฮาบิทาวน์ โฟลด์ ติวานนท์-แจ้งวัฒนะ และโครงการทาวน์ อเวนิว ซิกตี้ วิภาวดี 60 อย่างไรก็ดี สัดส่วนของรายได้จากการขายโครงการทาวน์เฮาส์มีแนวโน้มลดลงตามนโยบายการลงทุนในโครงการทาวน์เฮาส์ ซึ่งปรับลดลงมาอยู่ที่ 5-10% ของโครงการทั้งหมด
       
       นายวันจักร์ กล่าวว่า ขณะที่รายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียมในปี56 คิดเป็นสัดส่วนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้จากการขายโครงการทั้งหมด ซึ่งปรับสูงขึ้นจาก 14,804 ล้านบาทในปี 55 มาอยู่ที่ 15,157 ล้านบาทคิดเป็น 51% ของรายได้จากการขายโครงการในปี 55 หรือคิดเป็น55% ของรายได้จากการขายโครงการในปี 56 โดยเป็นผลมาจากโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จและเริ่มโอนในปี 56 ที่มีจํานวนมากถึง 12 โครงการ ประกอบกับโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จในช่วงปลายปี55 และยังคงมีการโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องมาในปี 56 จำนวน 11 โครงการ
       
       โดยรายได้หลักของโครงการคอนโดมิเนียมมาจาก 6 โครงการ ได้แก่ โครงการออนิกซ์ พหลโยธิน โครงการเดอะ เบส แจ้งวัฒนะ โครงการเดอะ เบส สุขุมวิท 77 โครงการวายน์ สุขุมวิท โครงการซีล บาย แสนสิริ และโครงการบ้านแสนคราม โดยมีรายรับรวมจาก 6 โครงการดังกล่าวที่ 8,058 ล้านบาท คิดเป็น29% ของรายได้จากการขายโครงการทั้งหมด
       
       สําหรับรายได้จากโครงการเพื่อเช่าเท่าในปี56ของบริษัทอยู่ที่126 ล้านบาท ลดลงจาก157 ล้านบาทในปี 55 กว่า 20% เนื่องจากจำนวนโครงการเพื่อเช่าลดลง หลังจากที่อาคารภักดีได้ครบกําหนดสญญาเช่าในเดือนกรกฎาคม56 ขณะที่รายรับค่าบริการธุรกิจมีจํานวน 500 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% จากจํานวน 473 ล้านบาทในปี 55 โดยมีสาเหตุจากรายได้เพิ่มขึ้นจากฐานลูกค้าที่มากขึ้นของงานบริหารงานขาย (Asset Management) และงานบริหารจัดการโครงการ (Property Management) ซึ่งบริหารงานโดยบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด นอกจากนี้ แสนสิริ ยังมีรายได้ค่าบริการอื่น ประกอบด้วย รายได้จากธุรกิจเมดิคัลสปา รายได้จากธุรกิจโรงแรม และรายได้จากธุรกิจโรงเรียนในปี 56 รวม246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปี55ซึ่งมีรายได้รวม 236 ล้านบาท
       
       อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมาต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัทมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่แล้ว แสนสิริ บันทึกต้นทุนขายโครงการอยู่ที่ 18,565 ล้านบาท ลดลง 4% เมื่อเทียบกับต้นทุนการขายโครงการในปี 55 ซึ่งอยู่ในทิศทางเดียวกับการลดลงของรายได้จากการขายโครงการ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น สําหรับโครงการเพื่อขายปรับตัวลดลงจาก 33.4% ในปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 33.0% ในปี 56 โดยมีสาเหตุมาจากการขาดแคลนแรงงาน ส่งผลให้แสนสิริมีต้นทุนในการบริหารจัดการแรงงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จตามแผนงานที่กําหนด
       
       สําหรับต้นทุนโครงการเพื่อเช่าปี 56 มีจํานวน 71 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี55 ในขณะที่ต้นทุนบริการธุรกิจเพิ่มขึ้นจาก298 ล้านบาทในปี 55 มาอยู่ที่ 339 ล้านบาทในปี 56 ตามการเพิ่มขึ้นของรายรับค่าบริการธุรกิจ ส่วนต้นทุนบริการอื่น ซึ่งครอบคลุมไปถึงต้นทุนธุรกิจเมดิคัลสปา ต้นทุนธุรกิจโรงแรม และต้นทุนธุรกิจโรงเรียน ปรับเพิ่มขึ้นจากปี55 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนธุรกิจโรงเรียน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากรเพิ่มขึ้นตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องรายได้ขั้นต่ำ
       
       นายวันจักร์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร ในปี 56 คิดอยู่ที่23.5% ของรายได้รวม ปรับเพิ่มขึ้นจากปี55 ที่อยู่ในระดับ20.1% สําหรับค่าใช้จ่ายในการขายปี 56 มีจํานวน 3,956 ล้านบาท คิดเป็น13.6% ของรายได้รวมปรับเพิ่มสูงขึ้นจาก 3,289 ล้านบาท คิดเป็น 10.9% ของรายได้รวมในปี 55 สาเหตุหลักมาจากในปี56 มีการเปิดตัวโครงการใหม่มากถึง 48 โครงการ ประกอบกับการขยายตลาดไปยังจังหวัดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ทําให้มีค่าใช้จ่ายในการขายและการทําตลาด ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ถูกบันทึกในปี56 ขณะที่รายได้จากการขายยังคงรอรับรู้เป็นรายได้ในอนาคต ส่งผลให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นและรายได้ สัดส่วนของค่าใช้จ่ายในการขาย เมื่อเทียบกับรายได้ จึงอยู่ในเกณฑ์สูง
       
       อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขายที่แสนสิริได้ลงทุนไปสะท้อนกลับมาในยอดขายปี56 ที่สูงถึง 42,200 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (รวมค่าตอบแทนผู้บริหาร) มีจํานวน 2,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น107 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปี55 ตามการเติบโตของธุรกิจ อย่างไรก็ดี สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมในปี56 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.8% ของรายได้รวม จากเดิมที่ 9.1% ของรายได้รวมในปี 55 เป็นผลมาจากฐานรายได้รวมที่ลดลงในปี56
       
       ส่วนค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้นจาก 328 ล้านบาทในปี55 มาอยู่ที่ 616 ล้านบาทในปี56 โดยมีปัจจยหลักมาจากที่ดินบางส่วนที่ได้จัดซื้อเพิ่มในปี 56 ยังคงอยู่ระหว่งกระบวนการออกแบบและการวางแผนด้านการตลาด ซึ่งแสนสิริยังไม่ได้นํามาพัฒนาโครงการ ทําให้ดอกเบี้ยของที่ดินดังกล่าวไม่สามารถบันทึกเป็นต้นทุนได้ ประกอบกับโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จและอยู่ระหว่างรอการโอนกรรมสิทธิ์ ทําให้ดอกเบี้ยของห้องชุดที่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์จะถูกบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางการเงิน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้น.


พิมพ์จาก http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000023633
เวลา 2 มีนาคม 2557 06:36 น.
ผู้จัดการออนไลน์ - Manager Online (http://www.manager.co.th)

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น